วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ภูลังกา-Special Edition


หลังจากออกมาจากภูลังกา ระหว่างทางที่นั่งรถตู้กลับบ้าน  ภายในรถ เอกกี้เป็นคนแรกที่เอาของขวัญจากบั๊ดดี้มาโชว์ให้เพื่อน ๆ ในรถอิจฉาเล่น นี่นี่ เค้าได้นาฬิกาปลุกด้วย  สวยน้า เสียงเอกพูดอวด ๆ  พร้อมทั้งหยิบนาฬิกา ออกมาโชว์เพื่อน ๆ   จากนั้นก็แสดงลูกเล่นของนาฬิกาดังกล่าว ซึ่งสามารถฉายแสงแสดงเวลาไปยังเพดาน หรือม่านรับภาพได้ สีแดงสดใสของตัวเลขบอกเวลาบนเพดานภายในรถตู้ขณะนั่งรถกลับจากภู ทำให้ผมอมยิ้มและอดแซวเอกไปด้วยไม่ได้  ผมรู้ว่าน้องต้อเป็นคนมอบนาฬิกานี้ให้ แลกกับเทียนรูปลูกบาศก์ 1  แท่ง ถ้ามองในเชิงมูลค่าแล้วมันก็คงเทียบกันไม่ได้ เหมือนที่ผมแซวว่า เอากุ้งฝอยไปตกปลากะพงนั่นแหละ แต่ก็มีคนบอกอยู่เสมอ ๆ ว่า คุณค่าของของนั้น สำคัญที่คนให้ ไม่ใช่มูลค่าของ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าจริง แต่ในใจผมก็ยังมีค้าน ๆ นะ เพราะถ้าใครเอาฟอร์จูนเนอร์มาแลกกับปลาเข็ม(รถยนต์ส่วนตัว Toyota  3  ห่วง ปี 1994)  แล้วล่ะก็ ผมก็คงไม่ลังเลที่จะแลก ทั้งๆที่ปลาเข็มเป็นเพื่อนที่มีคุณค่าทางใจผมมานาน และคงคิดว่ามันเมาหรือรวยจนเพี้ยนกันแน่  

          รถตู้ที่พวกเราโดยสารแวะพักทานข้าวที่ปั๊มน้ำมันในเขตจังหวัดพิษณุโลก ช่วงนั้นฝนตกแรงมาก แต่เมื่อรถตู้หยุด สิ่งแรกที่เอกทำ คือ ออกจากรถตู้พร้อมร่ม กันฝนเพื่อนำไปรับน้องต้อไม่ให้เปียก ระหว่างที่เดินไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งผมนึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็ให้รู้สึกว่า เวลาของผมมันย้อนกลับไปสู่สมัยเด็ก ม. ปลายที่แอบตัดดอกไม้ไปให้สาว ๆ เสียทุกที มันเป็นความรู้สึกอบอุ่น ความหวังดี มีความปรารถนาดีเจืออยู่เต็มไปหมด  รู้สึกเย็นใจเมื่อได้อยู่ใกล้  ไม่ร้อนรุ่ม ไม่คุกรุ่น

          เวลาผ่านไป เกือบเดือนขณะที่ผมยืนรอขึ้นรถตู้อยู่ที่ลานจอดรถเบทาโกรเพื่อจะเดินทางไปทำการสร้างกำแพงโรงอาหารให้กับนักเรียนโรงเรียนบ้านห้างสูง  ฝนก็ตกพรำ ๆ น้องเอกถือถุงพลาสติกใส่อะไรบางอย่างมายื่นให้  “พี่หน่อง น้องปลาฝากของมาให้”  เอกกี้กล่าวด้วยแววตาเจ้าเล่ห์  มะขามป้อมหรือเปล่าเอก”  ผมถามด้วยความยินดี เพราะได้บอกให้ปลาฝากมะขามป้อมมากับเอก เพื่อมาให้พวกเราชาวเบทาโกร ไม่ใช่นะพี่ มะขามที่จอดรถจากนั้นเอกก็แกะถุงปล่อยให้น้ำฝนไหลเข้าไปในถุง อันนี้คือ มะขามเปียก ส่วนมะขามที่พี่ต้องการ พี่หน่องไปรับมะขามจากผมที่ป้อมยามข้างหน้า อันนั้นแหละถึงจะเรียกว่า มะขามป้อม ผมหัวเราะไปกับมุกของเอก แชมป์ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย ความจริงผมสังเกตมาได้ระยะหนึ่งแล้วว่า หลังจากที่พวกเรากลับมาจากภูลังกา พวกเราเหมือนมีโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งซุกซ่อนเอาไว้ในใจ มักจะมีรอยยิ้มหวาน ๆ ระบายตามใบหน้าเมื่ออ่านข้อความให้กำลังใจกันเองจาก Facebook  มีความห่วงหาอาทรและความรู้สึกดี ๆ ส่งผ่านให้กันผ่านหน้าจอเล็กๆ  นี่แหละที่ผมบอกกับตัวเองว่า ผมหลงเสน่ห์ของค่ายภูลังกาเข้าอย่างจัง มันเหมือนเวลามันหมุนกลับไปเมื่อเรายังเป็นหนุ่มสาว มีหัวใจเปี่ยมสุข พร้อมที่จะออกไปช่วยเหลือคนอื่น ๆ โดยที่ไม่ได้สนใจตัวเอง ขอเพียงแค่ได้ทำตามหัวใจปรารถนาเป็นพอ
  
          ระหว่างทำงานสร้างกำแพงกับน้อง ๆ เรื่องสนุกสนานสมัยภูลังกาถูกขุดมาพูดกันตลอด มันเหมือนมีแรงใจที่เข้ามาเติมเต็มให้ทุกคน เอกกี้ แอม แชมป์ ท๊อปรวมถึงผมเองขณะที่ทำงานนี้ เราทำแทนเพื่อน ๆ ชาวภูลังกาทุกคน ไม่มีบ่นเหนื่อยหรืออู้งาน บางครั้งผมก็ถูกแอมอำว่า ทำ 3  ดู 7  แต่นั่นก็เป็นแค่เรื่องสนุกสนานที่พวกเราหามาพูดคุยกัน เพื่อให้การทำงานแต่ละวินาทีที่ผ่านไปมีแต่ความสุข บางครั้งผมก็แอบเดินไปกินขนมปุยฝ้ายของต้อที่เอกเก็บไว้ให้ผมพร้อมทั้งนึกหัวเราะตัวเองว่า ความรู้สึกแบบนี้มันหายไปนาน ความรู้สึกที่หน้าอกด้านซ้ายพองโต มีแต่แรงใจที่ไม่มีวันหมด บางครั้งระหว่างทำงานก็หยิบมะขามป้อมออกมากินกันในกลุ่มและเริ่มต้นอำกันเองอีกครั้ง ภาพเก่า ๆ ที่เราทำงานบนภูสอนให้เราทำงานนี้ง่ายขึ้นมากทุกอย่างรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วจนใกล้เสร็จ ซึ่งผมไม่แปลกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะเพราะอะไรก็แล้วแต่ ผมยังอยากจะมอบความดีความชอบครั้งนี้ให้กับเพื่อน ๆ ชาวค่ายทุกคน

          ตอนนี้มีน้ำท่วมทั่วไป พวกเราที่อยู่ กทม. ได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า     แต่ผมยังเชื่อว่าพวกเราสามารถฝ่าวิกฤตนี้ไปได้   ก่อนหน้านี้พวกเราตระเวนกันไปหลาย ๆ ที่เพื่อช่วยแพคของ กรอกทรายเพื่อทำแนวกั้นน้ำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันออกมาจากข้างในของพวกเราเอง ไม่มีใครบังคับ ซึ่งผลสุดท้ายแล้ว แม้น้ำจะไหลนองจนท่วมกรุงเทพฯ  เพื่อนบางคนเริ่มถูกภัยน้ำท่วมคุกคามผมก็ยังเชื่อว่าพวกเราจะไม่ทิ้งกันและยังพร้อมจะออกไปช่วยเหลือกัน เพื่อสิ่งที่เรามีคือความไว้เนื้อเชื่อใจในกันและกัน ซึ่งมันส่งผลมาจากค่ายภูลังกานั่นเอง


29 ตุลาคม 2554
ต้นจำปูนหลังบ้าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น