ผมนั่งมองน้องๆ
ค่อยเดินมารวมกลุ่มที่ลานกางเต๊นท์ที่พักเพื่อรอกินข้าวเย็นแล้ว
ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโสในค่ายค่อย ๆ ขยายตัวอยู่ข้างในใจ ปกติเราออกค่าย เฮียเกียรติจะมาด้วยทุกครั้ง
ซึ่งทำให้คุณบัญญัติมีคนคอยคุยด้วย
ทีมฉลามชลที่มี Buddy
อย่างทินที่ผมสนิทสนมจากค่ายที่ราชบุรีเมื่อปลายปีก่อน
ทศกับชัยที่คอยขับกล่อมบรรเลงเพลงตามเส้นสายให้ความรู้สึกเร้าอารมณ์ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับป่าเขาที่โอบล้อมพวกเรา
โต้งก็เหมือนจะวิ่งวุ่นกับการซื้อของให้กับค่าย
จนผมคิดว่าโต้งไม่ได้มาร่วมงานด้วยกันซะแล้วถ้าไม่ได้กินน้ำยาบำรุงกำลังเมื่อช่วงบ่าย
แต่อย่างน้อยคุณบัญญัติก็ยังมีโต้งคอยช่วยคิดช่วยอ่านในการพาค่ายนี้ให้สำเร็จตามจุดมุ่งหมายของมัน ผมเหลือบมองดร,เอก,ท๊อป ,แชมป์,แอมซึ่งมาร่วมงานกันหลาย
ๆ ค่ายแล้วรู้สึกอุ่นใจที่มีคนคอยช่วยเหลือทีมงาน
และ สิ่งที่ทำให้หัวใจผมเบิกบานเป็นอย่างมากคือ มีคนใหม่ ๆ
ที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทีมมหพันธ์ กระดุม,โอ๋,เงี๊ยบ,มิ้งค์,ตั้ง,ยา และอีกหลายคน ทีมพยาบาลหนูเล็ก
จุ๋ม อุ๊ หนิง อ๋อย ทีมเพื่อนเปิ้ลที่นั่งรถตู้มาจากกรุงเทพฯด้วยกัน เฮือง,
ต้อ, ใหม่, มิค,ปู, กุ้ง, ปลา,ใหม่ ทีมที่นั่งรถตู้มากับผมก็
แอน,เจย์,เฮง,กั้ง
ผมนั่งมองสมาชิกค่ายอยู่ไม่นานนักก็มีจนท. นำเครื่องปั่นไฟมาติดตั้ง
ข้าวพร้อมกับข้าวฝีมือป๋าแอ๊ดก็มาเสริฟให้บรรดาคนค่ายผู้หิวโหยซึ่งพึ่งผ่านด่านอาบน้ำสุดโหดมาหมาด
ๆ
อาหารคืนนั้นเป็นคืนแรกที่ผมกินโดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรตอนตักเข้าปาก
เนื่องจากไฟไม่ค่อยสว่างนัก
แต่รสชาติอาหารก็ให้ความอร่อยเหมือนทุกมื้อโดยเฉพาะน้ำพริกที่เผ็ดจัดจ้าน
ผัดผักที่ยาวจนต้องค่อย ๆ เคี้ยวเข้าไปทีละนิด ทีละนิด แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี
ผมเดินไปเอาผ้าใบสีขาวที่เตรียมมาจากบ้านมาปูรองพื้น
เพื่อให้นั่งสะดวกขึ้น
และนำโทรศัพท์มือถือไปชาร์จแบตเตอรี่ที่ปลั๊กไฟของเครื่งปั่นไฟ “พี่หน่องขา
จุ๋มจะชาร์จแบตเตอรี่น่ะค่ะ ทำไงดี”
น้องจุ๋มสาวหน้าใส ถามขึ้น “หนูเล็กจะชาร์จด้วยนะพี่”
น้องหนูเล็กร้องขอตามมาติด ๆ “เดี๋ยวพี่จัดการให้” ผมอาสาทำให้อย่างเต็มใจเพราะเข้าใจหัวอกคนที่มีโทรศัพท์แต่ไม่มีแบตเตอรี่เป็นอย่างดี "พี่หน่อง
น้องอ๋อยพูดภาษาญี่ปุ่นได้นะ" หนูเล็กบอกผม "จริงดิ" ผมแปลกใจนิดหน่อย เพราะอ๋อยคนเงียบๆ ที่ยืนรับส่งถังปูนเมื่อกลางวัน
ไม่ค่อยพูดค่อยจากับคนแก่อย่างผมเท่าไรนัก
เอาแต่หัวเราะอย่างเดียวตอนผมเหวี่ยงถังปูนแรงๆ สูง ๆ ส่งให้ ไม่ได้ ๆ
ต้องทดสอบซะหน่อย ว่าแล้วผมก็พูดเป็นภาษาญี่ปุ่นออกไป “วะตะชิวะ
มณเฑียร เดสซึ” ผมบอกน้องอ๋อยเป็นภาษาญี่ปุ่น
“ใช่ไม๊อ๋อย” จุ๋มร้องถามอย่างทึ่ง ๆ
อ๋อยพยักหน้าแทนคำตอบ “อะนะตะวะ อ๋อย เดสซึก๊ะ” นะ ไหน ๆ ก็พูดแล้ว ก็เลยพุดต่อไปอีกเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ อ๋อยก็พยักหน้าหงึกหงัก
หนูเล็กกับจุ๋มทำท่าเหมือนตกใจที่คนหน้าธรรมดาอย่างผมก็สามารถสปี๊กภาษาญี่ปุ่นได้
ฮ่า ๆๆๆๆ ผมหัวเราะในใจแต่ก็แอบอมยิ่มออกมาแบบนึกขันตัวเอง
เพราะถ้าถามมากว่านี้ผมก็คงบอกได้แค่ว่า “ไฮ โดโสะ โยโรจิขุ”
เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง
โต้งก็นำไฟมาติดที่ต้นไม้ ใกล้ ๆ โต๊ะตั้งหม้อข้าว ผมเข้าไปช่วยดูนิดหน่อย
ความจริงดูโทรศัพท์มือถือที่ชาร์จนั่นแหละ แหมก็รับของสาว ๆมาด้วย
ดี๋ยวของเค้าเสียหายไปเราจะแย่ เมื่อเสร็จแล้วจึงเดินไปตีกลองร้องเพลงให้น้อง ๆ
ฟัง แต่บรรยากาศท้องฟ้าด้านบนเริ่มครึ้มฟ้าครึ้มฝนแล้ว
“จุดเทียน เวียนวน เรามาสองคน วนเอ๋ยวนเวียน จุดเทียน เวียนวน เรามาสองคน
วนเอ๋ยวนเวียน หมุนสับสลับเปลี่ยน เรามาจุดเทียน เวียนเอ๋ยเวียนวน…” ผมเริ่มร้องเพลงปลุกบรรยากาศค่ายให้ครึกครื้นพร้อมทั้งตีกลองไปด้วยเพื่อเริ่มคืนแรกของการพักบนภู
พวกเราร่วมกันร้องเพลงกันไปซักพัก ฝนก็เริ่มลงมาประปราย
ช่วงนี้แหละที่ต่างคนเริ่มหาที่หลบฝน แต่ฝนก็ตกไม่แรงนักแค่ปรอย ๆ
ซักพักก็หยุด พออะไรเริ่มจะดี
เครื่องปั่นไฟเจ้ากรรมก็ดันมาหยุดทำงานอีก ต้องเสียเวลาแก้ไขกันอยู่นาน
สองนาน เมื่อแก้ไขเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกคนก็เริ่มกลับมาเข้าที่เตรียมตัวตั้งวงกันต่อไป
“พรุ่งนี้ตี 4
เราจะไปขึ้นภูกันนะครับ ผู้ที่จะขึ้นภูเตรียมตัวให้พร้อมด้วยครับ” คุณบัญญัติประกาศออกมาให้ทุกคนทราบ
แต่อารมณ์ผมตอนนั้นนึกอยากจะนอนหลับพักผ่อนให้สมกับความเหนื่อยเมื่อยล้าที่สะสมมาตั้งแต่ออกจากรุงเทพฯ
เมื่อคืนก่อนแล้ว ในใจผมคืนนั้นไม่นึกอยากจะขึ้นภูแม้แต่นิดเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น