วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บันทึกภูลังกา-VIII-รำพึงถึงเธอ

                ผมนั่งมองน้องๆ ค่อยเดินมารวมกลุ่มที่ลานกางเต๊นท์ที่พักเพื่อรอกินข้าวเย็นแล้ว ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโสในค่ายค่อย ๆ ขยายตัวอยู่ข้างในใจ  ปกติเราออกค่าย เฮียเกียรติจะมาด้วยทุกครั้ง ซึ่งทำให้คุณบัญญัติมีคนคอยคุยด้วย  ทีมฉลามชลที่มี Buddy  อย่างทินที่ผมสนิทสนมจากค่ายที่ราชบุรีเมื่อปลายปีก่อน ทศกับชัยที่คอยขับกล่อมบรรเลงเพลงตามเส้นสายให้ความรู้สึกเร้าอารมณ์ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับป่าเขาที่โอบล้อมพวกเรา โต้งก็เหมือนจะวิ่งวุ่นกับการซื้อของให้กับค่าย จนผมคิดว่าโต้งไม่ได้มาร่วมงานด้วยกันซะแล้วถ้าไม่ได้กินน้ำยาบำรุงกำลังเมื่อช่วงบ่าย แต่อย่างน้อยคุณบัญญัติก็ยังมีโต้งคอยช่วยคิดช่วยอ่านในการพาค่ายนี้ให้สำเร็จตามจุดมุ่งหมายของมัน  ผมเหลือบมองดร,เอก,ท๊อป ,แชมป์,แอมซึ่งมาร่วมงานกันหลาย ๆ ค่ายแล้วรู้สึกอุ่นใจที่มีคนคอยช่วยเหลือทีมงาน  และ สิ่งที่ทำให้หัวใจผมเบิกบานเป็นอย่างมากคือ มีคนใหม่ ๆ ที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก  ทีมมหพันธ์ กระดุม,โอ๋,เงี๊ยบ,มิ้งค์,ตั้ง,ยา และอีกหลายคน  ทีมพยาบาลหนูเล็ก จุ๋ม อุ๊ หนิง อ๋อย ทีมเพื่อนเปิ้ลที่นั่งรถตู้มาจากกรุงเทพฯด้วยกัน เฮือง, ต้อ, ใหม่, มิค,ปู, กุ้ง, ปลา,ใหม่   ทีมที่นั่งรถตู้มากับผมก็ แอน,เจย์,เฮง,กั้ง ผมนั่งมองสมาชิกค่ายอยู่ไม่นานนักก็มีจนท. นำเครื่องปั่นไฟมาติดตั้ง ข้าวพร้อมกับข้าวฝีมือป๋าแอ๊ดก็มาเสริฟให้บรรดาคนค่ายผู้หิวโหยซึ่งพึ่งผ่านด่านอาบน้ำสุดโหดมาหมาด ๆ  อาหารคืนนั้นเป็นคืนแรกที่ผมกินโดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรตอนตักเข้าปาก เนื่องจากไฟไม่ค่อยสว่างนัก แต่รสชาติอาหารก็ให้ความอร่อยเหมือนทุกมื้อโดยเฉพาะน้ำพริกที่เผ็ดจัดจ้าน ผัดผักที่ยาวจนต้องค่อย ๆ เคี้ยวเข้าไปทีละนิด ทีละนิด  แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี 
ผมเดินไปเอาผ้าใบสีขาวที่เตรียมมาจากบ้านมาปูรองพื้น เพื่อให้นั่งสะดวกขึ้น และนำโทรศัพท์มือถือไปชาร์จแบตเตอรี่ที่ปลั๊กไฟของเครื่งปั่นไฟ  พี่หน่องขา จุ๋มจะชาร์จแบตเตอรี่น่ะค่ะ ทำไงดี”  น้องจุ๋มสาวหน้าใส ถามขึ้น หนูเล็กจะชาร์จด้วยนะพี่น้องหนูเล็กร้องขอตามมาติด ๆ เดี๋ยวพี่จัดการให้”  ผมอาสาทำให้อย่างเต็มใจเพราะเข้าใจหัวอกคนที่มีโทรศัพท์แต่ไม่มีแบตเตอรี่เป็นอย่างดี  "พี่หน่อง น้องอ๋อยพูดภาษาญี่ปุ่นได้นะ" หนูเล็กบอกผม "จริงดิ"  ผมแปลกใจนิดหน่อย เพราะอ๋อยคนเงียบๆ ที่ยืนรับส่งถังปูนเมื่อกลางวัน ไม่ค่อยพูดค่อยจากับคนแก่อย่างผมเท่าไรนัก  เอาแต่หัวเราะอย่างเดียวตอนผมเหวี่ยงถังปูนแรงๆ สูง ๆ ส่งให้ ไม่ได้ ๆ ต้องทดสอบซะหน่อย ว่าแล้วผมก็พูดเป็นภาษาญี่ปุ่นออกไป วะตะชิวะ มณเฑียร เดสซึ”  ผมบอกน้องอ๋อยเป็นภาษาญี่ปุ่น ใช่ไม๊อ๋อยจุ๋มร้องถามอย่างทึ่ง ๆ อ๋อยพยักหน้าแทนคำตอบ อะนะตะวะ อ๋อย เดสซึก๊ะนะ ไหน ๆ ก็พูดแล้ว ก็เลยพุดต่อไปอีกเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ  อ๋อยก็พยักหน้าหงึกหงัก หนูเล็กกับจุ๋มทำท่าเหมือนตกใจที่คนหน้าธรรมดาอย่างผมก็สามารถสปี๊กภาษาญี่ปุ่นได้ ฮ่า ๆๆๆๆ  ผมหัวเราะในใจแต่ก็แอบอมยิ่มออกมาแบบนึกขันตัวเอง เพราะถ้าถามมากว่านี้ผมก็คงบอกได้แค่ว่า ไฮ โดโสะ โยโรจิขุ

เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง โต้งก็นำไฟมาติดที่ต้นไม้ ใกล้ ๆ โต๊ะตั้งหม้อข้าว  ผมเข้าไปช่วยดูนิดหน่อย ความจริงดูโทรศัพท์มือถือที่ชาร์จนั่นแหละ แหมก็รับของสาว ๆมาด้วย ดี๋ยวของเค้าเสียหายไปเราจะแย่ เมื่อเสร็จแล้วจึงเดินไปตีกลองร้องเพลงให้น้อง ๆ ฟัง  แต่บรรยากาศท้องฟ้าด้านบนเริ่มครึ้มฟ้าครึ้มฝนแล้ว จุดเทียน เวียนวน เรามาสองคน วนเอ๋ยวนเวียน จุดเทียน เวียนวน เรามาสองคน วนเอ๋ยวนเวียน หมุนสับสลับเปลี่ยน เรามาจุดเทียน เวียนเอ๋ยเวียนวน…”  ผมเริ่มร้องเพลงปลุกบรรยากาศค่ายให้ครึกครื้นพร้อมทั้งตีกลองไปด้วยเพื่อเริ่มคืนแรกของการพักบนภู พวกเราร่วมกันร้องเพลงกันไปซักพัก ฝนก็เริ่มลงมาประปราย ช่วงนี้แหละที่ต่างคนเริ่มหาที่หลบฝน แต่ฝนก็ตกไม่แรงนักแค่ปรอย ๆ ซักพักก็หยุด  พออะไรเริ่มจะดี เครื่องปั่นไฟเจ้ากรรมก็ดันมาหยุดทำงานอีก ต้องเสียเวลาแก้ไขกันอยู่นาน สองนาน  เมื่อแก้ไขเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกคนก็เริ่มกลับมาเข้าที่เตรียมตัวตั้งวงกันต่อไป พรุ่งนี้ตี 4  เราจะไปขึ้นภูกันนะครับ ผู้ที่จะขึ้นภูเตรียมตัวให้พร้อมด้วยครับคุณบัญญัติประกาศออกมาให้ทุกคนทราบ แต่อารมณ์ผมตอนนั้นนึกอยากจะนอนหลับพักผ่อนให้สมกับความเหนื่อยเมื่อยล้าที่สะสมมาตั้งแต่ออกจากรุงเทพฯ เมื่อคืนก่อนแล้ว ในใจผมคืนนั้นไม่นึกอยากจะขึ้นภูแม้แต่นิดเดียว    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น