วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ภูลังกา-Special Edition


หลังจากออกมาจากภูลังกา ระหว่างทางที่นั่งรถตู้กลับบ้าน  ภายในรถ เอกกี้เป็นคนแรกที่เอาของขวัญจากบั๊ดดี้มาโชว์ให้เพื่อน ๆ ในรถอิจฉาเล่น นี่นี่ เค้าได้นาฬิกาปลุกด้วย  สวยน้า เสียงเอกพูดอวด ๆ  พร้อมทั้งหยิบนาฬิกา ออกมาโชว์เพื่อน ๆ   จากนั้นก็แสดงลูกเล่นของนาฬิกาดังกล่าว ซึ่งสามารถฉายแสงแสดงเวลาไปยังเพดาน หรือม่านรับภาพได้ สีแดงสดใสของตัวเลขบอกเวลาบนเพดานภายในรถตู้ขณะนั่งรถกลับจากภู ทำให้ผมอมยิ้มและอดแซวเอกไปด้วยไม่ได้  ผมรู้ว่าน้องต้อเป็นคนมอบนาฬิกานี้ให้ แลกกับเทียนรูปลูกบาศก์ 1  แท่ง ถ้ามองในเชิงมูลค่าแล้วมันก็คงเทียบกันไม่ได้ เหมือนที่ผมแซวว่า เอากุ้งฝอยไปตกปลากะพงนั่นแหละ แต่ก็มีคนบอกอยู่เสมอ ๆ ว่า คุณค่าของของนั้น สำคัญที่คนให้ ไม่ใช่มูลค่าของ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าจริง แต่ในใจผมก็ยังมีค้าน ๆ นะ เพราะถ้าใครเอาฟอร์จูนเนอร์มาแลกกับปลาเข็ม(รถยนต์ส่วนตัว Toyota  3  ห่วง ปี 1994)  แล้วล่ะก็ ผมก็คงไม่ลังเลที่จะแลก ทั้งๆที่ปลาเข็มเป็นเพื่อนที่มีคุณค่าทางใจผมมานาน และคงคิดว่ามันเมาหรือรวยจนเพี้ยนกันแน่  

          รถตู้ที่พวกเราโดยสารแวะพักทานข้าวที่ปั๊มน้ำมันในเขตจังหวัดพิษณุโลก ช่วงนั้นฝนตกแรงมาก แต่เมื่อรถตู้หยุด สิ่งแรกที่เอกทำ คือ ออกจากรถตู้พร้อมร่ม กันฝนเพื่อนำไปรับน้องต้อไม่ให้เปียก ระหว่างที่เดินไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งผมนึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็ให้รู้สึกว่า เวลาของผมมันย้อนกลับไปสู่สมัยเด็ก ม. ปลายที่แอบตัดดอกไม้ไปให้สาว ๆ เสียทุกที มันเป็นความรู้สึกอบอุ่น ความหวังดี มีความปรารถนาดีเจืออยู่เต็มไปหมด  รู้สึกเย็นใจเมื่อได้อยู่ใกล้  ไม่ร้อนรุ่ม ไม่คุกรุ่น

          เวลาผ่านไป เกือบเดือนขณะที่ผมยืนรอขึ้นรถตู้อยู่ที่ลานจอดรถเบทาโกรเพื่อจะเดินทางไปทำการสร้างกำแพงโรงอาหารให้กับนักเรียนโรงเรียนบ้านห้างสูง  ฝนก็ตกพรำ ๆ น้องเอกถือถุงพลาสติกใส่อะไรบางอย่างมายื่นให้  “พี่หน่อง น้องปลาฝากของมาให้”  เอกกี้กล่าวด้วยแววตาเจ้าเล่ห์  มะขามป้อมหรือเปล่าเอก”  ผมถามด้วยความยินดี เพราะได้บอกให้ปลาฝากมะขามป้อมมากับเอก เพื่อมาให้พวกเราชาวเบทาโกร ไม่ใช่นะพี่ มะขามที่จอดรถจากนั้นเอกก็แกะถุงปล่อยให้น้ำฝนไหลเข้าไปในถุง อันนี้คือ มะขามเปียก ส่วนมะขามที่พี่ต้องการ พี่หน่องไปรับมะขามจากผมที่ป้อมยามข้างหน้า อันนั้นแหละถึงจะเรียกว่า มะขามป้อม ผมหัวเราะไปกับมุกของเอก แชมป์ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย ความจริงผมสังเกตมาได้ระยะหนึ่งแล้วว่า หลังจากที่พวกเรากลับมาจากภูลังกา พวกเราเหมือนมีโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งซุกซ่อนเอาไว้ในใจ มักจะมีรอยยิ้มหวาน ๆ ระบายตามใบหน้าเมื่ออ่านข้อความให้กำลังใจกันเองจาก Facebook  มีความห่วงหาอาทรและความรู้สึกดี ๆ ส่งผ่านให้กันผ่านหน้าจอเล็กๆ  นี่แหละที่ผมบอกกับตัวเองว่า ผมหลงเสน่ห์ของค่ายภูลังกาเข้าอย่างจัง มันเหมือนเวลามันหมุนกลับไปเมื่อเรายังเป็นหนุ่มสาว มีหัวใจเปี่ยมสุข พร้อมที่จะออกไปช่วยเหลือคนอื่น ๆ โดยที่ไม่ได้สนใจตัวเอง ขอเพียงแค่ได้ทำตามหัวใจปรารถนาเป็นพอ
  
          ระหว่างทำงานสร้างกำแพงกับน้อง ๆ เรื่องสนุกสนานสมัยภูลังกาถูกขุดมาพูดกันตลอด มันเหมือนมีแรงใจที่เข้ามาเติมเต็มให้ทุกคน เอกกี้ แอม แชมป์ ท๊อปรวมถึงผมเองขณะที่ทำงานนี้ เราทำแทนเพื่อน ๆ ชาวภูลังกาทุกคน ไม่มีบ่นเหนื่อยหรืออู้งาน บางครั้งผมก็ถูกแอมอำว่า ทำ 3  ดู 7  แต่นั่นก็เป็นแค่เรื่องสนุกสนานที่พวกเราหามาพูดคุยกัน เพื่อให้การทำงานแต่ละวินาทีที่ผ่านไปมีแต่ความสุข บางครั้งผมก็แอบเดินไปกินขนมปุยฝ้ายของต้อที่เอกเก็บไว้ให้ผมพร้อมทั้งนึกหัวเราะตัวเองว่า ความรู้สึกแบบนี้มันหายไปนาน ความรู้สึกที่หน้าอกด้านซ้ายพองโต มีแต่แรงใจที่ไม่มีวันหมด บางครั้งระหว่างทำงานก็หยิบมะขามป้อมออกมากินกันในกลุ่มและเริ่มต้นอำกันเองอีกครั้ง ภาพเก่า ๆ ที่เราทำงานบนภูสอนให้เราทำงานนี้ง่ายขึ้นมากทุกอย่างรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วจนใกล้เสร็จ ซึ่งผมไม่แปลกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะเพราะอะไรก็แล้วแต่ ผมยังอยากจะมอบความดีความชอบครั้งนี้ให้กับเพื่อน ๆ ชาวค่ายทุกคน

          ตอนนี้มีน้ำท่วมทั่วไป พวกเราที่อยู่ กทม. ได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า     แต่ผมยังเชื่อว่าพวกเราสามารถฝ่าวิกฤตนี้ไปได้   ก่อนหน้านี้พวกเราตระเวนกันไปหลาย ๆ ที่เพื่อช่วยแพคของ กรอกทรายเพื่อทำแนวกั้นน้ำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันออกมาจากข้างในของพวกเราเอง ไม่มีใครบังคับ ซึ่งผลสุดท้ายแล้ว แม้น้ำจะไหลนองจนท่วมกรุงเทพฯ  เพื่อนบางคนเริ่มถูกภัยน้ำท่วมคุกคามผมก็ยังเชื่อว่าพวกเราจะไม่ทิ้งกันและยังพร้อมจะออกไปช่วยเหลือกัน เพื่อสิ่งที่เรามีคือความไว้เนื้อเชื่อใจในกันและกัน ซึ่งมันส่งผลมาจากค่ายภูลังกานั่นเอง


29 ตุลาคม 2554
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บันทึกภูลังกา-XV-จนกว่าจะพบกันใหม่

             ผมเดินเข้ามาที่บ้านพักเพื่อเตรียมตัวเก็บของเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในเช้าวันจันทร์หลังจากมีงานเลี้ยงเมื่อคืน เห็นตี๋กับพี่เล็กนอนกันอยู่บนเตียง คุณบัญญัตินอนขดตัวอยู่บนพื้นที่มุมห้องด้านใน ของต่าง ๆ ถูกวางระเกะระกะเต็มห้องไปหมด ตี๋ผงกหัวขึ้นมามองผมแล้วแล้วพูดขึ้นเมื่อคืนเหมือนจะมีฝนตกน่ะพี่หน่อง เค้าเลยเก็บของเข้ามาไว้ที่ห้อง ผมผงกหัวรับทราบและเริ่มเก็บของใช้ส่วนตัวเข้าเป้เสื้อผ้าใบเก่ง จากนั้นก็ไปอาบน้ำ ล้างหน้าให้สดชื่น เช้านี้อากาศสดใสจนผมไม่รู้เลยว่า เมื่อคืนมีฝนตกที่ค่าย ที่ลานกางเต๊นท์ ดร ท๊อป เอกกี้ แชมป์ แอมก็กำลังช่วยกันเก็บเต๊นท์  3  หลังที่พวกเราอาศัยนอนกันมา 2  คืน ผมเข้าไปเก็บของในเต๊นท์เข้าเป้ใบเล็กที่ใช้หนุนหัวนอนจึงรู้ว่าเหล้าที่เตรียมมานั้นเหลือเพียงขวดเดียว จากที่เตรียมมาทั้งหมด 3  ขวด แชมป์ เหล้าไปไหนขวดนึง”  “อ๋อ พี่หน่อง เมื่อคืนผมมาหยิบไปกินกับเพื่อน ๆ น่ะ ผมรับฟังแล้วก็คิดว่าเพื่อน ๆ ของแชมป์น่าจะเป็นปลา ต้อ แอม เอกกี้แน่ ๆ เพราะดูเหมือนว่าเมื่อคืนแชมป์จะประสานงานงานและอำนวยความสะดวกให้กับสาวๆ ชาวค่ายเป็นพิเศษ แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เลยแกล้งพูดกับแชมป์ว่า ทำไมไม่เห็นปลุกพี่ไปร่วมวงด้วยล่ะ พี่รอจนหลับไปเลย”  “โธ่ พี่หน่อง ผมปลุกพี่แล้ว แต่พี่ไม่ตื่นน่ะสิ”  แชมป์เอาตัวรอดไปตามสไตล์  และเพราะว่าคุ้นกันมานานผมเลยหัวเราะด้วยความเข้าใจ แก่ ๆ อย่างผม ไปร่วมด้วย บรรยากาศมันจะไม่สดชื่นสมวัย แล้วพาลจะทำให้แชมป์ออกลีลาไม่ได้มากซะเปล่า ๆ จากนั้นผมจึงเดินไปหยิบกล้องถ่ายรูป มาถ่ายรูปรอบ ๆ ลานกางเต๊นท์ กั้ง  แอน เฮง เจย์ กำลังเก็บเต๊นท์หลังใหญ่ ต้อเดินป้วนเปี้ยนไปมาบริเวณนั้นด้วย ผมเลยได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย เอ ต้อเค้าพักอยู่แถวนี้ด้วยหรือ ทำไมผมไม่เคยรู้เลย หรือเพราะว่าสนิทสนมกับบั๊ดดี้ทันใดนั้น ภาพงานเมื่อคืนก็ไหลออกมาจากห้วงความคิด เอกกับต้อถูกจับให้เป็นบั๊ดดี้กัน เพราะต่างคนต่างไม่มีบั๊ดดี้เนื่องจากกลับกันไปก่อนแล้ว  หนุ่มกระดุมเดินอวดตุ๊กตาลิงน่ารักที่ได้รับจากน้องหนิง วนไป วนมารอบลานกางเต๊นท์  ข้าง ๆ ตัวก็มีห่อผ้า ซึ่งดุมใช้ผ้าขาวม้าลายขาวสลับแดงห่อและสะพาย ผมดูแล้วคล้าย ๆ ผู้โดยสารที่มาลงจากรถแถวๆ หมอชิต 2 และมองหาแท๊กซี่เพื่อไปเยี่ยมญาติในเมืองกรุง  ส่วนตุ๊กตาลิงกับกระดุม ผมคิดขำ ๆ คนเดียวว่า คล้าย  ๆ  พ่อลิงตัวใหญ่อุ้มลูกน้อยแสนหวงเดินออกมารับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า  “…ร้องเรียกหา ว่ามารับลูกลิง แม่ถูกยิง พ่อลิงมารับไป…” ช่างเข้ากับเพลงลิงทะโมนของพงษ์เทพจริง ๆ ผมยิ้มคนเดียวแบบขัน ๆ แล้วจึงเดินไปบอกดุมว่า ดุม พี่ขอถ่ายรูปหน่อยสิ น่ารักดี”  กระดุมก็รับทราบและตั้งท่าให้ผมเก็บภาพประทับใจ เออ ดู ๆ ดุมกับลิงมันเข้ากันดีเหมือนกันแฮะ

          พอทุกอย่างเรียบร้อย ผมเดินลงจากเนินเพื่อไปทานข้าวเช้าก่อน เห็นบั๊ดดี้  สลึมสลือ โผล่หน้าออกมาจากเต๊นท์แถวๆ อาคารของป่าไม้ เลยร้องทัก อ้าว บั๊ดดี้พี่ ไปทานข้าวกันได้แล้ว” “ค่า พี่บั๊ดดี้ เสียงงัวเงียตอบรับมาเหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่นจากน้องเกด กระดุมเดินตามผมมาพร้อมพี่เล็ก และตี๋  ผมเพิ่งได้คุยจริง ๆ จังกับดุมเช้านี้เอง วันที่ผ่านมาสิ่งที่ทำให้ผมจำดุมได้คือ 1. ดุมไม่ดื่ม เพราะเข้าพรรษา   2. ผสมปูนใหม่ ปูนยังใช้ไม่ได้   ระหว่างสนทนาดุมบอกผมว่า พี่หน่อง ดุมมีคำสอนหนึ่งจะบอกพี่นะ ดุมใช้ประจำเลย  ถ้าพี่จะทะเลาะกับหัวหน้า ให้ไปกัดกับหมาดีกว่า ผมฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มขำ เพราะดูๆ แล้วดุมน่าจะไปกัดกับหมีดีกว่า เพราะตัวใหญ่แบกน้ำหนักมาก ถ้าไปกัดกับหมา มันจะเป็นการเอาเปรียบหมามากเกินไป 

          เมื่อไปถึงที่ก่อสร้างซึ่งเรียบร้อยสวยงามตามแบบชาวค่าย   ผมเห็นหลาย ๆ คนกำลังเก็บภาพประทับใจ ทุกคนดูแจ่มใส แต่งตัวด้วยเสื้อ ภูลังกาสีขาวตุ่น ๆ แขนยาวสีเขียวอ่อน มีตัวหนังสือปะด้านหน้าว่า สวัสดีภูลังกา แลดูสวยงามทีเดียว  ผมเดินไปกินข้าวที่เตรียมไว้ เช้านี้ไข่เจียวกับหน่อไม้น้ำพริกกะปิ ช่วยให้รู้ว่าอะไร ๆ ก็อร่อยถ้าเรากินกันเวลาหิวมาก ๆ  เมื่อทุกคนกินข้าวเสร็จแล้วก็ทยอยเดินกันไปที่หน้างานเพื่อถ่ายรูปหมู่กันก่อนกลับ  ทันใดนั้นเสียงใส ๆ จากน้องเกดก็มาบอกข้าง ๆ ผมว่า พี่บั๊ดดี้เดี๋ยว เกดขอถ่ายรูปด้วยนะคะ”  “เอาสิผมตอบรับอย่างว่าง่ายเพราะยังไม่มีรูปกับน้องบั๊ดดี้คนนี้เลย เมื่อถ่ายรูปธรรมดาเสร็จ น้องเกด ก็ขอแบบ กระโดดอีก 2 รูป ผมก็ไม่เกี่ยง ทั้ง ๆ ที่การกระโดด อาจะเป็นอันตรายต่อกระดูกในชายสูงวัย   เมื่อได้รูปพอใจแล้ว ผมเห็นเกด เดินไปถ่ายรูปกับ เฮือง พี่ปู  กุ้ง ซึ่งเป็นการกระโดดถ่ายเหมือนกัน ทั้ง 4  คนเมื่อถ่ายเสร็จ เฮือง เดินมาบอกช่างภาพว่า เช็ค เช็ค เช็ค จั๊ม เช็ค จั๊ม ช่างภาพก็งง งง ว่าเฮืองพูดอะไร แต่สุดท้ายก็เข้าใจว่า ขอตรวจดูภาพกระโดดที่เพิ่งถ่ายกันไป ผมงี้ขำน้ำตาไหลเลยกับการสื่อสารของทั้งคู่   เมื่อทุกคนถ่ายรูปจนพอใจแล้ว เราก็มารวมกลุ่มถ่ายรูปหมู่จนเสร็จบนพื้นที่เทเรียบร้อย จากนั้นก็เดินไปรอรถตู้ที่จะมารับที่ถนนด้านล่าง แอนหักกิ่งมะขามป้อมลงไปด้วย นัยว่าจะเอาไปดูที่บ้าน  เมื่อเดินไปถึงถนน พวกเราก็จับกลุ่มถ่ายรูประหว่างรอรถ  ผมเชิญหนูเล็กกับจุ๋มมาถ่ายรูปคู่กันเพราะเห็นแววโพสท่าแล้วใช้ได้ แต่ต้องมีผ้ากันอ้วนปิดขาหนูเล็กนิดหน่อย กลุ่มทอย เอ๊กซ์ แนท เกดขับมอเตอร์ไซด์ลงไปก่อนเป็นกลุ่มแรก จากนั้นก็ป็นพวกเราที่ทยอยกันขึ้นรถตู้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เริ่มเดินทางกลับบ้าน  ผมนั่งอยู่ด้านหลังรถตู้หันไปมงภูลังกาที่ค่อย ๆ ไกลออกไป ใจหนึ่งก็ดีใจที่งานสำเร็จได้กลับบ้านเสียที แต่อีกใจก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน เพราะก่อนมาผมไม่ได้คาดหวังว่าจะมีความประทับใจที่นี่เท่าไรนัก แต่พอเสร็จงานแล้วทำไมมันเหมือนผมถูกมนต์ขลังของค่ายนี้ครอบงำในจิตใจเข้าจนได้ สงสัยต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนทีเดียวกว่าจะกลับสู่สภาวะ ปกติ 


25 ตุลาคม 2554

ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บันทึกภูลังกา-XIV-ใต้แสงจันทร์นวล


            หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดทำงานโดยที่ยังไม่อาบน้ำ เนื่องจากมีคนบอกว่า น้ำไม่ไหล แต่ที่จริงน่าจะมาจากการที่คุณบัญญัติต้องการให้พวกเรารีบลงไปเข้าพิธี บายศรีสู่ขวัญกันมากกว่า ผมจึงรีบเดินลงจากเนินด้านบนมากับน้องตี๋ พี่เล็ก เพื่อมารอเข้าพิธีบายศรีสู่ขวัญด้านล่างร่วมกับเพื่อน ๆ ชาวค่ายคนอื่น ๆ  เบื้องบนพระจันทร์เริ่มขึ้นมาทางทิศตะวันออกแล้ว แสงจันทร์คืนนี้แลดูนวลสวยงามกระจ่างไปทั้งท้องฟ้า บางช่วงอาจจะมีเมฆมาบังบ้าง แต่ไม่นานนักเมฆก็ลอยผ่านเลยไป เหมือนกับมาทักทาย แล้วก็จากลา ซึ่งพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันจากลาของพวกเราเช่นเดียวกัน ที่ลานกว้างด้านล่างมีพ่อหมอและแม่หมอที่เป็นเหมือนผู้ศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้าน 2 คนมาทำพิธีบายศรีสู่ขวัญให้พวกเรา ซึ่งสิ่งสำคัญที่ผมจำได้แม่นยำก็คือ ต้องกุมไข่ต้มไว้ในมือขณะที่มีคนผูกข้อมือเพื่อรับขวัญ เมื่อฟังคำอธิบายจากหัวหน้าหมู่บ้านจบ ทุกคนก็ทยอยเข้าไป ให้พ่อหมอ แม่หมอผูกข้อมือ โดยเริ่มจากพี่หนุ่ยเป็นคนแรกและครอบครัว จากนั้นก็เป็นพวกเราที่ทยอยเข้าไปรับการผูกขวัญ ผมให้แม่หมอผูกข้อมือให้ จากนั้นก็รอให้พ่อหมอผูกรับขวัญต่อ แต่ดูเหมือนว่าพ่อหมอจะคิวยาวเหลือเกิน จึงไม่มีโอกาสได้ผูกข้อมือซักที  พี่บั๊ดดี้ ผูกข้อมือให้หน่อยสิ น้องเกดส่งเสียงใส ๆ มาก่อนเดินมาถึง มีไข่หรือยัง ถ้ายังไปเตรียมไข่มา ผมตอบน้องเกดออกไปอย่างรวดเร็ว น้องเกดเตรียมไข่มาแล้วผมจึงผูกข้อมือให้และอวยพรสิ่งดี ๆ ไปให้บั๊ดดี้ของผม จากนั้นก็เป็นหนูเล็ก พยาบาลจุ๋มที่มาขอให้ผูกข้อมือให้ แล้วสุดท้ายก็น้องตี๋ ส่วนอีกคนหนึ่งที่ผมให้ผูกข้อมือให้คือพี่เล็ก  เมื่อผูกข้อมือกันเสร็จก็ได้กินข้าวกัน ผมหิวโซมาตั้งแต่เย็นเลยไม่ค่อยได้สนใจอะไร ตั้งหน้าตั้งตากินข้าว และระหว่างนั้นก็มีการแสดงของเด็ก ๆ ชาวเขามาให้ชื่นชม เพลงหนึ่งที่ผมจำได้เพราะได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ๆ คือเพลง เทพธิดาดอย ซึ่งพอเพลงบรรเลง เด็ก ๆ ก็ออกท่วงท่าให้เข้ากับจังหวะที่ไพเราะ เมื่อจบการแสดงก็มีการมอบของรางวัลให้กับเด็กๆ และมอบเงินให้กับพี่หนุ่ย ซึ่งผมได้รับเกียรติให้เป็นตัวแทนไปมอบ
          เมื่อพิธีต่าง  ๆ จบลงแล้วก็เป็นงานรื่นเริงของพวกเราชาวค่ายกันต่อ ผมออกไปเป็นพิธีกรคู่กับเอก ฝ่ายดรก็นั่งคุมเรื่องเสียง เครื่องดนตรี เอาล่ะครับ วันนี้ใครมาค่ายเป็นครั้งแรก และมีป้ายคล้องคอ ขอให้ออกมาด้านหน้าเดี๋ยวนี้เลย”  ผมบอกกับน้องๆ ในค่ายเพื่อจะหาคนมาเล่นเกมส์และแจกเสื้อให้กับน้อง ๆ และเพราะมีคนมาก แต่เสื้อมีน้อย ผมจึงใช้วิธีแบ่งกลุ่มเล่นเกมส์ โดยเป็นเกมส์ทายตัวเลข รบกวนพี่บัญญัติของเรา เขียนตัวเลขมา 1  ตัวครับ อะไรก็ได้ จาก  1  ถึง 100”  ผมร้องบอกให้คุณบัญญัติเขียนตัวเลข ลงในกระดาษเล็ก ๆ แล้วให้เอกเก็บไว้ จากนั้นจึงเริ่มทายกันไป ซึ่งถ้าบอกผิดก็จะตัดตัวเลขออกไป จนกระทั่งมาถึงกลุ่มน้องต้อที่ทายว่า  “17 ค่ะ นั่นแหละ จึงได้ผู้ชนะ จากนั้น ก็เป็นการเปิดตัวบั๊ดดี้และมอบของที่ระลึกให้แก่กัน  ระหว่างเปิดตัวผมก็เล่นเกมส์แจวเรือ แจว ม้าแจวจ้ำจึก น้ำนิ่งไหลหลึกหนึกถึงคนแจว เอ้า แจว ม้าแจวจ้ำจึก น้ำนิ่งไหลหลึกหนึกถึงคนแจว เรืออะไรลอยมาช้าจริง เรืออะไรลอยมาช้าจริง ขอเชิญ ลุกขึ้นมาแจว”  พอเอ่ยกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับคนในค่ายเพื่อให้แจว ก็ต้องแจวกันไป  จากนั้นผมก็ร้องเพลงรำวง เพื่อให้ชาวค่ายออกมารำรอบ ๆ กันทั้งหมด  ผมเหลือบไปเห็นพระจันทร์สวยเลยร้องขึ้นมาว่า  เดือน ดารา เด่นบนฟ้า นภาขาวผ่อง เด่นบนฟ้าน่ามอง เชิญจับจอง คู่รักเหมือนว่า เชิญจับจองคู่รักเหมือนว่า…”  พวกเราทุกคนก็ออกมารำวงรอบ  ๆ   เมื่อร้องและรำจนพอหายเมื่อยแล้ว ผมก็มาเฉลยบั๊ดดี้ต่อไปอีก  การเฉลยบั๊ดดี้สิ่งที่เป็นของที่ระลึกในครั้งนี้ผมเห็นทีม มหพันธ์ หอบกระเป๋าไม้ฝาเชอร่ามากันแทบทุกคน ไม่รู้ว่าเวียนกันใช้หรือเปล่า แต่สาวๆ เค้าเตรียมของกระจุ๋มกระจิ๋มใช้ได้จริง ๆ มาให้เยอะเหมือนกัน อย่างเช่น หนิงให้ตุ๊กตาลิงกับกระดุม ต้อให้นาฬิกาปลุกกับเอกกี้ ผมได้ขนมกาละแมจากน้องเกด ได้แล้วก็นึกขำให้กับตัวเอง เพราะเมื่อ เดือนก่อนผมเพิ่งจะแบกถาดขนมกาละแมไปขอลูกสาวเค้ามาเป็นคู่ชีวิตสดๆ ร้อนๆ   และยังจำรสชาติกาละแมได้อยู่เลย  ส่วนผมให้ที่ติดตู้เย็นน้องเกดไปเป็นที่ระลึก แชมป์ แอม เอก ให้เทียนกับบั๊ดดี้ สามหนุ่มนี่ไม่รู้ว่าเลียนแบบกันมาหรือเปล่า แต่เห็นแล้วก็ให้คันในหัวใจประมาณว่า เอากุ้งฝอยไปตกปลากระพงโดยเฉพาะเอกกี้นี่แหละ ตัวดีเลย  จากนั้นก็มีเชิญคนออกมาร้องเพลงด้วยกัน ผมเชิญจุ๋ม แอน ออกมาร้องเพลง บางเพลงที่เห็นน้อง ๆ ร้องได้ก็จะยื่นไมค์ไปให้ร้องเลยเช่นเงี๊ยบ เมื่อเปิดตัวบั๊ดดี้เสร็จแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปเตรียมตัวกินเหล้า พูดคุยกันในกลุ่ม ส่วนผมตัดสินใจจะกลับเข้าไปนอน เพราะวันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน พี่หน่องคะ ปลาจะขอยืมที่ชาร์จแบตไอโฟนน่ะค่ะ น้องปลาเข้ามานั่งใกล้ ๆ แล้วพูดขึ้น พี่ฝากให้แชมป์ไปแล้วครับ ปลาไปทวงกับแชมป์ได้เลย จากนั้นจึงเดินออกไปนอนที่เต๊นท์ บนเนินที่สูงขึ้นไป 

“ … เจ้าช่อมาลี ดึกดื่นอย่างนี้  เจ้านอนไม่หลับ  อีกนาน ก็ยังไม่กลับ  คงตาต่อตา กับใครต่อใคร เจ้าช่อมาลี ยิ่งดึกยิ่งแย้ม  ยิ่งบานกันใหญ่  เจ้าคง ไม่รู้อะไร ว่าทำให้ใคร เขารอทั้งคืน…”  เสียงเพลงใส ๆ จากน้องในค่ายแว่วดังตามหลังมาทำให้ผมฉุกคิดขึ้นได้ว่า   “เจ้าช่อมาลี คนดีของพี่ พี่จากมา 2  วันแล้ว ป่านนี้ยังรอพี่อยู่หรือเปล่าหนอ…”  


24 ตุลาคม 2554

ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บันทึกภูลังกา-XIII-กำลังใจไม่มีหมด

                 ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายพร้อมรับการเทพื้นในช่วงบ่ายอย่างเร่งรีบเนื่องจากเดินทางกลับมาจากภูลังกาเป็นชุดสุดท้าย พวกสาว ๆ หลายคนทยอยเดินไปที่บริเวณพื้นที่จะเทกันเกือบหมดแล้ว ผมเดินนำหน้าตี๋กับพี่เล็กไปที่หน้างานเพื่อรวมกลุ่มกันและเริ่มวางแผนการทำงานคร่าว ๆ  ช่วงบ่ายนี้พวกเราทำการผสมปูนกันทีละ  2 กอง ดังนั้นทีมที่ทำงานเลยแบ่งเป็น  2  กลุ่ม โดย ยา ดุม มิ้งค์ เงี๊ยบ หนุ่ม ๆ จากมหพันธ์ จะแยกไปผสมปูน  1  กอง ผม ท๊อป เอก ดร แอม แชมป์ กั้ง เฮง จะมารับผิดชอบอีกกอง บรรดาสาวสวยทั้งหลายก็เข้าแถวเพื่อขนปูนที่เสร็จแล้วไปเทพื้นและรับหิน รับน้ำมาเทผสมกับปูนที่ได้ผสมไว้แล้ว ช่วงบ่ายๆ นี้ทุกคนทำงานกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทำเหมือนพวกเราเป็นโรงงานย่อม  ๆ  โดยมีหน่วยสนับสนุนน้ำ คือคุณบัญญัติ ที่จะคอยไปนำน้ำใส่ถังพลาสติกขนาดที่ใช้กินตามบ้านมาให้ หน่วยสนับสนุนทรายจะเป็นน้อง ๆ ผู้หญิงใส่แว่น น้องเปิ้ล  ซึ่งเรียกหาทรายเมื่อไร รถขนทรายพร้อมผสมก็จะมาถึงทันที ลูกอมค่ะพี่หน่อง น้องเกด บั๊ดดี้ผู้น่ารักของผม ยื่นลูกอมให้ 2  เม็ด ผมกล่าวขอบคุณแล้วก็รับลูกอมไปแกะกินอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ต้องการความหวานมาช่วยเพิ่มพลังในการทำงาน น้ำเย็น ๆ ค่ะพี่หน่องหนูเล็กยื่นถ้วยโคล่าใส่น้ำแข็งมาให้ เออวันนี้หนูเล็กสวยแฮะ ถึงว่าสิ ทำไมผู้ชายชอบผู้หญิงเอาใจ มันดีอย่างนี้นี่เอง กินน้ำแล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เมื่องานเริ่มเดินไปได้เรื่อย ๆ ทุกคนมีความสุขในการช่วยเหลือกัน และพอเริ่มเหนื่อย ๆ กันอีก ผมก็หาเกมส์มาเล่นซะหน่อย  “เอ้า พวกเรา มาเล่นเกมส์ทายอายุกัน”  ผมดึงน้องเงี๊ยบหนุ่มน้อยจากมหพันธ์ขึ้นมาบนกองทราย และกล่าวว่า มาดูกันว่า หน้าตาดี ๆ อย่างน้องเงี๊ยบ เนี่ย อายุเท่าไหร”  “26 ปีค่า หนูเล็กทายมา เงี๊ยบว่าไง มากกว่า น้อยกว่า” “น้อยไปครับเงี๊ยบเฉลย จากนั้นจึงมีน้องจุ๋ม มาช่วยเล่น และเพื่อน ๆ ร่วมค่าย สุดท้ายไปหยุดที่ เงี๊ยบ อายุ  30  ปี  จากนั้นก็เป็นน้องยา ที่ผมดึงขึ้นมาเป็นคนเล่นเกมส์ทายอายุ ซึ่งยาที่ดูเคร่งขรึม อายุเพิ่งจะ  29  ปี ทำไมน้อยจัง อ่อนกว่าผมเกือบรอบแน่ะ ผมเลยให้ทายคนที่ผมคิดว่าจะทายไม่ถูกแน่ ผมให้ทายอายุคุณบัญญัติ ซึ่งทุกคนไม่มีใครทายถูกเลยเพราะคุณบัญญัติอายุเพิ่งจะ  30 ต้น ๆ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับสาว ๆ เกือบทั้งค่าย ก็นะ อาจจะเพราะผมหน้าอ่อนแต่อายุมาก เลยเหมือนลวงให้ทุกคนไขว้เขวหรือเปล่าไม่รู้

          การทำงานแข่งกับแสงสว่างเป็นไปอย่างรีบเร่ง ฝีมือการผสมปูนของพวกเราดีขึ้นมาก  ไม่ถูกดุมแจ้งแก้ไขแบบเมื่อวานแล้ว หนูเล็กเชียร์เอกกี้บ่อยจนเอกแทบจะลอยเพราะเสียงเชียร์แสนหวาน เมื่อใกล้จะหมดพื้นที่ที่จะเท พวกเราหนุ่มๆ ทั้งหมดก็ยุบกองผสมปูนจนเหลือที่เดียว และช่วยกันผสมโดยไม่เกี่ยงว่าใครเป็นใครแล้ว แต่พระอาทิตย์ก็ใกล้ลับขอบฟ้าเข้ามาทุกที สุดท้ายพวกสาวๆ ก็ต้องวางมือไปอาบน้ำกันก่อน เหลือแต่หนุ่ม ๆ ที่ต้องรับผิดชอบงานเทพื้นที่เหลืออีกนิดเดียวให้แล้วเสร็จ ระหว่างที่นั่งพักล้อมวงบนกองหินพี่ที่ภูลังกา พี่ที่ภูก็ยกเหล้ามาให้กิน คนล่ะเป็กนะ รอบวงนี่แหละพี่เค้าพูดเสร็จก็ดื่มเหล้าจนหมดแก้ว เอแล้วชาวค่ายเราเราจะเริ่มที่ใครก่อนดีล่ะ สุดท้ายผมก็โดนคนแรก เพราะน้อง ๆ มองมาที่ผมกันหมด  มา เอามาเลยแน่ะทำเก่งอีก ผมพูดพร้อมกับรับเหล้าเป็กใหม่มาพร้อมดื่ม เต่อ กี๊ หร่าพูดจบพร้อมกับกระดกเหล้าลงคอลงไปรวดเดียวแบบกินเตอกีร่าที่ผมทำเป็นประจำ ดีกรีเหล้าแรงมาก ร้อนวูบวาบไปในลำคอ พอผมกินแล้ว คนต่อไปนี้ใครล่ะ ฮ่าๆ แน่นอน นายแบบคู่บุญของผมที่นั่งติดกันวนไปทางซ้ายมือผม เอกกี้ต้องกินเป็นคนต่อไป คราวนี้แหละผมรู้สึกสนุกที่ถึงเวลาบังคับให้น้อง ๆ กินกันบ้าง เฮงด้วย เฮงเป็นคนต่อไป” “ต่อไปตั้ง รวดเดียวเลย” “ทอย ทอยกินหน่อย” “เงี๊ยบด้วย เงี๊ยบกินด้วยเลย” “ยา ก็ด้วยอย่า ๆ อย่าหลบ” “อนันต์ แก้วนึง แก้วนึง” “ดร 1 แก้ว กินไป กินไป” “มิ้งค์ด้วย”  น้องมิ้งค์ที่นั่งขวามือผมกูกเร่งเร้าให้กินเข้าไปด้วย ส่วนดุมเดินไปเดินมาบอกผมคำเดียวว่า ผมเข้าพรรษาครับพี่ กินไม่ได้จริง ๆ”  “โอ๋ล่ะ กินหรือยังผมร้องบอกช่างภาพที่รวบผมไว้ข้างหลังแบบเด็กอาร์ตให้มากินเกล้าด้วยกัน ซึ่งโอ๋ก็ไม่ปฏิเสธ เมื่อครบหมดแล้วพวกเราก็เริ่มวนกันใหม่อีกรอบ พอผ่านไปถึงเงี๊ยบ พวกเราก็ออกไปผสมปูนเพื่อเทพื้นในกองสุดท้ายต่อไป การเทครั้งสุดท้ายนี้พวกเราทำกันอย่างไม่คิดชีวิต คุณบัญญัติไม่รู้เอาแรงจากที่ไหน ตักปูนใส่หระป๋องจนผมยกไปให้ดุมกับยาแทบไม่ทัน ยากับดุมก็เทพื้น ปาดหน้าให้เรียบร้อยอย่างรีบเร่ง ดร เอก แอม แชมป์ ท๊อป  กั้ง เฮง น้องๆ มหพันธ์ เด็กถิ่นอย่าง ทอย เอ็กซ์ นายช่าง ก็ช่วยกันผสมเท ผสมเท จนเสร็จงานที่ทำมาตลอดสองวันจนได้  ความรู้สึกหลังเสร็จงานมันบรรยายแทบไม่ถูกจริง ๆ  มันโล่งใจ ภูมิใจ มีความสุข เหนืออื่นใดมันมีมิตรภาพของชาวค่ายที่หลอมพวกเราเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวรวมอยู่ด้วย   



23 ตุลาคม 2554

ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บันทึกภูลังกา-XII-จากทีลอซูถึงภูลังกา

              ครั้งล่าสุดที่ผมเล่นน้ำตกต้องย้อนไปเมื่อวันเด็กเมื่อต้นปี ที่ได้มีโอกาสลงไปเล่นน้ำเย็น ๆ ของทีลอซู ความเย็นของน้ำเหมือน ๆ เอาน้ำแข็งแช่น้ำแล้วพวกเราลงไปเล่นกัน กอรปกับเวลา 5 โมงครึ่งวันนั้น อากาศรอบข้างเลยยิ่งเย็นเป็นทวีคุณ  ครั้งนี้ผมยืนรอเอก แชมป์ ดร อยู่ที่น้ำตกภูลังกา น้ำตกภูลังกา เป็นน้ำตกขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับหลายแห่งที่เคยเที่ยวมา แต่ขึ้นชื่อว่าน้ำตกแล้ว แต่ละแห่งย่อมมีเสน่ห์เฉพาะตัวแตกต่างกันไป สำหรับผมแล้ว ขนาด หรือปริมาณน้ำในแต่ละแห่ง ไม่ใช่ประเด็นที่ผมสนใจ  ผมสนใจในเพื่อนร่วมทางที่พร้อมจะลุยไปด้วยกันไม่ว่าจะเรื่องเล่นน้ำ หรือทำงานให้สำเร็จ  เอก ลุยเลย ผมถอดเสื้อและบอกให้เอกตามมาเล่นน้ำตกด้วยกัน โดยฝากกล้องถ่ายรูปให้น้องตี๋ช่วยบันทึกภาพ ได้เลยพี่หน่อง ไม่มีถอยอยู่แล้ว”  น้องเอกถอดเสื้อและเดินตามมาติดๆ  ดร แชมป์ก็ร่วมเล่นน้ำด้วยกัน น้ำตกเย็น ช่วยให้สดชื่นขึ้นเป็นอย่างมาก เฮงเล่นน้ำอยู่ข้าง ๆ ก็แพลงกิ้งให้เพื่อน ๆ ถ่ายรูปซะงั้น ตี๋ ตี๋ ถ่ายรูปด้วย”  ผมเรียกให้ตี๋ถ่ายรูปเฮง ครั้งแรกเฮงแพลงกิ้งที่น้ำตกที่ไหลลงมา แต่สงสัยไม่หนำใจมั้ง เลยย้ายมาแพลงกิ้งที่ก้อนหินหน้าน้ำตกอีก มิ้งค์คงเห็นเราสนุกเลยถอดเสื้อมาเล่นน้ำด้วยกัน   บนหินหน้าน้ำตกไกลออกไป ต้อ ปลา หนิง สามสาวแสนน่ารักประจำค่ายก็นั่งดูหนุ่ม ๆเล่น น้ำแล้วก็ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ผมชวนเอก ดร แชมป์ ขึ้นไปเล่นน้ำตกที่ชั้น 2 เฮงเห็นพวกผมขึ้นไปก็เลยปีนขึ้นไปด้วยกัน พวกเราเล่นน้ำตกกันอย่างสนุกสนานจนลืมไปเลยว่าเมื่อเช้าเราขึ้นเขากันเหนื่อยยากขนาดไหน ผมตะโกนโหวกเหวก ให้น้องตี๋ช่วยถ่ายรูปให้  โต้งแบกกล้องเดินลุยน้ำมาแต่ไกล เลยถูกเรียกให้ถ่ายรูปพวกเราด้วยเช่นเดียวกัน  รูปที่ฝากตี๋ถ่ายวันนั้น ผมมาเปิดดูภายหลังถึงรู้ว่ามีรูปน้องปลา สาวสวยของค่ายอยู่ในกล้องด้วย น้องปลาหน้าตาใสๆ น่ารักแบบสาวชนบทอิริยาบทสบายๆ  ช่วงที่ขึ้นไปน้ำตกชั้น  2 ยังสบาย ๆ แต่ช่วงลงมาจากชั้นสองของน้ำตกนี่สิ มันออกจะยากเย็น หินก็ลื่นเพราะเปียกน้ำไปหมด  ผมต้องเรียกน้องแอมให้มาช่วยดูแลและบอกทาง รวมทั้งคอยรับถ้าผมพลาดตกลงไป ถ้าไม่ได้น้องแอมวันนั้นล่ะก็ ผมอาจจะร่วงมาจากชั้น 2  ของน้ำตกอย่างไม่เป็นท่าก็ได้

          เมื่อเล่นน้ำตกกันจนพอใจแล้ว พวกเราเดินทางกลับไปยังเต๊นท์ที่พัก ผมนึกถึงทางลงมาที่น้ำตกทันที ทางที่ลงมาก่อนจะถึงน้ำตกนั้นทั้งสูงและชัน ขนาด 80 องศาเลยทีเดียว และดินยังลื่นมากด้วย ช่วงที่ลงมานั้นพี่เล็ก ลื่นลงมาอย่างกับเล่นกระดานลื่นเลยทีเดียว  และด้านล่างสุดมีต้นไม้ใหญ่อยู่  1  ต้น  ซึ่งถ้าลื่นลงมาไม่ระวังแล้วล่ะก็อาจจะชนต้นไม้ใหญ่ได้  ผมค่อย ๆ รวบรวมกำลังขาและปีนขึ้นไปอย่างยากลำบาก แต่ก็พยายามระมัดระวัง ด้านซ้ายจะมีเชือกสีเหลืองผูกไว้ให้ยึด ซึ่งเป็นเชือกที่โต้งและคุณบัญญัตินำมาผูกไว้ให้พวกเราเมื่อช่วงเช้า ตี๋กับพี่เล็กก็ขึ้นมาพร้อมกันกับผม เมื่อพ้นเนินที่สูงชันแล้ว ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก เดินออกไปรอแดงน้อยที่ด้านนอกบริเวณที่พวกเราทานข้าวกันก่อนลงมาเที่ยวน้ำตก  เอก ท๊อป แชมป์ ดร เดินตามกันมา ปิดท้ายด้วยโน๊ต พวกเรานั่งรอรถแดงน้อยกันอยู่ไม่นานนักก็ได้เดินทางกลับเต๊นท์  งานเทพื้นยังรออยู่ข้างหน้าอีกมาก ครึ่งวันบ่ายที่เหลือวันนี้พวกเราต้องเทพื้นที่เหลืออีก 2 ใน 3  ส่วน เมื่อวานตลอดบ่ายเรายังทำได้แค่ 1 ใน 3  แล้ววันนี้ล่ะมันจะเสร็จหรือ  ผมคิดขณะนั่งรถกลับ โดยทิ้งภูลังกาไว้เบื้องหลัง  เก็บมาแต่ประสบการณ์ที่สวยงามตลอดเช้าวันอาทิตย์ที่ประทับใจไม่รู้ลืมไว้ในใจ

22 ตุลาคม 2554
ต้นจำปูนหลังบ้าน



วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บันทึกภูลังกา-XI-ลงภูดูบั๊ดดี้


          ผมเห็นน้องใหม่แบกขาตั้งกล้องเดินลงภู ดูราวกับว่าช่างภาพมืออาชีพ แต่พอถึงช่วงที่ดินลื่นและชัน ขาตั้งกล้องดังกล่าวก็เป็นไม้เท้าที่ช่วยรักษาสมดุลย์ร่างกายไม่ให้เสียไป พรืด พรืด พรืด เสียงน้องใหม่ไถลไปกับพื้นดินเพราะเสียหลัก หรือจะเพราะน้ำหนักตัวก็สุดจะคาดเดา แต่ก็ส่งผลให้ใหม่ลงไปนั่งอย่างเรียบร้อยบนพื้นทุกๆ สองร้อยเมตรเลยก็ว่าได้  จากระยะทางที่ลงมา ใหม่เป็นคนที่ลื่นมากที่สุดจนกางเกงเลอะเป็นสีแดง ผมก็ไม่ต่างกับใหม่ บางครั้งก็ลื่นทั้งๆ ที่ตัวเองระวังอย่างดีแล้ว พอเห็นทุกคนเหน็ดเหนื่อยมาก ผมเลยหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อเปิดเพลงให้สมาชิกผู้ร่วมเดินลงภูลังกาฟังกันซะเลย รถเกือบชนน้อง เพลินมองจอร์นนี่เดินมา…”  เสียงเพลงจอร์นนี่ที่รัก ของคุณบุษบาอธิฐานดังขึ้น น้องแอนซึ่งเดินตามมาด้านหลังก็ร้องคลอไปกับเสียงเพลง บรรยากาศรอบข้างเริ่มครึกครื้นช่วยบรรเทาให้หายเหนื่อยกันไปบ้าง ใจผมตอนนั้นนึกถึงแต่มะขามป้อมที่ได้กินเมื่อช่วงบ่ายวันวาน ถ้ามีซัก 10  ลูกคงช่วยให้เราทุกคนสดชื่นขึ้น ซึ่งช่วงที่ลงจากภูนั้นพวกเราไมค่อยเหนื่อยกันแล้ว มีแต่ต้องคอยระวังไม่ให้ลื่นล้มเท่านั้นเอง

          พอเดินมาถึงจุดแยกเข้าไปชมน้ำตก พวกเราอ่อนระโหยโรยแรงกันไปหมด ผมนั่งไปบนพื้นและพูดอะไรไม่ออก แต่ก็ดีใจที่สามารถเดินกลับลงมาได้โดยปลอดภัย ข้าวเหนียว หมูปิ้ง น้ำคื่มอาร์ เจ บิ๊กโคล่า ถูกส่งมาให้พวกเราอย่างเร่งด่วน อาหารมื้อนั้นเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในชีวิตมื้อหนึ่งทีเดียว ผมกินไปก็มองหน้าน้อง ๆ ไป ขำๆ ที่มีน้อง ๆ ที่นั่งใกล้ ๆ พูดขึ้นมาว่ากล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ อารมณ์ ณ ตอนนั้นถ้าใครมาแย่งข้างเหนียวหมูปิ้งไป คงจะมีเคือง  กินข้าวไปได้ซักพักก็มีเสียงเล็ก ๆ ใสๆ จากสาวน่ารักนางหนึ่งดังมาจากด้านหน้าที่ผมนั่ง เดี๋ยวเราจะประกาศบั๊ดดี้นะคะ เนื่องจากมีผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชาย ดังนั้นอาจจะมีผู้ชายได้บั๊ดดี้เป็นผู้ชายน้องจีจี้ประกาศเสียงดังฟังชัด ผมอมยิ้มและหวังว่าจะไมได้บั๊ดดี้เป็น เอกกี้ ดร ท๊อป แชมป์ แอม ขอเป็นน้องผู้หญิงน่ารัก ๆ ก็พอ จากนั้นจีจี้ก็ค่อย ๆ อ่านชื่อบั๊ดดี้ทีละคู่ ผมตั้งใจฟังซึ่งเท่าที่จำได้ก็มี  บั๊ดดี้เงี๊ยบพี่กุ้งค่ะสาวหมวยไฮโซที่นั่งข้างๆ ส่งสัญญาณว่าเป้นบั๊ดดี้กับเงี๊ยบ อ๋อ สาวหมวยที่เดินลงมากับเรานั่นเองชื่อกุ้ง ผมจำเงี๊ยบได้เลยพลอยจำกุ้งได้อีกคน    บั๊ดดี้กระดุมคือหนิงค่า  อ้อ เจ้าน้องตัวใหญ่ๆ ล่ำๆ ที่เมื่อวานเห็นปาดปูนชื่อกระดุม น้องหนิงผมจำได้เพราะส่งถังปูนให้เมื่อวานในแถว ตอนแรกผมนึกว่าน้องดุมเค้าเป็นนายช่างจริง ๆ เพราะมาดให้ อุปกรณ์ครบ ปาดปูนเรียบ สั่งผมผสมปูนใหม่ตอนตอนที่ผมยกเอาไปให้เทให้นั่นแหละ   บั๊ดดี้พี่หน่องนะค้า น้องเกดค่าเอ น้องเกดคนไหนหว่า บอกตรงๆ นึกไม่ออกจริง ๆ  รู้ๆ ว่าชื่อเกด แต่ไม่เคยเห็นตัวซักที น้องเกดคะ ชูมือด้วยค่ะ เงียบ บั๊ดดี้ผมไปไหนล่ะเนี่ย อยากเห็นหน้าแล้วเผื่อจะหายเหนื่อย  ปรากฏว่าน้องเกดไปเที่ยวน้ำตก ยังไม่กลับมา  เดี๋ยวรอซักพักก็คงเห็นหน้า ผมนั่งคุยไปกับน้องเอก น้องแชมป์ พร้อมทั้งกินข้าวเหนียวผมูปิ้งไปเรื่อย  ๆ ปากก็เคี้ยวข้าวอยู่เต็มปาก ซักพักมีเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หน้าใสๆ ผมสีทองเดินออกมาจากทางไปน้ำตก พร้อมทั้งชายหนุ่ม  3 คนเดินมาด้วยกัน ช่างเหมือนเจ้าหญิงตัวน้อยกับบอดี้การ์ดดีแท้โดยเฉพาะน้องแนท ใส่แว่นดำ เจาะหู หน้านิ่งถ้าเผลอไปมองหน้าอาจจะมีเคืองเอาง่าย ๆ  น้องทอย หนุ่มหล่อชาวเหนือ ที่ผมดูยังไงหน้าก็เหมือนพระเอกหนังจีนฮ่องกง  น้องอีกคนผมจำชื่อเค้าไม่ได้ซะที แต่ถ้าเห็นหน้าแล้วจะนึกออก พอเห็นหน้าทั้ง  คนนั้น น้องจีจี้ก็บอกว่าบั๊ดดี้เค้าเหล่านั้นคือใครกันบ้าง น้องเกดคงพยักหน้ารับรู้แล้วก็มองมาทางที่ผมนั่งอยู่ ผมก็มองไปพอดีและยิ้มให้ ไม่รู้น้องเกดเค้าจะดีใจและเสียใจดีที่ได้ผมเป็นบั๊ดดี้  แต่ผมยินดีเป็นอย่างมาก เพราะได้น้องน่ารัก ๆ มาเป็นบั๊ดดี้ เผื่อจะมีขนมอร่อย ๆ มาเสริฟตอนทำงานช่วงบ่ายและตลอดช่วงเวลาที่เหลือของค่ายนี้ แต่ตอนนี้หลังจากกินข้าวกันแล้ว พวกเราต่างขยับขยายกันเพื่อเดินทางไปเที่ยวน้ำตกภูลังกาให้สดชื่นและหายเหนื่อย โดยที่ไม่รู้เลยว่า ทางลงไปน้ำตกนั้นมันหนักหนาสาหัสกว่าทางขึ้นภูลังกาเมื่อช่วงเช้ามาก  


21 ตุลาคม 2554

ต้นจำปูนหลังบ้าน

           


วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บันทึกภูลังกา-X- ภูนม ภูลังกา

              บนภูนมคุณบัญญัติพร้อมกล้องนิคอนคู่ใจบนขาตั้ง กำลังบรรจงถ่ายรูปเพื่อน ๆ ชาวค่ายและวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม  ผมกับเอกก็ตระเวณถ่ายรูปตามมุมต่าง ๆ โดยเป็นเอกซะมากกว่าที่โพสท่าเป็นนายแบบ ส่วนผมต้องรับหน้าที่เป็นช่างกล้องหน้าตาดีไป ขาผมเริ่มรู้สึกคันๆ เพราะถูกหญ้าบนภูบาดหลายแห่ง  แต่ความงามบนภูนมก็ทำให้ผมลืมแทบทุกอย่าง  ไกลออกไปบนภูลังกา กลุ่มเมฆหมอกลอยมากระทบยอดภูเป็นระยะๆ อากาศเย็นพร้อมละอองน้ำ เริ่มจับไปตามเส้นผม เสื้อผ้าเปียกชื้นจนรู้สึกได้  “นี่แหละที่ผมค้นหามาทั้งชีวิต พี่หน่องเอกพูดขึ้นเมื่อเราทั้งคู่กำลังเดินลงมาจากภูนม ผมอยากให้น้องนัทได้มาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ด้วยกันเอกกล่าวถึงน้องคนหนึ่งที่เคยได้ร่วมงานกันมาและลาออกจากบริษัทไปทำงานร้านทองที่สระบุรี ผมก็รู้สึกแบบเดียวกับที่เอกกล่าวมา เพียงแต่วัยผมอาจจะล่วงเลยมามากจนดูไม่เหมาะกับการขึ้นเขาลงห้วยอีกแล้ว มีแต่ใจเท่านั้นแหละที่จะสู้หรือถอย ซึ่งวันนี้ผมเลือกที่จะสู้   เมื่อรู้ว่าแอม แอบปลีกตัวไปกับกลุ่มสาว ๆ แล้ว ผมกับเอกกี้เลยต้องเดินขึ้นภูลังกาไปกันสองคน ผมเจอโต้ง ตรงทางแยกขึ้นภูนมกับภูลังกาเลยได้โต้งถ่ายรูปให้และชวนกันขึ้นยอดภูลังกาไปด้วยกัน อีกนิดเดียว อีกนิดเดียว ผมคิดในใจเพื่อให้กำลังใจตัวเอง ตอนนั้น 8 นาฬิกาแล้ว แต่อากาศกลับเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ จนหนาว ละอองน้ำโปรยปรายมาไม่ขาดสายจากเมฆที่พัดผ่านภู  พวกเราสามคนเดินขึ้นภูลังกาไปเรื่อย ๆ ไม่เร่งร้อน จนถึงทางแยกไปสวนหินล้านปีกับยอดภูลังกา เอกและผมเห็นพ้องต้องกันว่าเราจะขึ้นไปยอดภูลังกาเลย ซึ่งนั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง หลังรับรู้จากปลาในภายหลังว่า ลานหินล้านปีไม่มีอะไรน่าสนใจ

          เราทั้ง 3  คนดั้นด้นจนขึ้นมาถึงยอดภูลังกาจนได้ ความรู้สึกเหนื่อย อ่อนล้า มันหายไปหมดสิ้น มีแต่ความปลาบปลื้มที่สามารถพิชิตยอดภูได้ อากาศด้านบนดีมาก ลมเย็นเพราะมีเมฆหมอกเคลื่อนตัวเข้าประทะเป็นระยะ ๆ  น้องๆ ที่ขึ้นมาก่อนถ่ายรูปตรงหินด้านไกลซึ่งอยู่ริมหน้าผา  เห็นมีสาว ๆ อยู่สามคนคือปลา,หนิงและต้อ นอกนั้นเป็นหนุ่มๆ หน้าตาดีจากมหพันธ์ น้องแชมป์ น้องแอมที่เดินล่วงหน้ามาก่อนผมกับเอกกี้เพื่อมาดูแลสาว ๆ  ผมกับเอกเดินดูบริเวณรอบ ๆ ซักพัก เอกก็บอกผมว่า พี่หน่องผมขอภาพแพลงกิ้งบนภูลังกาซักภาพสิ ผมฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้ม  ๆ แต่ก็จัดการบันทึกภาพให้นายแบบคู่ใจโดยไม่รอช้า แอน เฮง เจย์  กั้ง ก็ขึ้นตามมา ใหม่ มิกซ์ แล้วก็สาวหมวยไฮโซที่ตักดินอย่างขยันขันแข็งซึ่งผมมารู้ชื่อตอนหลังว่าชื่อกุ้งก็ขึ้นมาไล่เลี่ยกัน  ทุกคนมีท่าทางสดชื่นหายเหนื่อย  ท๊อปพาใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษขึ้นมาถึงด้านบน ผมแปลกใจเพราะปกติ ท๊อปจะเป็นคนแข็งแรง ผมนอนน้อยน่ะพี่หน่อง เลยจะเป็นลมเอา กินเหล้าเยอะหรือเปล่าเมื่อคืนผมถามท๊อปด้วยความเป็นห่วง เปล่าหรอกพี่ พี่แอมกรนหนักจนผมนอนไม่หลับเลย ท๊อปบอกออกมาแบบปลง ๆ ผมหัวเราะก๊ากเลย เพราะท่าทางอย่างแอมไม่น่าจะกรนได้ แต่นี่กรนจนท๊อปไม่ได้หลับเลยแสดงว่าเสียงกรนคงดังพอสมควร  ส่วนดรนั้นเมื่อเดินขึ้นมาถึงก็มีท่าทางอิดโรยไม่ต่างจาก   ท๊อปเท่าไรนัก แต่สีหน้าไม่ซีดขาวแบบท๊อป  พอมาถึงดรก็ไม่พูดอะไรมาก  นั่งพักเหนื่อยบนแท่นเทวดา  และขอน้ำกิน  ภู ลังกา ภู ลังกา”  เฮง หนุ่มหน้าตาดี ผมหยักศกตะโกนอย่างมีความสุขพร้อมทั้งถ่ายคลิปไปด้วย น้องแอนโบกมือไหวๆ  อย่างร่าเริง  กลุ่มมหพันธ์และสามสาว ก็ถ่ายรูป โดยมีเปรม ยา เป็นช่างภาพ ส่วนแชมป์กับแอมก็เข้าไปแจมได้อย่างไม่เคอะเขิน  ท๊อปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายคลิปพร้อมทั้งสัมภาษณ์ผมกับเอกและน้องแอน เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่มีใครสนใจเพราะพวกเรารู้แล้วว่าความเหน็ดหนื่อยเมื่อล้าที่ผ่านมาขณะเดินขึ้นภูมันคุ้มค่ากับความสวยงามที่มาเจอ เมื่อพวกเราชื่นชมบนภู ถ่ายรูป กินบรรยากาศกันจนอิ่มอกอิ่มใจแล้ว ก็ถึงเวลาลงจากภูลังกาเพื่อไปทานข้าวเช้าด้านล่างและเที่ยวน้ำตก  ซึ่งกลุ่มสามสาวสวยและทีมมหพันธ์ได้ลงไปก่อนหน้าผมแล้ว  ครั้งแรกที่ลงมานั้น ผม เอก ท๊อปและแชมป์ลงไปกันก่อน โดยไม่ได้รอ แอนและเพื่อน ใหม่ มิกซ์   กุ้ง  ดร  แต่พอเดินลงไปถึงทางแยกตรงภูนม ผมมองกลับไปเห็นเพื่อน ๆ กลุ่มใหญ่กำลังเดินลงมา  ท๊อปก็หมดแรงเดินแทบไม่ไหว จนต้องหาอะไรมาทานเพื่อเพิ่มกำลัง เพราะตั้งแต่เช้าเรายังไม่ได้กินข้าวกันเลย  ผมจึงรอเพื่อนๆ กลุ่มหลังเดินลงมาและเข้าไปขอขนมหรือลูกอมมาให้ท๊อป ซึ่งน้องใหม่ มีลูกอมพอดี จึงให้มา  2  เม็ด และก็เพราะลูกอม เม็ดนั่นแหละที่ทำให้ผมตัดสินใจรอทุกคนเพื่อรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่และดินทางลงภูลังกาไปด้วยกันทั้งหมดเป็นกลุ่มสุดท้าย ความรู้สึกสนิทสนมกับทุกคนเริ่มมากขึ้นในช่วงที่เราเดินลงภูกันนี่เอง


20 ตุลาคม 2554

ต้นจำปูนหลังบ้าน
         


วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บันทึกภูลังกา-IX-ขึ้นภู

            เสียงสายฝนตกลงมากระทบหลังคาเต๊นท์ที่ผมอาศัยนอนพักกับดรช่วงตี 4  ปลุกให้ผมลืมตาขึ้น  เสียงนาฬิกาปลุกที่ดรตั้งไว้ก็ดังขึ้นพร้อมกัน ดรตื่นขึ้นมาและปิดเสียงนาฬิกาปลุก  ผมลืมตาในความมืดคิดชั่งใจว่าจะออกไปเตรียมตัวเพื่อขึ้นภูลังกาหรือจะนอนหลับไปจนเช้าดี  ไม่นานนักก็มีข่าวมาว่าคุณบัญญัติและทีมงานจะออกไปสำรวจเส้นทางก่อนว่ามีความปลอดภัยในการเดินทางพอหรือเปล่า คุณบัญญัติจะรับผิดชอบชีวิตเราชาวค่ายทุกคนอย่างยิ่งยวด ในทุก ๆ ครั้งที่ออกค่ายกันมา เป็นเสมือนผู้ปิดทองหลังพระ โต้งคงออกไปช่วยคุณบัญญัติด้วย  ผมหลับตาลงอีกครั้ง เพื่อรอเวลาแห่งการผจญภัยครั้งใหม่ แชมป์ ไปส่งพี่เข้าห้องน้ำหน่อยเสียงเอกกี้ดังมาจากเต๊นท์ข้าง ๆ   ฟังน้ำเสียงแล้วก็พอจะเดาได้ว่า เอกกำลังฮัมเพลง สุขาอยู่หนใด ด้วยใจรัญจวนอยู่แน่ๆ   ผมเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้ง   เกือบตี 5  แล้ว มีข่าวมาว่าสามารถขึ้นภูลังกาได้  จึงค่อย ๆ ขยับตัวเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ  ระหว่างทางที่ยังมืด ๆ ผมเจอแชมป์ซึ่งไปส่งเอกเรียบร้อยแล้วจึงชวนกันไปอาบน้ำด้วยกัน พี่หน่องเอาไฟฉายผมไปสิ ผมยืมพี่แอนมาผมรับไฟฉายมา และนำมาเปิดในห้องน้ำ  ตัวหนังสือดำบนพื้นทองเขียนไว้ว่า ที่ระลึกงานฌาปณกิจศพ …   เออ สงสัยดวงเราจะสมพงษ์กับเรื่องแบบนี้มั้ง มันเป็นไฟฉายอันเดียวกันกับที่เฮงให้ผมยืมมื่อหัวค่ำ ผมทำเป็นไม่สนใจ อาบน้ำและทำธุระส่วนตัวจนเสร็จ บรรยากาศเช้ามืดวันนั้นทำให้ผมเข้าใจว่าทำไมเอกกี้จึงต้องการแชมป์มาเป็นเพื่อนด้วย มันออกจะวังเวงชวนให้คิดอะไรที่ไม่ควรคิดถึงเวลามืด ๆ ได้เลย

                น้องโน๊ต นำรถกระบะมารับพวกเราเพื่อนำไปส่งต่อให้คุณบัญญัติ ที่ทางขึ้นภู คนที่ร่วมเดินทางไปในชุดผมก็มี ดร ท๊อป แอม เอกกี้ แชมป์ เปรม เราจะขึ้นกันไปถึงไหนน่ะผมถามน้อง ๆ เมื่อลงจากรถโน๊ต เพื่อรอให้แดงน้อยมารับ เพราะคิดว่าคงเป็นระยะทางที่ไม่ไกลจนเกินไปนัก”  “ตรงยอดเขานั้นไงพี่หน่อง”  ท๊อปบอกผมพร้อมทั้งชี้มือให้ดูยอดภูที่สูงออกไปไกลลิบ ผมแอบถอนหายใจเพราะรู้ว่าระยะทางมันไม่ใช้ใกล้ ๆ เลย ทั้งยังต้องขึ้นเขาที่สูงชันอีกด้วย แต่ก็ต้องทำเป็นเข้มแข็ง งานถมพื้นเมื่อวาน ดึงเอาพลังผมไปมาก แต่คิดว่าเดินขึ้นภูลังกามีน้อง ๆ ที่ร่วมหัวจมท้ายกันมาหลายค่ายคงไม่ทิ้งผมแน่ ๆ  รอไม่นานนักพวกเราก็ขึ้นแดงน้อยไปลงที่ที่ใกล้ที่สุด แล้วจึงลงเดินเท้าต่อ  พวกเราเดินกันไปคุยกันไป แอม ช่วยถือน้ำหน่อย”  เอกกี้ส่งขวดน้ำให้แอมถือ แอมซึ่งดูเหมือนจะแข็งแรงที่สุดในกลุ่มก็รับน้ำดื่มไปดูแล พวกเราเดินกันไป ถ่ายรูปกันไป บรรยากาศทางเดินหลังฝนตกใหม่ ๆ ค่อนข้างลื่น  จึงมีหลาย ๆ คนเอาไม้ มาถือเป็นไม้เท้าเพื่อช่วยประคองตัว  แต่ก็มีหลายคนลื่นเป็นระยะ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ลื่นบ่อย ๆ เพราะสวมผ้าใบ สภาพป่าที่พวกเราเดินผ่านชุ่มชื้น ต้นไม้มีมอสเกาะอยู่ตามลำต้นกิ่งก้าน แลดูเขียวขจี  ดอกไม้ป่าข้างทางก็สวยไปหมดจนผมอดถ่ายรูปไม่ได้ เราเดินกันไปจนถึงทางที่ต้นไม่ใหญ่ล้มขวาง ซึ่งตรงนั้นคุณบัญญัติต้องจอดแดงน้อยไว้ ไม่สามารถขับต่อไปได้  ต้องเดินขึ้นภูด้วยเท้าเพียงอย่างเดียว ระหว่างเดิน บางครั้งผมก็เดินทันกันกับเพื่อน ๆ บางครั้งก็ถูกทิ้ง บางครั้งก็เดินนำหน้ากลุ่ม  ผมเดินไปทันแอน เฮง เจย์ กั้ง และถ่ายรูปด้วยกัน  ส่วนดรกับท๊อปเดินปิดท้ายเพื่อดูแลความปลอดภัยและคอยช่วยเหลือเพื่อนๆ  แอม เอกกี้ แชมป์ เดินหายจากผมไปตอนไหนไม่รู้เหมือนกัน ผมเกรงว่าตัวเองจะเป็นภาระดรกับท๊อป จึงเร่งเดินเร็วขึ้นเพื่อให้ทันเอกกับแอม   ระหว่างทางก็เจอใหม่ มิกซ์  มาเอก แอม มาถ่ายรูปกัน”  ผมหยิบกล้องออกมาพร้อมทั้งเรียกน้องทั้งสองมาตั้งท่าถ่ายรูป หลังจากเดินมาจนทันตรงจุดชมวิว แอมนั้นตั้งท่าธรรมดา แต่เอกกี้นี่ต้องมียกนิ้ว เอียงคอ ส่งยิ้มหวานตลอด จนผมคิดในใจว่า เอกคงชอบถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ ไม่น่ามาทำงานด้าน IT  เล้ย น่าจะไปแป็นนายแบบมากกว่า  เพราะเอกไม่มีเขิน ไม่มีอาย สู้กล้อง ขอให้บอกเถอะ เอกจัดเต็มทุกครั้ง  ผม เอก แอม เดินไป ถ่ายรูปไปจนเข้าถึงต้นทางขึ้นภูนม อากาศบนนี้เย็นสบายมาก ภูมิประเทศเป็นแบบทุ่งหญ้าสะวันน่า  เห็นกลุ่มเมฆลอยมาเป็นกลุ่มไม่ขาดสายตรงภูลังกาที่อยู่สูงขึ้นไป  ลมพัดแรงจนเสื้อผ้าปลิวไปตามแรงลม เอกหยิบแว่นเรย์แบนสีดำมาใส่เพื่อเตรียมถ่ายรูป ผมจึงนึกออกว่า ผมก็เตรียมแว่นมาเหมือนกันนี่ เดี๋ยวใส่แล้วให้คนถ่ายรูปให้น่าจะเท่ห์ไม่หยอก  เมื่อจัดอุปกรณ์เต็มแล้วจึงเดินขึ้นภูนมเพื่อไปดูวิว และเรียกให้เปรมเข้ามาเก็บรูปหนุ่มกรุงทพ ฯ สุดหล่อสองคนบนภูสูง ส่วนแอมน่ะหรือ เห็นเดินตามสาวปลา สาวต้อขึ้นไปบนภูลังกาจนไกลลิบ ทิ้งผมกับน้องเอกกี้ไว้เบื้องหลังโดยไม่มีห่วงกันเล้ย


19 ตุลาคม 2554

ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บันทึกภูลังกา-VIII-รำพึงถึงเธอ

                ผมนั่งมองน้องๆ ค่อยเดินมารวมกลุ่มที่ลานกางเต๊นท์ที่พักเพื่อรอกินข้าวเย็นแล้ว ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโสในค่ายค่อย ๆ ขยายตัวอยู่ข้างในใจ  ปกติเราออกค่าย เฮียเกียรติจะมาด้วยทุกครั้ง ซึ่งทำให้คุณบัญญัติมีคนคอยคุยด้วย  ทีมฉลามชลที่มี Buddy  อย่างทินที่ผมสนิทสนมจากค่ายที่ราชบุรีเมื่อปลายปีก่อน ทศกับชัยที่คอยขับกล่อมบรรเลงเพลงตามเส้นสายให้ความรู้สึกเร้าอารมณ์ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับป่าเขาที่โอบล้อมพวกเรา โต้งก็เหมือนจะวิ่งวุ่นกับการซื้อของให้กับค่าย จนผมคิดว่าโต้งไม่ได้มาร่วมงานด้วยกันซะแล้วถ้าไม่ได้กินน้ำยาบำรุงกำลังเมื่อช่วงบ่าย แต่อย่างน้อยคุณบัญญัติก็ยังมีโต้งคอยช่วยคิดช่วยอ่านในการพาค่ายนี้ให้สำเร็จตามจุดมุ่งหมายของมัน  ผมเหลือบมองดร,เอก,ท๊อป ,แชมป์,แอมซึ่งมาร่วมงานกันหลาย ๆ ค่ายแล้วรู้สึกอุ่นใจที่มีคนคอยช่วยเหลือทีมงาน  และ สิ่งที่ทำให้หัวใจผมเบิกบานเป็นอย่างมากคือ มีคนใหม่ ๆ ที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก  ทีมมหพันธ์ กระดุม,โอ๋,เงี๊ยบ,มิ้งค์,ตั้ง,ยา และอีกหลายคน  ทีมพยาบาลหนูเล็ก จุ๋ม อุ๊ หนิง อ๋อย ทีมเพื่อนเปิ้ลที่นั่งรถตู้มาจากกรุงเทพฯด้วยกัน เฮือง, ต้อ, ใหม่, มิค,ปู, กุ้ง, ปลา,ใหม่   ทีมที่นั่งรถตู้มากับผมก็ แอน,เจย์,เฮง,กั้ง ผมนั่งมองสมาชิกค่ายอยู่ไม่นานนักก็มีจนท. นำเครื่องปั่นไฟมาติดตั้ง ข้าวพร้อมกับข้าวฝีมือป๋าแอ๊ดก็มาเสริฟให้บรรดาคนค่ายผู้หิวโหยซึ่งพึ่งผ่านด่านอาบน้ำสุดโหดมาหมาด ๆ  อาหารคืนนั้นเป็นคืนแรกที่ผมกินโดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรตอนตักเข้าปาก เนื่องจากไฟไม่ค่อยสว่างนัก แต่รสชาติอาหารก็ให้ความอร่อยเหมือนทุกมื้อโดยเฉพาะน้ำพริกที่เผ็ดจัดจ้าน ผัดผักที่ยาวจนต้องค่อย ๆ เคี้ยวเข้าไปทีละนิด ทีละนิด  แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี 
ผมเดินไปเอาผ้าใบสีขาวที่เตรียมมาจากบ้านมาปูรองพื้น เพื่อให้นั่งสะดวกขึ้น และนำโทรศัพท์มือถือไปชาร์จแบตเตอรี่ที่ปลั๊กไฟของเครื่งปั่นไฟ  พี่หน่องขา จุ๋มจะชาร์จแบตเตอรี่น่ะค่ะ ทำไงดี”  น้องจุ๋มสาวหน้าใส ถามขึ้น หนูเล็กจะชาร์จด้วยนะพี่น้องหนูเล็กร้องขอตามมาติด ๆ เดี๋ยวพี่จัดการให้”  ผมอาสาทำให้อย่างเต็มใจเพราะเข้าใจหัวอกคนที่มีโทรศัพท์แต่ไม่มีแบตเตอรี่เป็นอย่างดี  "พี่หน่อง น้องอ๋อยพูดภาษาญี่ปุ่นได้นะ" หนูเล็กบอกผม "จริงดิ"  ผมแปลกใจนิดหน่อย เพราะอ๋อยคนเงียบๆ ที่ยืนรับส่งถังปูนเมื่อกลางวัน ไม่ค่อยพูดค่อยจากับคนแก่อย่างผมเท่าไรนัก  เอาแต่หัวเราะอย่างเดียวตอนผมเหวี่ยงถังปูนแรงๆ สูง ๆ ส่งให้ ไม่ได้ ๆ ต้องทดสอบซะหน่อย ว่าแล้วผมก็พูดเป็นภาษาญี่ปุ่นออกไป วะตะชิวะ มณเฑียร เดสซึ”  ผมบอกน้องอ๋อยเป็นภาษาญี่ปุ่น ใช่ไม๊อ๋อยจุ๋มร้องถามอย่างทึ่ง ๆ อ๋อยพยักหน้าแทนคำตอบ อะนะตะวะ อ๋อย เดสซึก๊ะนะ ไหน ๆ ก็พูดแล้ว ก็เลยพุดต่อไปอีกเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ  อ๋อยก็พยักหน้าหงึกหงัก หนูเล็กกับจุ๋มทำท่าเหมือนตกใจที่คนหน้าธรรมดาอย่างผมก็สามารถสปี๊กภาษาญี่ปุ่นได้ ฮ่า ๆๆๆๆ  ผมหัวเราะในใจแต่ก็แอบอมยิ่มออกมาแบบนึกขันตัวเอง เพราะถ้าถามมากว่านี้ผมก็คงบอกได้แค่ว่า ไฮ โดโสะ โยโรจิขุ

เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง โต้งก็นำไฟมาติดที่ต้นไม้ ใกล้ ๆ โต๊ะตั้งหม้อข้าว  ผมเข้าไปช่วยดูนิดหน่อย ความจริงดูโทรศัพท์มือถือที่ชาร์จนั่นแหละ แหมก็รับของสาว ๆมาด้วย ดี๋ยวของเค้าเสียหายไปเราจะแย่ เมื่อเสร็จแล้วจึงเดินไปตีกลองร้องเพลงให้น้อง ๆ ฟัง  แต่บรรยากาศท้องฟ้าด้านบนเริ่มครึ้มฟ้าครึ้มฝนแล้ว จุดเทียน เวียนวน เรามาสองคน วนเอ๋ยวนเวียน จุดเทียน เวียนวน เรามาสองคน วนเอ๋ยวนเวียน หมุนสับสลับเปลี่ยน เรามาจุดเทียน เวียนเอ๋ยเวียนวน…”  ผมเริ่มร้องเพลงปลุกบรรยากาศค่ายให้ครึกครื้นพร้อมทั้งตีกลองไปด้วยเพื่อเริ่มคืนแรกของการพักบนภู พวกเราร่วมกันร้องเพลงกันไปซักพัก ฝนก็เริ่มลงมาประปราย ช่วงนี้แหละที่ต่างคนเริ่มหาที่หลบฝน แต่ฝนก็ตกไม่แรงนักแค่ปรอย ๆ ซักพักก็หยุด  พออะไรเริ่มจะดี เครื่องปั่นไฟเจ้ากรรมก็ดันมาหยุดทำงานอีก ต้องเสียเวลาแก้ไขกันอยู่นาน สองนาน  เมื่อแก้ไขเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกคนก็เริ่มกลับมาเข้าที่เตรียมตัวตั้งวงกันต่อไป พรุ่งนี้ตี 4  เราจะไปขึ้นภูกันนะครับ ผู้ที่จะขึ้นภูเตรียมตัวให้พร้อมด้วยครับคุณบัญญัติประกาศออกมาให้ทุกคนทราบ แต่อารมณ์ผมตอนนั้นนึกอยากจะนอนหลับพักผ่อนให้สมกับความเหนื่อยเมื่อยล้าที่สะสมมาตั้งแต่ออกจากรุงเทพฯ เมื่อคืนก่อนแล้ว ในใจผมคืนนั้นไม่นึกอยากจะขึ้นภูแม้แต่นิดเดียว    

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บันทึกภูลังกา-VII-วันแรกและคืนแรก


หากมีใครซักคนทำให้ผมรู้สึกว่าค่ายภูลังกานี้มีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน มีสิ่งที่นึกไม่ถึง  และความไร้เดียงสาแล้วล่ะก็ ผมจะนึกถึงโต้งเป็นคนแรก หลังจากเทพื้นปูนไปได้ 2 ใน 3 ส่วนของเป้าหมายในวันแรกแล้ว โต้งในชุดคล้ายนักบิน มีผ้าพันคอผูกไว้แบบคาวบอย เดินถือขวดเอ็มสปอร์ตเอามายื่นให้ผม ซักหน่อยนะพี่หน่อง จะได้สดชื่น น้ำอะไรน่ะโต้ง ผมถามด้วยความแปลกใจ เพราะก่อนหน้านี้ผมรู้ว่าน้ำเกลือแร่เอ็มสปอร์ตหมดไปจากกล่องที่พี่แอ๊ดซื้อมาฝากแล้ว ดีนะพี่หน่อง ดื่มเลย โต้งไม่บอกว่าเป็นอะไร ได้แต่คะยั้นคะยอให้ผมดื่ม ผมจึงเปิดฝาและดื่มน้ำเข้าไป 2-3  อึก รสชาติของน้ำดื่ม ออกจะหวาน ๆ และขมผสมปนเปกันไป คล้าย ๆ เป็บซี่ผสมเหล้าบรั่นดี น่าแปลกที่หลังจากนั้น 2-3  นาที อาการเมื่อยล้าที่เกาะกินร่างกาย ค่อยๆ หายไป ผมส่งขวดน้ำให้ดร ลองหน่อยสิดร”  ดรรับไปดื่มโดยไม่ถามอะไรผมมาก จากนั้นก็เป็นแชมป์ น้องชายที่ตั้งแต่ออกค่ายมา ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ผมเลย ไม่รู้ไปเดินตามสาวที่ไหนเหมือนกัน ผมเชิญชวนให้โต้งดื่มด้วย แต่โต้งส่ายหน้าพร้อมทั้งให้เหตุผลว่ากำลังอยู่ในช่วงเข้าพรรษา ผสมอะไรไปบ้างโต้ง” “โด่ไม่รู้ล้มโต้งบอกและเดินยิ้มจากไปเพื่อบันทึกภาพคนค่ายด้วยกล้องคู่ใจ หลังจากผมได้ยาดีชูกำลังแล้ว ความรู้สึกมันเหมือนกับม้าคึก เลือดลมฉีดแรง ตะโกนออกมาอย่างร่าเริง น้องเล็ก ๆ เชียร์พี่เอกหน่อย เร็ว”  น้องเล็กที่อยู่ในแถวเพื่อรอรับกระป๋องปูนมาเทพื้นก็ตะโกนขึ้นว่า พี่เอกสู้ ๆ พี่เอกสู้ๆ ค่า เอกกี้ก็รับลูกต่อ ร้องกระตุ้นเพื่อนๆ ให้เร่งกันทำงานจนกระทั่งหมดปูน หน่วยผสมปูนก็เข้ามาทำงานต่อ ซึ่งจะเริ่มจากการขนทรายมาเทกอง เทปูนจากถุง เกลี่ยปูนให้เข้ากัน ขนหินจากกองซึ่งวางอยู่ใกล้ ๆ มารวม นำน้ำมาใส่ในกองปูนที่เทไว้ และคนทุกอย่างให้เข้ากัน ซึ่งแรก ๆ นั้นฝีมือของคนค่ายอย่างพวกเราก็ไม่ค่อยได้เรื่องนัก ผสมปูนใหม่ ผสมปูนใหม่ เสียงจากกระดุม ตะโกนบอกหลังจากเห็นคุณภาพปูนที่ผสม ผสมปูนใหม่ ผมร้องต่อไปยังเอก,ดร,มิ้งค์ ที่ช่วยกันผสมปูนอยู่  ซึ่งทุกคนก็เต็มใจช่วยกันแก้ไขจนงานทุกอย่างเริ่มดีขึ้นมาก และบรรยาการศการขนปูน เทปูนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ผมเอง ก็กล้าที่จะร้องแซวสาว ๆ โดยเฉพาะสาวพยาบาลเป็นระยะ ๆ และเพิ่งสังเกตว่า เออ มีคนสวยน่ารักอย่างจุ๋ม หนูเล็ก มาทำงานปูนที่หนักหนาสาหัสด้วยเหมือนกัน

เมื่อเสร็จจากงานปูนวันแรกแล้ว พวกเราเดินกลับไปยังบริเวณที่พักเพื่อกางเต๊นท์ให้เสร็จก่อนที่จะมืดจนมองอะไรไม่เห็น ชุดน้องๆ ผมมี 3 เต๊นท์และเริ่มกางเต๊นท์แรกกับ ดร,แชมป์,เอก,แอมและท๊อป โดยมีการแบ่งว่า เอกกี้นอนกับแชมป์ แอมนอนกับท๊อปและผมนอนกับดร ขณะนั้นลมพัดแรงมาก จนเต๊นท์เพื่อนๆ ในค่ายคนอื่นๆ แทบจะลอยไปตามลม แต่พวกเราก็สามารถกางเต๊นท์กันจนเสร็จ แอมเดินไปเอาอิฐบล๊อคมาทับเต๊นท์ไว้ไม่ให้ลอยไปกับลม แต่ก็มีอีกหลายคนต้องย้ายเต๊นท์ลงไปกางด้านล่างแทน ฝ่าย2 หนุ่ม 2 สาว เฮง,กั้ง,เจย์และแอน ก็กำลังกางเต๊นท์ที่กางยากที่สุดในค่ายอยู่ ผมเดิน ๆ เข้าไปดู เห็นว่าใกล้จะเสร็จแล้วจึงไม่ได้ช่วยเหลืออะไรและเดินเลยไปเอาของใช้สำหรับอาบน้ำจากกระเป๋าเป้ที่เก็บไว้ที่บ้านพัก จากนั้นจึงเดินขึ้นไปอาบน้ำที่ห้องน้ำด้านบนเหนือขึ้นไปจากที่ที่เรากางเต๊นท์  พี่หน่อง เอกไปด้วย เอกกี้โผล่เข้ามาในเวลาที่ผมต้องการเพื่อนเดินไปอาบน้ำพอดีจนผมอดนึกไปไม่ได้ว่า เอกมันคงทำบุญมากับผมเมื่อชาติก่อน แน่ๆ ไปไหนทำอะไรต้องมีเอกมาอยู่ข้างๆ เสมอ   เค้าว่าน้ำไม่ไหลนะพี่ แต่ต้องไปดูกันก่อน เอกบอกในสิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุดในตอนนี้เลย แต่ทำไงได้ ผมได้แต่หวังว่าน้ำคงไหลพอที่จะอาบได้ เราทั้งคู่เดินไปเจอเฮงที่ ใกล้ๆ ห้องน้ำเลยเดินไปด้วยกัน เมื่อเห็นน้ำในห้องน้ำที่ค่อนข้างน้อย และมีน้ำไหลเพียง  2  ห้องเราทั้ง คนจึงแบ่งกันอาบโดยผมกับเอกกี้อาบก่อน ส่วนเฮงเฝ้าหน้าห้อง เอาไฟฉายผมไปเปิดในห้องน้ำสิพี่เฮงแสดงความเอื้ออารีย์มายังผม ซึ่งผมก็รับไว้ด้วยความยินดี ผมแขวนไฟฉายไว้ที่ข้างห้อง และเหลือบไปเห็น สติ๊กเกอร์เล็กๆ ที่ติดข้างไฟฉายว่า ที่ระลึกงานฌาปณกิจศพ …  เออให้มันได้ยังงี้สิชีวิต มืด ๆ กลางป่าเขาผมล่ะเจอบททดสอบกำลังใจอยู่เรื่อยเลย แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ ยังไงเฮงก็อยู่ข้างนอกมีอะไรเฮงรับไปก่อนละกัน หลังจากอาบน้ำเสร็จผม,เฮงและเอกกี้ก็เดินลงมาที่เต๊นท์เพื่อเตรียมตัวทานช้าวเย็น ผมเอาเหล้าเร้ด เลเบิล ที่นำมาจากกรุงเทพฯ เปิดถวายเจ้าที่ เพื่อความสุขสวัสดีของชาวค่ายทุกคน ลมที่พัดแรงอยู่ เริ่มสงบลงอย่างประหลาด ผมได้แต่นึกในใจว่า หากเราทำดีแล้ว ขอเจ้าป่าเจ้าเขาคุ้มครองพวกเราทุกคนให้รอดปลอดภัย และทำงานที่มุ่งหมายสำเร็จด้วยเถิด เจ้าพระคู้น

  

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บันทึกภูลังกา-VI-ช่วงบ่ายที่แสนยาวนาน

          เสียงเลื่อยยนต์ดังกระหึ่มใกล้ๆ ที่ที่เรากำลังโกยดินไปถมพื้น เพื่อตัดต้นไม้ใกล้ต้นใกล้ ๆ ซึ่งช่วงเช้า ถูกพวกเราขุดดินเพื่อนำไปถมพื้นจนเกือบเข้าไปถึงรากแล้ว  โดยมีน้องๆ ชาวบ้านที่มาช่วยงานเรากำลังใช้เชือกดึงให้ต้นไม้ ล้มไปทิศทางตรงกันข้ามกับพื้นที่เรากำลังถม เปรี๊ยะโครม …” เสียงต้นไม้ล้มกระแทกพื้นดังสนั่น  ผมเหลือบไปเห็นคุณบัญญัติกำลังเก็บภาพนั้นอยู่พอดี  มาแล้วพระเอกของเรา ผมแอบยิ้มขันนิด ๆ ทุกครั้งที่เห็นภาพนี้ เพราะเวลาคุณบัญญัติกำลังทำหน้าที่ช่างภาพดูราวกับว่าเค้าหลุดไปอยู่อีกโลกที่ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง มีสมาธิกับการบันทึกภาพตรงหน้าอย่างเดียว   ไปเอก  แชมป์ ดร  แอมลุยงานต่อให้เสร็จกันเถอะ ผมร้องชวน น้องๆ ให้ออกไปทำหน้าที่ถมดิน ซึ่งยังเหลือไม่มากแล้ว ฝ่ายเงี๊ยบ มิ้ง กุ้ง กั้ง แอน เฮง เจย์  ซึ่งช่วยกันเมื่อเช้าก็เดินออกมาจากร่มไม้พร้อม ๆ กันกับผมและเริ่มถมดินต่อไป   ร้อนว่ะดร  ทำไงดี ผมเริ่มรู้สึกอย่างที่บอกจริงๆ หลังจากถมดินจนเกือบเสร็จ  ตอนนี้เราใช้วิธีนำถุงปุ๋ยมารองดินและยกไปถมพื้นแทนการใช้กระป๋องแล้ว ผมเกือบจะเดินไปพักใต้ร่มไม้หลายครั้งแล้วเหมือนกัน แต่เห็นเจย์กับแอนสองสาวที่ช่วยกันถมดินโดยไม่บ่นซักคำเลยรู้สึกอาย ๆ จึงทำงานต่อไปเรื่อย ๆ ไม่นานนักดรเดินมาหาพร้อมกับมะขามป้อมและเกลือในมือ ซักหน่อยไม๊ครับพี่ เสียงที่คุ้นเคยกันมานานเพราะทำงานกับดรจนรู้นิสัยใจคอทำให้ผมยิ้มออกมาได้และรับมะขามป้อมกับเกลือไปกินเพื่อให้ชุ่มคอ  ชีวิตคนเราบางครั้งก็แปลกอย่างนี้แหละ ของธรรมดาอย่างมะขามป้อมที่ผมแทบไม่เคยมองเลย  พอได้กินวันนั้น เปลี่ยนตัวผมให้กลายเป็นคนเข้มแข็งในสภาวะอ่อนล้าได้อย่างประหลาด ผมหันไปมองแอนกับเจย์ที่กำลังกินมะขามป้อมกันอย่างเอร็ดอร่อย  ก็เข้าใจว่า ความรู้สึกเข้มแข็งสดชื่นที่ผมได้รับจากมะขามป้อม สองสาวก็คงจะได้รับเหมือนผมเช่นกัน  

พอพวกเราถมดินที่พื้นเสร็จแล้ว ผมเดินออกไปพักที่ใต้ต้นไม้เพื่อดูน้องตี๋ที่นั่งซึมเป็นหมาป่วยใต้ต้นไม้ข้าง  เป็นไงตี๋ ไหวป่าว พักก่อนนะ” “ครับพี่”  ตี๋มันคงพูดได้แค่นั้นจริงๆ เพราะดูแล้วไข้ท่าทางจะเล่นงานหนัก จากนั้นช่างที่มาทำการเทพื้น ก็นำเหล็กเส้นไปวางไว้ในพื้นที่ที่เราเพิ่งถมดินเสร็จ  และเตรียมลวดเล็กๆ สำหรับผูกเหล็กเส้นที่มาตัดกันเข้าไว้ด้วยกัน  “มันต้องผูกแบบนี้ ค่อยๆรัดแล้วก็ขมวดปมด้านบน”  น้องมิ้งค์ อธิบายให้เพื่อนๆ มหพันธ์ฟัง งานนี้ผมเลือกที่จะหยิบกล้องถ่ายรูปมาบันทึกภาพเพื่อนร่วมค่ายคนอื่นๆ แทนเพราะอยากจะสงวนแรงไว้เทปูที่จะดำเนินการต่อหลังจากผูกลวดเสร็จแล้ว ลวดผูกไม่พอนะ  นายช่างใหญ่ที่คุมงานเปรยขึ้น คุณบัญญัติรับรู้แล้วก็ถอนหายใจ แต่ก็บอกต่อไปว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มีมาวันนี้ได้แค่ไหนเอาแค่นั้นก่อนก็แล้วกัน พอมัดลวดเสร็จ มหกรรมการเทพื้นก็เริ่มขึ้น พวกเราทุกคนรอเวลานี้มานานแล้ว เพราะคิดว่างานยาก ๆ เสร็จไปแล้ว งานเทปูนน่าจะง่ายแค่ผสมปูน เทปูนเดี๋ยวก็เสร็จ ซึ่งคุณบัญญัติก็คงคิดไม่ต่างไปจากผม ถ้าเสร็จงานบ่าย โมง เดี๋ยวเราไปเที่ยวน้ำตกภูลังกากันคุณบัญญัติพูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อเห็นพื้นที่จะเทแค่ 1 ใน   3  ของพื้นทั้งหมด เพราะต้องรอลวดผูกมาผูกเหล็กเส้นในวันรุ่งขึ้น แต่เมื่อเริ่มงานเทปูนเข้าจริง ๆ มันไม่ง่ายอย่างนั้นเลย ด้วยความที่พวกเราแทบจะไม่มีประสบการณ์ในการทำงานปูนมาก่อน ทำให้การผสมปูนให้เข้ากันเพื่อให้ได้ปูนมาเทพื้นแต่ละกองสูญเสียเวลาไปมาก งานที่ทำท่าว่าจะเดินไปได้อย่างรวดเร็วกลับช้าลงไปจนผมคิดในใจว่า วันนี้คงไม่ได้ไปเที่ยวน้ำตกตามที่หวังซะแล้ว  “เอ้าจัดแถว”  ผมร้องตะโกนบอกเพื่อน ๆ ทุกคนให้มาเข้าแถวเพื่อรับกระป๋องปูนไปเท เมื่อเอกกับดรให้สัญญาณมายังผม ในแถวผมยืนข้าง ๆ น้องอ๋อย ถัดไปเป็นจุ๋ม ส่วนหนูเล็กยืนใกล้ ๆ  กับที่ผสมปูนพร้อมกับแอน เจย์ ส่วน ดร แอม เอกกี้ แชมป์ช่วยกันผสมปูนให้เข้ากันพร้อมทั้งตักปูนออกไปเทที่พื้น  เอกกี้ขมักเขม้นในการตักปูนใส่กระป๋องเพื่อนำมาส่งต่อให้กับทีมงานค่ายพื่อลำเลียงไปเทพื้นที่ด้านไกลสุดของพื้นที่ พวกเราทำงานกันไปได้ซักพัก เอกกี้เหมือนจะอ่อนแรงลงไปมาก ผมเลยร้องบอกหนูเล็กไปว่า หนูเล็ก ช่วยเชียร์พี่เอกเค้าหน่อย พี่เอกต้องการกำลังใจ หนูเล็กก็น่ารักจริงๆ  ร้องต่อไปอย่างร่าเริงว่า  “พี่เอกสู้ ๆ พี่เอกเก่ง ๆ เอาหน่อย เอาหน่อยพี่เอก ไม่รู้ว่าเอกกี้บ้ายอหรือเพราะแรงใจจากน้องหนูเล็ก กันแน่ แต่ก็มีผลทำให้เอกร้องออกมาดัง ๆ ว่าไอ้ย่ะ เอ้าเฮ้ย ๆ  เฮ้ย เฮ้ย” “แน่ะมันร้องยังกะจะไปเล่นโขนผมนึกในใจโดยไม่ได้พูดออกมา  แต่เอกกี้ก็ตักปูนใส่กระป๋องอย่างรวดเร็ว กระป๋องปูนลำเลียงมายังไลน์ที่รอท่าอยู่แล้วเมื่อมาถึงผม ผมเหวี่ยงแขนกว้าง ๆ ไปรับกระป๋องปูน จากนั้นก็วาดแขนแบบกว้าง ๆ ไปส่งต่อให้น้องอ๋อย น้องอ๋อยคงยังไม่ทันตั้งตัวเลยสะดุดการรับไปนิด ฝ่ายจุ๋มที่ยืนอยู่ถัดไปก็หัวเราะออกมาอย่างขำ ๆ   แต่ก็รับปูนจากน้องอ๋อยส่งให้มิ้งค์ไปเทอย่างรวดเร็ว กระป๋องเปล่าถูกส่งกลับมายัง ต้อ ปลาและเลยมาถึงเฮง กั้ง เพื่อที่จะนำไปให้เอกกี้กับดรตักปูนใส่ เวียนกันไปแบบนี้จนกระทั่งปูนหมดกอง เฮ้อ กว่าจะหมดปูนกองแรก เฮ้อ นอกจากจะไม่ได้ไปเที่ยวน้ำตกภูลังกาแล้ว เป้าหมายที่วางไว้ว่าจะต้องเสร็จ  1  ฝน  3  มันจะเสร็จหรือเปล่าเนี่ย    ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ยังเพิ่งบ่าย 2 โมงครึ่งเองทั้งที่ในความรู้สึกผมมันน่าจะ 5 โมงเย็นแล้วนะ  ทำไมบ่ายวันนี้มันเหมือนจะยาวนานโดยไม่สิ้นสุดซะที

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บันทึกภูลังกา-V-ไอศครีมและก๋วยเตี๋ยว

        เอ้าพวกเรา ทางค่ายเลี้ยงไอติม มากินไอติมกันก่อนเร้ว เสียงซื่อๆ แต่แฝงด้วยความจริงใจของคุณบัญญัติลอยตามหลังรถขายไอศครีมที่ขับเข้ามาในบริเวณค่ายคนสร้างฝัน  พวกเราหลาย  ๆ คนร้องเฮกันถ้วนหน้า อาจจะเป็นเพราะอากาศที่ร้อนบวกกับความเหนื่อยล้าในการถมดินไปบนพื้นที่ไม่รู้จักเต็มเสียที ผมรีบวางมือจากกระป๋องดินเปล่าที่กำลังลำลียงไปให้เงี๊ยบกับดรที่รอโกยดินใส่กระป๋องโดยทันที  แต่ก็ยังช้ากว่าพวกสาวๆ ที่เข้าไปล้อมรถไอศครีมกันเหมือนเด็ก ๆ เจอของเล่นถูกใจ ไอศครีมที่พ่อค้านำมาขายเป็นไอศครีมแบบโบราณที่ผมคุ้นในชื่อว่าไอติมป๊อบ พอคนค่ายได้ไอศครีมก็ทยอยเดินไปจับกลุ่มกินใต้ร่มไม้เป้นกลุ่ม ๆ จนคนเริ่มบางตาลง ผมก็เข้าไปรับไอศครีมกับพ่อค้า โดยมีน้องสาวๆ คอยบริการให้ รับรสอะไรดีคะ พี่ขอสีส้มน่ะครับ ผมรีบบอกออกไปจนลืมสังเกตว่าสาวน้อยใจดีคนนั้นชื่อว่าอะไร ไม่รู้ว่าเป็นหนูเล็กหรือเปล่า เมื่อรับไอศครีมเสร็จแล้วผมก็เดินกลับไปยังที่ทำงานและเริ่มกินไอศครีมในมือ  คำแรกที่กัดลงไปผมคิดในใจว่า ทำไมมันแข็งจัง ไอติมหรือหินกันล่ะเนี่ย และหันไปสบตากับเอกกี้ ครับพี่หน่อง ไอติมแข็งมากเลย เอกร้องบอกมาก่อนที่ผมจะเอ่ยปากถาม คนอื่นๆ ที่กินก็คงไม่รู้สึกต่างไปจากผม เมื่อกินไอติมเสร็จแล้ว พวกเราก็ทำการถมพื้นด้วยดินต่อไปด้วยอารมณ์ดีขึ้น น้องแอมเห็นผมกำลังขนดินเลยเดินมาบอกว่า พี่หน่อง มาทำพื้นให้แน่นกัน เอาอีกแล้ว เมื่อกี้ก็เอก คราวนี้เป็นแอม จะใจร้ายกับคนแก่หน้าตาดีไปถึงไหนกัน แต่ผมก็ยิ้มแล้วก็เดินไปช่วยแอมกระแทกพื้น ส่วนพวกสาวๆ หนุ่ม ๆ ก็โกยดินเข้ามาถมจนใกล้เต็มเต็มทีแล้ว

พักเที่ยงพวกเราจึงไปล้างมือรอกินข้าวกลางวันกัน ผมเดินเข้าไปหาพี่แอ๊ดพลางร้องถามออกไปว่า   พี่แอ๊ดครับ วันนี้เลี้ยงอะไรครับ ก๋วยเตี๋ยวน้องหน่อง ทานกันเยอะๆ นะจ๊ะ พี่ทำสุดฝีมือเลยวันนี้”  ป๋าแอ๊ดพ่อครัวคู่บุญค่ายคนสร้างฝันตอบมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นท่าทางพวกเราท่าหิวโซกันมากพอควร พวกเราเข้าไปรับเส้นจากแม่ครัว และมารับน้ำซุบจากพี่แอ๊ด เมื่อได้รับก๋วยเตี๋ยวแล้วผมก็เดินไปนั่งทานใต้ร่มไม้กับพี่เล็ก น้องตี๋ ส่วนน้องๆ คนอื่นๆ ก็จับกลุ่มทานก๋วยเตี๋ยวกันอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อเสร็จแล้วจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามสะดวกของแต่ละคนน้องต้อ ครับ ถ้าต้องการให้รูปหน้าชัดหลังเบลอ เราต้องไปที่ Mode AV แล้วปรับ F  ลงไปให้น้อยที่สุด ภาพที่จะได้ก็จะเป็นอย่างที่เราต้องการ เสียงเจื้อยแจ้วจากน้องโอ๋ที่กำลังสอนเทคนิค ลูกเล่นการใช้กล้อง DSLR ให้กับสาวๆ ที่สนใจ ข้างๆ กระติกน้ำ เมื่อผมเดินผ่านไปกินน้ำ ผมนึกถึงช่างภาพมืออาชีพอย่างคุณบัญญัติขึ้นมาทันที เอคุณบัญญัติไปอยู่ไปอยู่ไหนนะ ผมรอๆ คุณบัญญัติมาเก็บภาพพวกเราทุกคนเหมือนกับค่ายที่ผ่านๆ มา เพื่อเอาไว้เล่าเรื่องราวที่น่าประทับใจอยู่   เอาน่าเวลาอีกหลายวัน  เดี่ยวบ่ายๆ คุณบัญญัติคงแบบกล้อง Nikon  พร้อมเลนส์คู่ใจมาเก็บภาพบรรยากาศของพวกเราทุกคนเองแหละ