หลังจากออกมาจากภูลังกา
ระหว่างทางที่นั่งรถตู้กลับบ้าน ภายในรถ เอกกี้เป็นคนแรกที่เอาของขวัญจากบั๊ดดี้มาโชว์ให้เพื่อน
ๆ ในรถอิจฉาเล่น “นี่นี่
เค้าได้นาฬิกาปลุกด้วย สวยน้า” เสียงเอกพูดอวด ๆ พร้อมทั้งหยิบนาฬิกา ออกมาโชว์เพื่อน ๆ จากนั้นก็แสดงลูกเล่นของนาฬิกาดังกล่าว
ซึ่งสามารถฉายแสงแสดงเวลาไปยังเพดาน หรือม่านรับภาพได้ สีแดงสดใสของตัวเลขบอกเวลาบนเพดานภายในรถตู้ขณะนั่งรถกลับจากภู
ทำให้ผมอมยิ้มและอดแซวเอกไปด้วยไม่ได้ ผมรู้ว่าน้องต้อเป็นคนมอบนาฬิกานี้ให้
แลกกับเทียนรูปลูกบาศก์ 1 แท่ง
ถ้ามองในเชิงมูลค่าแล้วมันก็คงเทียบกันไม่ได้ เหมือนที่ผมแซวว่า
เอากุ้งฝอยไปตกปลากะพงนั่นแหละ แต่ก็มีคนบอกอยู่เสมอ ๆ ว่า คุณค่าของของนั้น
สำคัญที่คนให้ ไม่ใช่มูลค่าของ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าจริง แต่ในใจผมก็ยังมีค้าน ๆ นะ
เพราะถ้าใครเอาฟอร์จูนเนอร์มาแลกกับปลาเข็ม(รถยนต์ส่วนตัว Toyota 3 ห่วง ปี 1994) แล้วล่ะก็ ผมก็คงไม่ลังเลที่จะแลก
ทั้งๆที่ปลาเข็มเป็นเพื่อนที่มีคุณค่าทางใจผมมานาน
และคงคิดว่ามันเมาหรือรวยจนเพี้ยนกันแน่
รถตู้ที่พวกเราโดยสารแวะพักทานข้าวที่ปั๊มน้ำมันในเขตจังหวัดพิษณุโลก
ช่วงนั้นฝนตกแรงมาก แต่เมื่อรถตู้หยุด สิ่งแรกที่เอกทำ คือ ออกจากรถตู้พร้อมร่ม กันฝนเพื่อนำไปรับน้องต้อไม่ให้เปียก
ระหว่างที่เดินไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งผมนึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็ให้รู้สึกว่า
เวลาของผมมันย้อนกลับไปสู่สมัยเด็ก ม. ปลายที่แอบตัดดอกไม้ไปให้สาว ๆ เสียทุกที
มันเป็นความรู้สึกอบอุ่น ความหวังดี มีความปรารถนาดีเจืออยู่เต็มไปหมด รู้สึกเย็นใจเมื่อได้อยู่ใกล้ ไม่ร้อนรุ่ม ไม่คุกรุ่น
เวลาผ่านไป เกือบเดือนขณะที่ผมยืนรอขึ้นรถตู้อยู่ที่ลานจอดรถเบทาโกรเพื่อจะเดินทางไปทำการสร้างกำแพงโรงอาหารให้กับนักเรียนโรงเรียนบ้านห้างสูง
ฝนก็ตกพรำ ๆ
น้องเอกถือถุงพลาสติกใส่อะไรบางอย่างมายื่นให้ “พี่หน่อง น้องปลาฝากของมาให้” เอกกี้กล่าวด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ “มะขามป้อมหรือเปล่าเอก” ผมถามด้วยความยินดี
เพราะได้บอกให้ปลาฝากมะขามป้อมมากับเอก เพื่อมาให้พวกเราชาวเบทาโกร “ไม่ใช่นะพี่ มะขามที่จอดรถ” จากนั้นเอกก็แกะถุงปล่อยให้น้ำฝนไหลเข้าไปในถุง
“อันนี้คือ มะขามเปียก ส่วนมะขามที่พี่ต้องการ
พี่หน่องไปรับมะขามจากผมที่ป้อมยามข้างหน้า อันนั้นแหละถึงจะเรียกว่า มะขามป้อม”
ผมหัวเราะไปกับมุกของเอก
แชมป์ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย ความจริงผมสังเกตมาได้ระยะหนึ่งแล้วว่า
หลังจากที่พวกเรากลับมาจากภูลังกา พวกเราเหมือนมีโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งซุกซ่อนเอาไว้ในใจ
มักจะมีรอยยิ้มหวาน ๆ ระบายตามใบหน้าเมื่ออ่านข้อความให้กำลังใจกันเองจาก Facebook
มีความห่วงหาอาทรและความรู้สึกดี
ๆ ส่งผ่านให้กันผ่านหน้าจอเล็กๆ นี่แหละที่ผมบอกกับตัวเองว่า
ผมหลงเสน่ห์ของค่ายภูลังกาเข้าอย่างจัง มันเหมือนเวลามันหมุนกลับไปเมื่อเรายังเป็นหนุ่มสาว
มีหัวใจเปี่ยมสุข พร้อมที่จะออกไปช่วยเหลือคนอื่น ๆ โดยที่ไม่ได้สนใจตัวเอง ขอเพียงแค่ได้ทำตามหัวใจปรารถนาเป็นพอ
ระหว่างทำงานสร้างกำแพงกับน้อง ๆ
เรื่องสนุกสนานสมัยภูลังกาถูกขุดมาพูดกันตลอด
มันเหมือนมีแรงใจที่เข้ามาเติมเต็มให้ทุกคน เอกกี้ แอม แชมป์
ท๊อปรวมถึงผมเองขณะที่ทำงานนี้ เราทำแทนเพื่อน ๆ ชาวภูลังกาทุกคน
ไม่มีบ่นเหนื่อยหรืออู้งาน บางครั้งผมก็ถูกแอมอำว่า ทำ 3
ดู 7 แต่นั่นก็เป็นแค่เรื่องสนุกสนานที่พวกเราหามาพูดคุยกัน
เพื่อให้การทำงานแต่ละวินาทีที่ผ่านไปมีแต่ความสุข บางครั้งผมก็แอบเดินไปกินขนมปุยฝ้ายของต้อที่เอกเก็บไว้ให้ผมพร้อมทั้งนึกหัวเราะตัวเองว่า
ความรู้สึกแบบนี้มันหายไปนาน ความรู้สึกที่หน้าอกด้านซ้ายพองโต มีแต่แรงใจที่ไม่มีวันหมด
บางครั้งระหว่างทำงานก็หยิบมะขามป้อมออกมากินกันในกลุ่มและเริ่มต้นอำกันเองอีกครั้ง
ภาพเก่า ๆ ที่เราทำงานบนภูสอนให้เราทำงานนี้ง่ายขึ้นมากทุกอย่างรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วจนใกล้เสร็จ
ซึ่งผมไม่แปลกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะเพราะอะไรก็แล้วแต่
ผมยังอยากจะมอบความดีความชอบครั้งนี้ให้กับเพื่อน ๆ ชาวค่ายทุกคน
ตอนนี้มีน้ำท่วมทั่วไป พวกเราที่อยู่
กทม. ได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า แต่ผมยังเชื่อว่าพวกเราสามารถฝ่าวิกฤตนี้ไปได้ ก่อนหน้านี้พวกเราตระเวนกันไปหลาย
ๆ ที่เพื่อช่วยแพคของ กรอกทรายเพื่อทำแนวกั้นน้ำ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันออกมาจากข้างในของพวกเราเอง ไม่มีใครบังคับ ซึ่งผลสุดท้ายแล้ว แม้น้ำจะไหลนองจนท่วมกรุงเทพฯ
เพื่อนบางคนเริ่มถูกภัยน้ำท่วมคุกคามผมก็ยังเชื่อว่าพวกเราจะไม่ทิ้งกันและยังพร้อมจะออกไปช่วยเหลือกัน
เพื่อสิ่งที่เรามีคือความไว้เนื้อเชื่อใจในกันและกัน
ซึ่งมันส่งผลมาจากค่ายภูลังกานั่นเอง …
29 ตุลาคม 2554
ต้นจำปูนหลังบ้าน