วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

กลับไปทำบุญกฐิน 2564 ที่ระยอง

เช้าวันเสาร์ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงในห้องพ่อซึ่งน้องสาวบอกให้เข้าไปนอนหลังจากขับรถมาจากปทุมธานีมาถึงบ้านแม่เมื่อคืนเพราะตั้งแต่พ่อเสียชีวิตก็ไม่มีใครเข้ามานอนนอกจากคุณแม่ที่มักจะเข้ามานอนในบางครั้ง แต่แม่ก็สมัครใจจะกางมุ้งหน้าโทรทัศน์เพื่อดูละครในช่วงไพรม์ไทม์ของช่องเจ็ดแล้วก็หลับไปทั้ง ๆ ที่โทรทัศน์เปิดอยู่บ่อยครั้ง ภายในห้องมีภาพคุณปู่คุณย่านั่งถ่ายรูปด้วยกันบนเก้าอี้ไม้ในสวนที่บ้านในซึ่งเป็นบ้านสวนของคุณปู่ ข้างๆ กันเป็นรูปพี่ชายผมที่เสียชีวิตไปเมื่อ 18 ปีก่อน พี่ชายเป็นลูกชายคนหัวปีของครอบครัวและเป็นลูกที่คุณพ่อคุณแม่รักมากที่สุด ส่วนรูปคุณพ่อตั้งอยู่เลยไปทางผนังห้องถัดจากหัวเตียง ในรูปยังมีรอยยิ้มจาง ๆ ของคุณพ่อโดยเป็นรูปที่ผมถ่ายคุณพ่อที่บริเวณถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา

ผมกลับมาที่บ้านคราวนี้เพื่อร่วมทำบุญกฐินกับแม่ที่วัดข้างบ้านหลังจากหลาย ๆ ปีที่ผ่านมากฐินที่วัดชากลูกหญ้าถูกจับจองโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ในจังหวัดและจะมีการทอดกฐินในวันธรรมดาทำให้ผมไม่ได้ไปร่วมงาน รวมทั้งชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็ไม่ค่อยได้ไปร่วมมากนักเพราะความรู้สึกว่ามันไม่ใช่งานของพวกเขาถึงจะเป็นงานที่วัดก็เถอะแต่เป็นงานของคนอื่น ๆ ที่เข้ามาทำมาหากินในจังหวัดระยองและร่วมกันทำตามประเพณีให้พ้นปีไปเท่านั้นแต่ปีนี้เป็นกฐินสามัคคีของชาวบ้านชากลูกหญ้าทำให้ผมตัดสินใจกลับมาร่วมทำบุญ
หลังจากทานข้าวเช้ากับคุณแม่ หลานสาว น้องสาวและน้องเขยแล้วผมก็ขับรถพาคุณแม่ไปที่วัดแทนการเดินกันไปเหมือนที่ผ่าน ๆ มาเนื่องจากระยะหลังมานี่คุณแม่บ่นอยู่เสมอว่าเดินไม่ค่อยไหว จะเพราะหมดกำลังใจหลังจากคุณพ่อจากไปหรือเพราะร่างกายที่เริ่มเสื่อมถอยผมก็ไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว กลับรู้สึกดีที่มีโอกาสพาแม่เข้าวัดเพื่อไปทำบุญตามที่ท่านตั้งใจ เมื่อมาถึงวัดผมส่งคุณแม่ลงจากรถ นำรถไปจอดในที่ที่ทางวัดจัดเตรียมไว้และเดินมาด้านหลังสุดนอกอาคารและหาเก้าอี้นั่งใต้ต้นไม้เพื่อหลีกเลี่ยงผู้คนแออัดเพราะยังต้องคำนึงอยู่เสมอว่าต้องระวังตัวในการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ถึงแม้จะป้องกันตัวจาก COVID-19 อย่างเต็มที่แล้วก็ตาม
เมื่อการทอดกฐินเสร็จทางโฆษกก็ได้ประกาศยอดเงินทำบุญกฐินซึ่งปีนี้เงินที่ทางวัดได้รับมีมูลค่ามากกว่า 2 ล้านบาท ผมประหลาดใจในยอดเงินเพราะมันมากกว่าที่ผมคิดไว้มากจนน้องสาวเดินมาหาและบอกว่าวันนี้พี่ตุ๋ยมาร่วมทำบุญกฐินซึ่งเงินสองในสามส่วนที่ได้นั้นพี่ตุ๋ยลูกป้าเบียร์ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อและพี่น้องจากท่าบรรทุกได้นำเงินที่ป้าเบียร์ได้ตั้งใจทำบุญให้กับทางวัดชากลูกหญ้าเพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับคุณปู่คุณย่าของผมก่อนที่ป้าเบียร์จะเสียชีวิต จนกระทั่งท่านเสียชีวิตไปลูกหลานก็ได้ทำตามที่ป้าเบียร์ได้บอกกล่าวไว้ไม่ขาดตกบกพร่อง ผมได้ฟังแล้วก็ดีใจและสอบถามน้องสาวเพื่อจะไปทำความเคารพพี่ตุ๋ยและพี่น้องที่มาด้วยกันและเมื่อเสร็จธุระจากการทอดกฐินผมก็ไปขับรถมารับแม่กลับบ้าน




งานกฐินผ่านไปอีกปี งานต่อไปก็ลอยกระทง ต่อไปก็วันพ่อ ปีใหม่ งานบุญต่างๆ ที่เวียนกันเข้ามาในชีวิตเหมือนกงล้อเกวียนที่หมุนไปตามแรงโคที่ลากจูง ทุกคนอายุมากขึ้น บางคนมีชีวิตที่ดีขึ้นบางคนชีวิตแย่ลงลำบากในการหาเงินมาจุนเจือครอบครัวแต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนหลีกหนีไม่พ้นคือความแก่ชราของสังขาร และถึงแก่ความตายในวันหนึ่ง หากวันนี้ยังมีโอกาสขอให้มองสิ่งเหล่านี้อย่างเข้าใจและเลือกทำในสิ่งที่สมควรทำก่อนที่แต่ละคนจะถึงวันสุดท้ายของชีวิต




9 พฤศจิกายน 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2564

วันเกิดคุณพ่อ

                                                วันนี้วันเกิดพ่อนะ พ่อจำได้หรือเปล่า หน่องยังคิดถึงพ่ออยู่เสมอ วันนี้วันออกพรรษานะพ่อ เสียดายจังไม่ได้นั่งคุยแล้วก็ดื่มเบียร์ที่พ่อชอบกับพ่อเหมือนเมื่อก่อน ปีนี้หน่องอายุ 50 ปีแล้วกำลังปรับตัวเข้าสู่วัยชราอย่างมีสติ แม่ยังสบายดียังมีความสุขกับการขายของที่ตลาดนัด ฝนที่บ้านพ่อไม่ค่อยตกแล้วไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะท่วมบ้าน ต้นองุ่นที่หน่องซื้อไปให้พ่อปลูกตายหมดแล้วนะแต่ไม่เป็นไร ตายได้ก็ปลูกใหม่ได้พ่อไม่ต้องเป็นกังวล หญ้าในสวนหลังบ้านขึ้นรกมาก หน่องว่ามันคงเหงาเหมือนกันแหละเพราะไม่มีพ่อคอยไปฉีดยาฆ่าหญ้า รถไฟฟ้าคันสีส้มของพ่อถูกจอดทิ้งไว้นานแล้ว กลับไประยองคราวหน้าหน่องจะเอาออกมาวิ่งให้เจ้าเหม็นหมาตัวที่ชอบวิ่งไล่คนที่เดินผ่านบ้านเรามันวิ่งตามนะครับ พ่อไม่ต้องห่วงแม่นะ หน่องบอกให้แม่ทำบุญมากๆ แล้ววันหนึ่งพวกเราจะกลับมาเจอกันอีก หน่องสัญญา



21 ตุลาคม 2564

ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2564

คิดถึงคุณย่า

                                  อาการปวดท้องเหมือนอาหารเป็นพิษและมีอาการถ่ายเป็นมาตั้งแต่ช่วงสายของวันอาทิตย์จนถึงเย็นก็ยังไม่ค่อยทุเลา ช่วง 3 ทุ่มกว่าภรรยาจึงไปค้นยาในบ้านได้ยาหอมมาชงให้ดื่ม ขณะรับถ้วยเล็กๆ จากมือภรรยาที่มียาหอมที่ชงแล้วอยู่ 1/4 ถ้วย ภาพในอดีตพร้อมเสียงแห่งความเมตตาปราณีของคุณย่าก็ดังขึ้นมาในห้วงความคิด “ไอ้คนแก่ กินยาหอมซะให้หมดแก้ว จะได้หายปวดท้อง” ด้วยความเป็นเด็ก กลิ่นยาหอมตรา 5 เจดีย์ลอยขึ้นมาเตะจมูกรวมไปถึงปริมาณยาหอมที่ถูกชงด้วยน้ำร้อนมันมากพอจะทำให้ผมลอบกลืนน้ำลายและคิดที่จะปฏิเสธ แต่สายตาของคุณย่าผู้มีความห่วงใยในตัวหลานก็ทำให้ผมหลับหูหลับตาดื่มยาหอมไปจนหมดแก้วและนอนแผ่หลาอยู่ข้างๆ คุณย่านั่นเอง ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ยาหอมหรือเพราะความใจดีของคุณย่าที่ทำให้หายปวดท้องในคืนนั้น แต่ความทรงจำจะคอยออกมาย้ำเตือนเสมอเมื่อกลิ่นยาหอมลอยมาเตะจมูกและคิดถึงคุณย่าอยู่ทุกครั้งไป

ผมร้องขอให้ภรรยาเติมน้ำร้อนในถ้วยยาหอมให้ระดับน้ำเกินกว่าครึ่งถ้วย ภรรยาทำหน้าสงสัยแต่ก็ยอมทำให้แต่โดยดี คุณย่าจะรู้หรือเปล่านะว่าหลานชายคุณย่าคิดถึงใบหน้าคุณย่าและเสียงเรียกขานว่า ไอ้คนแก่อยู่ทุกครั้งที่ได้กลิ่นยาหอม อยากจะเจอและนั่งดูคุณย่านั่งหลังขดหลังแข็งเอาไม้ไผ่ที่ผ่าออกมาเป็นเส้นๆ มาสานกระด้ง สานกระบุงเหมือนวันเก่าจัง หรือขอแค่ฝันถึงคุณย่าก็ยังดี





12 กันยายน 2564

ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2564

แด่คุณพ่อในหัวใจด้วยความทรงจำ

เสียงคล้ายๆ ปี่แตรดังระงมมาตั้งแต่ตอนตี 4 จนปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาบนที่นอนในที่พักใกล้ ๆ กับพระธาตุอินทร์แขวน เสียงที่ได้ยินนั้นดังล่องลอยประสานเสียงใกล้เข้ามาและเลยผ่านไป แต่เสียงก็ยังดังมาไม่ขาดสายเหมือนมีคนเป่าแตรจำนวนมากกำลังเดินไปด้วยเป่าไปด้วย ผมขยับตัวและหันไปมองทางเตียงที่คุณพ่อกับคุณแม่นอนหลับอยู่ใกล้ ๆ กัน คุณพ่อขยับตัวเล็กน้อยอยู่ใต้ผ้าห่ม ส่วนคุณแม่ยังหลับสนิทอยู่ข้างๆ กัน นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่เคยนอนในห้องเดียวกันกับคุณพ่อและคุณแม่จนกระทั่งมาเที่ยวที่เมียนมาในครั้งนี้

ราว ๆ ตี 5 ท่านทั้งสองก็ตื่นและถามผมถึงเสียงดังกล่าว ผมไม่ทราบว่าเสียงอะไรแต่ชวนคุณพ่อคุณแม่อาบน้ำแต่งตัวและเดินไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวนยามรุ่งสางเผื่อจะได้รู้ที่มาของเสียง อากาศบริเวณที่พักยามเช้าค่อนข้างเย็นเพราะตั้งอยู่บนเขาทำให้ผมต้องเตรียมเสื้อกันหนาวไปใส่ ซึ่งเมื่อทุกคนพร้อมแล้วเราทั้งสามคนก็ออกเดินไปยังองค์พระธาตุด้วยกัน
ระหว่างทางที่เดินขึ้นบันไดเราเดินสวนทางกับเด็กเมียนมาหลายสิบคนที่ต่างทยอยเดินลงมาจากบริเวณองค์พระธาตุ ในมือเด็กเหล่านั้นถือแตรอันเล็ก ๆ ที่ทำจากปล้องไม้ไผ่และมีลูกโป่งติดอยู่ตรงปลาย เด็กที่เดินผ่านไปต่างก็เป่าแตรที่ถือกันมาทุกคน คุณพ่อผมหยุดมองแล้วก็ทำท่าหัวเราะชอบใจส่วนคุณแม่ไม่ว่าอะไรเพราะกำลังตั้งใจเดินไปที่องค์พระธาตุ เมื่อเข้าไปใกล้องค์พระธาตุอินทร์แขวน ผมเห็นคนเมียนมาหลายคนกำลังเก็บเครื่องนอน คืนที่ผ่านมาคนเหล่านี้คงจะมาสักการะพระธาตุและจัดเตรียมที่นอนใกล้ ๆ ซึ่งพื้นที่เป็นหินอ่อนขนาดใหญ่สะสมความเย็นมาทั้งคืนทำให้คนที่นอนสัมผัสความเย็นกันพอสมควร หลาย ๆ คนถึงมีผ้าผ่มหนา ๆ เตรียมมาด้วย ยิ่งผมเดินไปบนพื้นหินอ่อนทำให้รู้สึกว่าอากาศเย็นมากยิ่งขึ้น เมื่อเราทั้งสามคนไหว้องค์พระธาตุเสร็จแล้วผมชวนคุณพ่อคุณแม่เดินสำรวจบริเวณใกล้ ๆ องค์พระธาตุ แสงแดดยามเช้าเริ่มทอแสงมาทางทิศตะวันออก แต่หมอกจาง ๆ ก็ยังลอยปกคลุมอยู่พอให้นึกถึงบรรยากาศชวนฝันเหมือนในภาพถ่ายทางภาคเหนือของไทยที่เคยพบเห็นมา
เมื่อเดินลงไปจากบริเวณองค์พระธาตุเล็กน้อยมันเป็นเมือนหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเขา คุณพ่อเลยชวนผมกับคุณแม่เดินลงไปสำรวจหมู่บ้าน ระหว่างทางที่เดินผ่านไปหลาย ๆ บ้านที่ตื่นกันแล้วจะมีผู้ชายนุ่งสโร่งนั่งล้อมวงดื่มน้ำชา ส่วนผู้หญิงจะเตรียมสินค้าไว้ขายให้นักท่องเที่ยว อากาศยามเช้าสดชื่นแต่ที่สดชื่นยิ่งกว่าคือใบหน้าของคุณพ่อที่ยิ้มไม่หุบและชอบใจในหมู่บ้านเหล่านี้พลางบอกผมไม่ขาดปากว่าไม่คิดว่าจะมีหมู่บ้านอยู่บนเขาและเจริญขนาดนี้ ระหว่างเดินผ่านร้านค้าบางครั้งคุณพ่อก็เข้าไปเดินดูสินค้าที่แม่ค้าหน้าขาวปะแป้งทนาคาร้องเรียกเชิญชวนให้เข้าไปดู ผมยิ้มในหัวใจและรับรู้ถึงความสุขที่คุณพ่อคุณแม่ได้รับในการมาเที่ยวในที่ที่ห่างไกลจากประเทศบ้านเกิดเป็นครั้งแรก หากคุณพ่อคุณแม่พอใจในสินค้าผมก็ชำระค่าเงินค่าสินค้าที่คุณพ่อคุณแม่เลือกและเก็บรวบรวมลงกระเป๋าสะพาย เมื่อผมพาคุณพ่อคุณแม่เดินเที่ยวรวมทั้งซื้อสินค้าจนท่านทั้งสองพอใจแล้วก็พาท่านเดินกลับไปยังที่พักเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองย่างกุ้งกับคณะทัวร์ต่อไปในตอนสายวันนั้น
คุณพ่อจะรู้หรือเปล่านะว่าลูกชายคนนี้คิดถึงรอยยิ้มของคุณพ่อในเช้าวันนั้นที่หมู่บ้านบริเวณพระธาตุอินทร์แขวนอยู่เสมอ มันยังเป็นสิ่งที่ยังหล่อเลี้ยงหัวใจผมให้มีกำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตแม้ในวันที่ยากลำบากและเสียใจอย่างที่สุดก็ตามที




21 สิงหาคม 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ใบโพธิ์จากต้นโพธิ์ที่เจดีย์ชเวดากองเมืองย่างกุ้งประเทศเมียนมา

                                       ในปี 2552 ผมมีโอกาสพาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวที่ประเทศเมียนมาโดยความตั้งใจคืออยากพาคุณแม่นั่งเครื่องบินสักครั้งในชีวิตเพราะตั้งแต่เกิดมาจนคุณแม่อายุ 67 ปีสิ่งหนึ่งที่คุณแม่จะบอกเสมอมาก็คืออยากนั่งเครื่องบินไปที่ไหนก็ได้ สุดท้ายทริปนี้จึงเกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากตัวผมเองที่กังวลถึงอายุที่มากขึ้นของคุณพ่อและคุณแม่อีกทั้งอะไร ๆ ในโลกนี้ล้วนตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน ตัวคุณแม่ท่านชอบท่องเที่ยวอยู่แล้วเมื่อผมไปบอกท่านว่าจะพาไปเที่ยวเมียนมาท่านดีใจอย่างเห็นได้ชัดแต่กับคุณพ่อที่มันจะมีคำพูดติดติดปากคือ ดูก่อน  วันที่ผมไปบอกท่านว่าจะพาไปไหว้เจดีย์ชเวดากองที่เมียนมาคำพูดว่าดูก่อนจึงออกจากปากท่านอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แปลกไปเพราะอีกไม่กี่วันต่อมาผมก็ได้รับคำตอบว่าจะไปเที่ยวด้วยกันเพราะอยากไปเห็นบ้านเมืองชาวเมียนมาที่เคยได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เด็กเกี่ยวกับเรื่องสงครามของพม่ากับสยามประเทศครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีไทย

                                         ผมติดต่อน้องตี๋ที่มีพี่ชายทำธุรกิจท่องเที่ยวและจัดเตรียมเอกสารสำหรับการท่องเที่ยวอย่าง Passport บัตรประชาชนให้คุณพ่อคุณแม่และตัวผมเองรวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวให้กับทีมงานกรุ๊ปทัวร์เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมและคุณพ่อคุณแม่ก็เดินทางไปประเทศเมียนมากันในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ก่อนวันมาฆบูชาปี 2552  โดยไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเมียนมาเป็นไปอย่างสนุกสนานจนถึงคืนสุดท้ายที่เป็นวันมาฆบูชา ไกด์นำเที่ยวก็พาลูกทัวร์ไปไหว้เจดีย์ชเวดากองกันตอนเย็นก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าซึ่งเจดีย์ชเวดากองนี้ตั้งอยู่ในเมืองย่างกุ้งใกล้กับที่พักของกลุ่มทัวร์เรา

                                     เมื่อไปถึงเจดีย์เราสามคนพ่อแม่ลูกก็เดินชมความงามขององค์เจดีย์ที่มีสีเหลืองอร่าม สาวเมียนมานุ่งผ้าซิ่นประมาณ 8-9 คนเดินเข้าแถวหน้ากระดานบริเวณลานเจดีย์และใช้ไม้กวาดกวาดลานเจดีย์ไปด้วยกันอย่างพร้อมเพรียงนับว่าเป็นภาพที่สวยงามและน่าประทับใจ   ส่วนผมก็พาคุณพ่อคุณแม่เดินชมความงามบริเวณองค์พระเจดีย์ซึ่งกิจกรรมหนึ่งที่เป็นที่นิยมคือการสรงน้ำให้รูปปั้นเทวดารอบองค์เจดีย์ตามกำลังวันเกิด คุณแม่ผมเกิดวันพุธดังนั้นการตักน้ำสรงรูปปั้นจึงต้องตักถึง 17 ครั้งซึ่งคุณแม่ก็ตักไปถามผมไปว่าครบหรือยังจนผมอดขำท่าท่างเก้ ๆ กัง ๆ ของคุณแม่ไม่ได้ เมื่อเสร็จการสรงน้ำแล้วคุณแม่ก็ถามผมว่าจะทำบุญให้พี่ชายได้ที่ไหนพร้อมทั้งหยิบเงินธนบัตรใบละ 5 ดอลลาร์ออกมาจากกระเป๋าซึ่งคุณแม่บอกว่าเป็นแบงก์ของพี่ชายผมที่ให้แม่ไว้ก่อนจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุไปเมื่อ 6 ปีก่อนและตลอดการเดินทางในครั้งนี้คุณแม่จะสอบถามว่าถึงเจดีย์ชเวดากองหรือยังในทุก ๆ ที่ที่เราเดินทางไปเที่ยวเพราะจะเอาเงินดอลลาร์นี้ทำบุญผมเลยพาแม่เดินไปที่ตู้รับบริจาคบริเวณลานเจดีย์และบอกให้แม่หย่อนแบงก์ 5 ดอลลาร์ลงไปที่ตู้รับบริจาคดังกล่าว 

                          เมื่อการชมองค์เจดีย์ชเวดาและกิจกรรมต่าง ๆ สิ้นสุดลงทั้งคณะได้ถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกท่ามกลางแสงจันทร์นวลจากพระจันทร์เต็มดวงคืนวันมาฆที่โผล่ขึ้นเหนือท้องฟ้าทางทิศตะวันออก เมื่อเสร็จสิ้นการถ่ายภาพร่วมกันพวกเราก็เดินทางกลับไปที่พักซึ่งระหว่างที่ทางคณะกำลังจะเดินไปเข้าลิฟต์ลงไปด้านล่างเพื่อขึ้นรถกลับที่พัก ไกด์ที่นำเที่ยวก็ชี้ให้ดูต้นโพธิ์ที่ยืนต้นอยู่ก่อนถึงทางเข้าลิฟต์ เป็นต้นโพธิ์ที่สูงใหญ่แต่ใต้ต้นโพธิ์ไม่มีใบโพธิ์ร่วงอยู่เลยโดยใต้ต้นโพธิ์นั้นจะมีจนท.หน้าตาขึงขังดูแลคอยดูแลต้นโพธิ์อยู่ ด้วยความอยากได้ใบโพธิ์เป็นที่ระลึก ผมจึงเดินไปสอบถามจนท.คนดังกล่าวถึงใบโพธิ์ด้วยว่าจะขอไปเป็นที่ระลึกได้ไหม แต่จนท.ท่านนั้นก็ส่ายหน้าและไม่ได้กล่าวอะไรอีก ผมรับรู้ดังนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรเดินกลับมาหาคุณพ่อคุณแม่และกำลังจะเดินไปเข้าลิฟต์ทันใดนั้นจนท.หน้าตาขึงขังคนนั้นก็ปีนต้นโพธิ์เพื่อไปเด็ดใบโพธิ์มาให้ผมสองใบ คนอื่น ๆ เห็นดังนั้นก็เข้าไปขอบ้างแต่จนท. ท่านนั้นก็ส่ายหน้าแล้วก็บอกว่าให้ได้แค่นั้นคนอื่น ๆ เลยเดินกลับไปด้วยความผิดหวัง ผมเก็บใบโพธิ์สองใบนั้นลงกระเป๋าเพื่อเอากลับมาเมืองไทยและนำมาใส่กรอบเก็บไว้เป็นอย่างดี นับว่าเป็นสิ่งมงคลสำหรับชีวิตอย่างหนึ่งที่ได้รับมาโดยไม่คาดฝันและเป็นสิ่งที่ช่วยให้ระลึกถึงความสุขครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้พาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวยังต่างแดน

 




3 สิงหาคม 2564

ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ธนบัตรขาด

ผมเดินผ่านแม่ที่กำลังนับเงินที่ได้จากการขายของในตลาดนัดเพื่อเข้าไปนั่งพักในบ้าน สักพักก็มีเสียงร้องเรียกผมดังมาจากแม่ “หน่องมาดูแบงก์ให้แม่หน่อย” ผมรีบลุกจากโซฟาและเดินไปหาแม่โดยไม่ต้องให้ท่านเรียกซ้ำ เมื่อเดินไปถึงจึงเห็นแบงก์ยี่สิบบาทสีเขียวกองอยู่ตรงหน้าแม่ และในมือแม่มีแบงก์ยี่สิบที่ขาดจากความเก่าซึ่งแม่ก็บอกผมในทันทีว่า “แม่หยิบแรงไปหน่อยแบงก์เลยขาด หน่องเอาไปแบงก์ไปต่อมาให้แม่ที” ผมรับเงินที่ขาด 2 ท่อนมาจากมือแม่และเดินเข้าไปหยิบแบงก์ยี่สิบในกระเป๋าสตางค์และเดินเอาไปยื่นให้แม่ แม่รับไปและกล่าวชมว่าผมต่อแบงก์ที่ขาดได้อย่างรวดเร็ว ผมได้แต่อมยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไรและเดินกลับไปในบ้าน สักพักแม่ก็เรียกไปถามว่า ทำไมแบงก์ไม่มีรอยต่อ ไปเอาแบงก์นี่มาจากไหน ผมก็เลยบอกว่า “เงินหน่องเอง แม่เอาไปแทนแบงก์ที่ขาด ส่วนแบงก์ที่ขาดเดี๋ยวหน่องเอาไปแลกที่ธนาคารตอนกลับไปกรุงเทพฯ” เมื่อแม่ได้ฟังก็ไม่พูดอะไรกลับไปนับเงินที่ขายของได้ต่อไปส่วนผมก็กลับไปทำธุระส่วนตัวตามเรื่องตามราว




เรื่องแบงก์ขาดหากเป็นสมัยก่อนผมคงรีบหาเทปใสมาต่อแบงก์ให้ติดและพยายามปล่อยมันกลับไปในตลาดให้กับใครซักคน ซึ่งใครคนนั้นผมคงไม่สนใจหรอกว่าเขาจะเอาเงินนั้นไปใช้ต่อได้หรือไม่ ขอเพียงมันไม่อยู่ในมือผมก็พอแล้ว แต่พอมาถึงวันหนึ่งหลายสิ่งในชีวิตสอนเราให้เราคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นมากขึ้น ก็ในเมื่อเรายังไม่ต้องการของไม่ดีเลย แล้วคนอื่นที่เขามีความรู้สึกนึกคิดเหมือนเรา เขาก็คงไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้นเหมือนกันนั่นแหละ อะไรที่มันแย่ทำไมไม่ให้มันจบอยู่ที่ตัวเราล่ะ สุดท้ายแบงก์ขาดใบนั้นก็ยังคงอยู่ติดกระเป๋าเรื่อยมาเพราะหลายครั้งที่ผ่านธนาคารพอคิดจะเข้าไปใช้บริการก็มีคนรอคิวค่อนข้างมากจนไม่มีโอกาสได้แลกกลับมาเป็นแบงก์ปกติเสียที




31 กรกฎาคม 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Life is to laugh ชีวิตเป็นเรื่องตลก

จะเป็นเพราะอยู่กับพ่อมานานเกินไปหรือเปล่าไม่รู้จึงทำให้ติดนิสัยบางอย่างมาจากพ่อโดยไม่รู้ตัว สมัยยังเด็ก ๆ เวลาที่ผมไปหาย่าคงที่บ้านท่าน (ย่าคงเป็นน้องสาวย่ายิ้มคุณแม่ของพ่อผม) ย่าคงมักจะพูดถึงพ่อผมเสมอในเรื่องของการรู้คุณค่าของของกิน “พ่อมึงน่ะกินแตงโมเอาช้อนแคะจนมันทะลุไปถึงเปลือกเขียว ๆ กว่าจะทิ้งไปได้เปลือกแทบไม่เหลือ” เสียงย่าคงและสีหน้าที่ยิ้มแย้มยังคงอยู่ในความทรงจำของผมตลอดมา แม่เคยเล่าให้ฟังถึงความใจดีของย่าคงที่ให้ยืมเงินมาปลูกบ้านหลังแรกที่แยกออกมาจากบ้านย่ายิ้มและตั้งอยู่อีกฝั่งของถนนติดข้างวัดหลังจากที่ครอบครัวของพ่อเริ่มใหญ่ขึ้นและมองไปถึงการก่อร่างสร้างตัวกับแม่หลังจากที่พ่อพาย่ายิ้มไปขอแม่ให้มาเป็นภรรยาในปลายปี 2509



ผมมองอาหารที่ภรรยาจัดเตรียมไว้ให้มากจนบางครั้งมากเกินพอสำหรับคนสองคน ทุกอย่างที่ถูกทำขึ้นมันเป็นความตั้งใจของเธอที่อยากจะปรับปรุงฝีมือและดูแลครอบครัวจนทำให้หลาย ๆ ครั้งอาหารที่ยังทานกันไม่หมดจะเหลือข้ามมื้อเสมอ แต่พอผมจะตัดใจทิ้งอาหารที่ยังกินได้ลงถังขยะ เสียงย่าคงก็ดังขึ้นมาในโสตประสาทเหมือนย้ำเตือนให้ผมคิดถึงความยากลำบากและความประหยัดของพ่อ “พ่อมึงน่ะกินแตงโมเอาช้อนแคะจนมันทะลุไปถึงเปลือกเขียว ๆ… ” ก็ถ้าคุณพ่อประหยัดขนาดนี้จนมีเงินส่งให้ลูกเรียนหนังสือครบทั้ง 4 คน แล้วผมจะเอากับข้าวที่ยังกินไม่หมดทิ้งไปได้อย่างไร ถึงมันจะไม่ใช่ยุคที่พ่อเติบโตมาก็เถอะ เลยกลายเป็นว่าถ้าทานอาหารไม่หมดผมจะเก็บอาหารเข้าตู้เย็นและทยอยกินจนหมดจนได้ บางครั้งภรรยาอาจจะไม่เข้าใจว่าผมทำไปทำไม แต่บางเรื่องอยากให้การกระทำของผมสะท้อนให้เธอเห็นมากกว่าไปบอกให้เธอหยุดทำในสิ่งที่รัก ถ้าผมอ้วนก็แค่อออกไปวิ่งเท่านั้นเอง
生 活 是 笑 话 别 哭 着 听 它
เฉ่ง ฮวย ซี เซี้ยว ฮัว ไป๊ คู ฉี่ ทิ้ง ทา
ชีวิตเป็นเรื่องตลก อย่าร้องไห้ถ้าได้รับฟัง

20 กรกฎาคม 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความทรงจำที่แสนสวยงาม

24 ธันวาคม 2560 05:45 น. ผมกับภรรยาพากันเดินออกจากห้องพักภายในรีสอร์ตที่ตั้งอยู่ชายแดนประเทศไทยด้านเหนือสุดที่อ.เชียงแสนเพื่อไปรับสายหมอกยามเช้าที่ริมโขง ระหว่างเดินไปภรรยาถ่ายรูปดอกไม้เล็ก ๆ ที่แทรกตัวขึ้นตามริมทางเดินที่ทอดลาดจากตัวอาคารที่พักไปยังท่าน้ำ อากาศยามเช้าวันนี้สดชื่น อุณหภูมิสบาย ๆ ไม่ถึงกับหนาวมาก เมื่อเดินไปถึงริมโขงก็ใช้เวลากับสายหมอกที่ปกคลุมหนาและดูแม่น้ำโขงไหลผ่านเบื้องหน้าพลางคิดถึงสิ่งที่ทำให้เรามาทั้งสองคนดั้นด้นกันมาจนถึงที่พักแห่งนี้

ภรรยาผมกำชับมาตั้งแต่ก่อนออกเดินทางจากปทุมธานีมาเที่ยวภาคเหนือว่าต้องไปต้อนรับพี่ตูนที่วิ่งในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” เพื่อให้กำลังใจพี่ตูนและทีมงานที่จังหวัดเชียงรายก่อนพี่ตูนจะสิ้นสุดการวิ่งโครงการก้าวคนละก้าวที่อำเภอแม่สายทำให้ผมต้องวางแผนการเที่ยวให้สัมพันธ์กับการวิ่งของพี่ตูนและคอยติดตามข่าวพี่ตูนอย่างใกล้ชิด ซึ่งวันนี้เป็นวันที่พี่ตูนจะวิ่งผ่านวัดร่องขุ่นก่อนจะเข้าตัวจังหวัดเชียงราย เมื่อผมตรวจดูสถานที่คร่าว ๆ และระยะเวลาแล้วทำให้ผมวางแผนออกจากรีสอร์ตในเวลา 10:00 น. เพื่อไปให้ถึงวัดร่องขุ่นก่อนเที่ยง หลังจากเราสองคนดื่มด่ำกับส่ายหมอกและบรรยากาศกันแล้วผมพาภรรยาไปรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารในรีสอร์ตซึ่งอาหารเช้าในวันที่ตื่นมาในรีสอร์ตเป็นความสุขที่สุดอย่างหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นจากภรรยา มันเหมือนช่วงเวลาที่สงบ อบอุ่น ผมชอบมองภรรยาเดินไปตักอาหารและนำกลับมาถ่ายรูปอวดเพื่อนในเฟสบุ๊คส่วนตัวของเธอโดยแทบทุกครั้งเธอจะ Tag มาหาผมด้วยนัยว่าผมมีเพื่อนเยอะจะได้ช่วยกันเข้ามาดูรูปและกด Like
เราออกจากรีสอร์ตและเดินทางไปถึงวัดร่องขุ่นเกือบเที่ยง ถึงตอนนั้นทุกอย่างดูชุลมุนวุ่นวายซึ่งคณะก้าวคนละก้าวและพี่ตูนเข้าไปในบริเวณวัดแล้ว รถยนต์จำนวนมากวิ่งเข้าติดกันที่ถนนผ่านวัด ผมประเมินแล้วว่าคงไม่สามารถเอารถไปจอดในวัดได้แน่จึงบอกภรรยาให้ลงจากรถบนถนนใกล้กับอาคารด้านหน้าที่เตรียมรับคณะนักวิ่งเพื่อให้ภรรยาไปซื้อของที่ระลึกกับทีมงานโดยผมขับรถเลยเข้าไปเพื่อหาที่จอดที่ใกล้ที่สุดแต่ก็ต้องขับเลยวัดไปไกลกว่าจะหาที่กลับรถได้และรอให้ภรรยาโทรกลับมาบอกให้ไปรับหลังจากที่ซื้อของที่ระลึกเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วผมก็ขับรถมารับภรรยาและพาออกมาจากวัดโดยตั้งใจจะไปรอให้กำลังใจพี่ตูนที่ข้างทางที่พี่ตูนจะวิ่งผ่านซึ่งห่างจากวัดร่องขุ่นประมาณ 5 กิโลเมตร ซึ่งเมื่อได้ที่จอดรถและที่ยืนรอผมกับภรรยาก็ลงไปรอข้างทาง
เราสองคนติดตามข่าวของพี่ตูนว่าจะออกจากวัดร่องขุ่นกี่โมงผ่านทางเฟสบุ๊ค ซึ่งวันนั้นเกิดความล่าช้าขึ้นอาจจะเพราะการวิ่งมาไกลจนใกล้จุดหมายปลายทางซึ่งทำให้ทีมงานเหนื่อยล้า และวันนี้ก็เป็นวันที่ร้อนมากทั้งๆ เข้าสู่ช่วงปลายเดือนธันวาคมแล้วและเมื่อทางทีมงานยืนยันว่าพี่ตูนจะออกมาจากวัดประมาณบ่ายสามผมกับภรรยาก็ใช้พูดคุยในช่วงที่รอพี่ตูน ซึ่งเรื่องที่คุยก็คือความสุขที่เราเดินทางมาพักผ่อนทางภาคเหนือซึ่งถึงเราจะเดินทางกันมาไกลแต่ก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่พี่ตูนทำให้กับประเทศไทยในช่วงตั้งแต่โครงการก้าวคนละก้าวได้ และเมื่อคณะทีมงานก้าวคนละก้าวเริ่มออกวิ่งออกจากวัดร่องขุนผมกับภรรยาก็ออกไปยืนรอพี่ตูนที่ริมถนนพร้อมทั้งเตรียมเงินไว้ร่วมสมทุบทุนกับทีมงานด้วยหัวใจที่พองโต
สำหรับสิ่งที่ตั้งใจก่อนที่จะเจอหน้าพี่ตูนสำหรับผมก็คือจะยืนปรบมือให้กำลังใจพี่ตูนและทีมงานเท่านั้น จะไม่ไปจับมอไปทึ้งไปกอดแบบที่พี่ตูนเจอมาตลอดทางเพราะเป็นห่วงสภาพร่างกายของพี่ตูนเป็นอย่างมาก และเมื่อขบวนใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ผมก็เริ่มปรบมือให้กำลังใจและกล่าวขอบคุณทีมงานที่เดินผ่านหน้าไปทีละท่าน ระหว่างนั้นหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ท่าทางร่าเริงสดใสก็เดินผ่านหน้าเราสองคนพร้อมทั้งรอยยิ้มและยื่นมือมาจับขอจับมือ ผมจ้องมองและยิ้มตอบหญิงสาวคนนั้นพร้อมทั้งเอื้อมมือไปจับให้กำลังใจซึ่งภรรยาก็ทำอย่างเดียวกันเมื่อหญิงสาวคนนั้นเดินผ่านไปผมก็ถามภรรยาว่าใครกันที่เราทั้งคู่จับมือด้วย และก็ถึงบางอ้อเมื่อหญิงสาวคนนั้นหันมายิ้มสดใสก่อนเดินจากไปนี่เราสองคนเพิ่งจะจับมือกับหมอเมย์ไปนี่เอง จากนั้นเสียงเสียงคุณโน้ต อุดมประกาศจากไมค์โครโฟนดังใกล้เข้ามาที่ที่ผมยืนรอ ผมเร่งปรบมือให้กำลังใจและกล่าวขอบคุณนักวิ่งทุกคนน้องนายลูกแม่หมูพิมพ์ผกาวิ่งเหยาะ ๆ พาหน้าหล่อ ๆ เข้ามาใกล้ให้ภรรยาผมร้องทักจนเสียงหลง ส่วนผมมองหาชายคนที่ผมกับภรรยารอมาทั้งสัปดาห์ ทันใดนั้นใบหน้าผอมหนวดเครารุงรังก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามาใกล้จนเห็นหน้าชัดเจน เมื่อมาประจันหน้ากันจริง ๆ พี่ตูนเอื้อมมือมาขอแปะมือผม ผมลืมครามตั้งใจทั้งหมดที่จะไม่รบกวนพี่ตูนโดยการยื่นมือไปสัมผัสมือชายหนุ่มร่างผอมบางใบหน้าโทรมไปด้วยเหงื่อแต่แววตาสดใส ชั่ววินาทีหลังสัมผัสมือพี่ตูนก็วิ่งจากไปทิ้งไว้แต่ความทรงจำที่ฝังลึกเข้าไปในหัวใจและยังคงลุกโชนในความรู้สึกของผมจนถึงทุกวันนี้




ถึงวันนี้มีเสียงก่นด่าพี่ตูนเรื่องการไม่ออกมา Call Out จากคนที่หวังผลทางการเมือง เอาเรื่องการวิ่งของพี่ตูนมาแซะตามช่องทางโซเชียลมีเดียผมเห็นแล้วอยากโต้ตอบแต่ก็คงเปล่าประโยชน์ คนที่ทำอะไรยิ่งใหญ่มามากอย่างพี่ตูนคงไม่สนใจอะไรคนเหล่านี้แต่พี่ตูนคงเจ็บข้างในเมื่อเห็นคนในวงการเดียวกันดาหน้าออกมารุมแทะเหมือนหมาป่าหิวโซ ผมทำได้ก็เป็นเพียงช่วยส่งกำลังใจให้พี่ตูนพร้อมทั้งสนับสนุนสิ่งดี ๆ ที่พี่ตูนทำต่อไป ใครไม่เห็นสิ่งดีๆ ที่พี่ตูนทำแต่ผมกับภรรยาเห็นมาด้วยตาตัวเองที่เชียงรายเมื่อ 4 ปีก่อนและยังประทับใจมาถึงวันนี้ ขอให้พี่ตูนทำดีต่อไป ยังมีคนไทยที่รักชาติอยู่ข้าง ๆ พี่ตูนอยู่เสมอ

13 กรกฎาคม 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Abnormal from my friends

                                สมัยผมเข้าเรียนระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยใกล้กับที่ทำงาน จะมีวิชาที่เกี่ยวกับพื้นฐานภาษาอังกฤษสำหรับเศรษฐศาสตร์ วันหนึ่งผมเข้าเรียนช้าเพราะติดงานที่บริษัทแต่ก็เร่งรีบมาเรียนจนถึงหน้าห้องเรียน ขณะนั้น อ.ผู้สอนกำลังเชคชื่อว่าใครเข้าเรียนหรือไม่เข้าเรียน โดยการขานชื่อเป็นรายบุคคล ถ้าเข้าเรียนคนที่มาก็จะตอบว่า Present แต่ถ้าไม่เข้าเรียนเพื่อนๆ ที่เข้าเรียนก็จะช่วยกันตอบ อ. ผู้สอนว่า Absent ดังนั้น เมื่อ อ. ขานชื่อนักศึกษาก็จะได้ยินเสียงตอบกลับมาเป็นระยะว่า  Present , Absent , Present , Present  จังหวะนั้นผมกำลังจะเดินเข้ามาในห้อง อ. ขานชื่อว่า  มณเฑียร เนินอุไร ทั้งห้องเงียบไปอึดใจ ก่อนที่จะมีเสียงตอบกลับมาจากกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันกับผมเป็นเสียงเดียวกันว่า Abnormal พร้อมทั้งเสียงหัวเราะจากเพื่อนกลุ่มนั้นด้วยอารมณ์เบิกบานเป็นพิเศษ เฮ้อ...





7  มิถุนายน 2564

ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

เชสเตอร์เมืองแห่งความทรงจำ

                                   ผมกับภรรยาก้าวลงจากรถโค้ชเมื่อรถแล่นมาจอดที่หน้าร้านอาหารในเมืองเชสเตอร์ประเทศอังกฤษ สภาพอากาศข้างนอกตัวรถเย็นจนผมรู้สึกหนาวแต่ก็เป็นอากาศที่ทำให้เราทั้งสองมีความสุขกับวันที่สี่ในประเทศอังกฤษที่เราเดินทางมาเที่ยวกับคณะทัวร์ของคุณบี แหลมสิงห์ หลังจากลูกทัวร์ลงมาจากรถหมดทุกคนแล้วก็รับฟังการนัดหมายก่อนที่จะทานข้าวกลางวันกัน  เดี๋ยวทุกท่านเข้าไปซื้อของในร้านลิเวอร์พูลที่อยู่เลยไปทางด้านขวามือตรงโน้นนะครับ   ผมให้เวลาทุกท่านซื้อของและเดินเที่ยวถึงบ่ายโมง  แล้วเรามาทานอาหารกันที่ร้านนี้กันเวลาบ่ายโมงครึ่ง ร้านนี้เป็นอาหารพื้นเมืองของอังกฤษ ฟิชแอนด์ชิพ  เสียงเจื้อยแจ้วจากชายร่างสูงสมาร์ทใส่แว่นที่เป็นหัวหน้าทัวร์พร้อมรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีทำให้ผมนึกขำได้ทุกที จาก DJ  ฟุตบอลที่เคยได้ยินแต่เสียงทางคลื่นวิทยุ FM99  วันนี้มาเป็นหัวหน้าทัวร์เที่ยวเมืองลิเวอร์พูลที่ผมและภรรยาได้มีโอกาสเดินตามความฝันในการมาเที่ยวยังดินแดนห่างไกลอย่างประเทศอังกฤษ

                            ผมพาภรรยาเดินรับบรรยากาศในเมืองเชสเตอร์ที่เมฆเริ่มก่อตัวด้านบน ฝนเริ่มปรอยลงมาและก่อนที่เราจะเจอฝนหนักไปกว่านั้นผมกับภรรยาและคณะลูกทัวร์คนอื่น ๆ ก็เดินเข้าไปในร้านขายของที่ระลึกของทีมลิเวอร์พูล มันเหมือนกับเราสองคนหลุดไปอีกโลกหนึ่ง ภายในร้านขายสินค้าเป็นร้านขนาดเล็กจัดแถวไว้สำหรับวางสินค้าให้ลูกค้าเดินไว้สองช่องทางซึ่งจะมีสินค้าอย่างเสื้อผ้าและของที่ระลึกเล็ก ๆ น่ารักแขวนไว้ให้ลูกค้าเลือกซื้อ ผมเดินสำรวจสินค้าภายในร้านอย่างตื่นตาตื่นใจ ถึงร้านนี้จะมีขนาดเล็กกว่าร้านขายสินค้าที่ตั้งอยู่ข้างสนามแอนฟิลด์ที่เราไปเยือนกันมาเมื่อวานนี้ แต่ร้านนี้ก็ให้บรรยากาศที่อบอุ่นเหมาะกับเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เป็นอย่างมาก สินค้าชิ้นแรกที่ผมตั้งใจซื้อคือเสื้อทีมเยือนสีดำของลิเวอร์พูลที่เมื่อวานยังลังเลเลยได้เฉพาะเสื้อสีแดงมาตัวเดียว จากนั้นก็เดินดูสินค้าอื่น ๆ ภายในร้านและเลือกสินค้าอื่น ๆ ที่ถูกใจจนเรียบร้อย จากนั้นจึงนำเสื้อทีมเยือนไปให้ทางร้านติดเบอร์เสื้อซึ่งแน่นอนว่ามาถึงเมืองเชสเตอร์แล้วชื่อและเบอร์ของนักฟุตบอลที่ผมติดที่จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก  Ian Rush นักเตะกองหน้าหมายเลข 9 ซึ่งเป็นขวัญใจผมตั้งแต่ผมเริ่มเป็นกองเชียร์ The KOP  หลังจากแจ้งความประสงค์กับพนักงานขายและชำระเงินค่าสินค้าเรียบร้อยแล้ว ภรรยาผมก็เดินมาหาผมพร้อมเสื้อเชิ้ตที่เธอเห็นแล้วถูกใจซึ่งราคาก็ไม่สูงมาก ผมเลยบอกให้เธอซื้อโดยไม่ต้องลังเลเพราะมากันไกลมากและไม่มีโอกาสที่จะซื้อสินค้านี้อีก ระหว่างที่ผมรอให้จนท.ร้านติดเบอร์เสื้อและชื่อนักเตะ ผมก็เดินดูสินค้าที่สนใจอื่น ๆ จนภรรยาได้สินค้าครบถ้วนและไปชำระเงิน ผมเลยเดินไปดูสินค้าที่ภรรยาเลือกซื้อและถามขึ้นว่าทำไมไม่ซื้อเสื้อทีมเยือนสีขาวเพราะเธอถามผมตั้งแต่เมื่อวานแต่สินค้าที่ร้านขายของที่สนามแอนฟิลด์ไม่มี เธอก็ให้เหตุผลว่าซื้อสินค้ามามากแล้วเลยตัดสินใจไม่ซื้อเพิ่มผมก็ไม่ได้ว่าอะไรและรอให้ภรรยาชำระเงินให้เรียบร้อยและรอรับสินค้าทีติดเบอร์เสื้อและชื่อนักเตะ จากนั้นเราจึงเดินดูสินค้าภายในร้านต่อไปทั้ง ๆ  ที่ร้านก็ไม่ใหญ่ แต่เราก็เดินดูสินค้าราวกับว่าของที่ระลึกทั้งโลกของลิเวอร์พูลมารวมกันอยู่ในร้านนี้

                           เราใช้เวลาในร้านกันอยู่เกือบสองชั่วโมงแต่ก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อใกล้เวลานัดหมายเราก็เดินออกจากร้านขายสินค้าลิเวอร์พูลเพื่อกลับไปยังร้านอาหารที่คุณบีได้แจ้งไว้ แต่ก่อนจะเดินพ้นหน้าร้านผมหันไปเห็นวิวของเมืองที่เรายังไม่ได้ชื่นชม ทั้งหอนาฬิกาบอกเวลาที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหลังจึงชวนภรรยาถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก ผมถ่ายรูปให้ครับพี่เสียงน้องต้นเพื่อร่วมกลุ่มทัวร์ยิ้มอย่างใจดีและบอกให้เราสองสามีภรรยายืนจรงจุดกลางทางเดินซึ่งด้านหลังเป็นหอนาฬิกา น้องต้นถ่ายภาพให้เรียบร้อยแล้วกลุ่มพวกเราก็เดินกลับไปยังร้านอาหารต่อไปในขณะที่สายฝนที่เราทั่งคู่เจอก่อนเดินเข้าร้านขายสินค้าก็ยังโปรยปรายแบบละอองและหยุดในที่สุดซึ่งช่วยตอกย้ำความเป็นอากาศแบบอังกฤษได้เป็นอย่างดี




                            ภายในร้านอาหาร เราเข้าไปนั่งรออาหารที่โต๊ะซึ่งกรุ๊ปทัวร์ได้จองกับทางร้านไว้แล้ว เมื่ออาหารมาเสิร์ฟผมก็นั่งมองพิจารณา ฟิชแอนด์ชิพเป็นแบบนี้เองอาหารที่เสิร์ฟเป็นปลาทอดที่มาพร้อมเฟรนช์ฟรายส์และปีกไก่ทอดโดยมีของหวานเป็นบราวนี่ที่มีไอศครีมรสวนิลาวางมาด้วย 1 ก้อน ทุกคนรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยและถ่ายรูปอาหาร ถ่ายรูปเซลฟี่ในร้านอย่างสนุกสนานและเมื่ออาหารจานสุดท้ายหมดลงก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเดินทางต่อไปยัง Outlet ขายสินค้าในเมืองถัดไป ผมกับภรรยาและลูกทัวร์คนอื่น ๆ ทยอยเดินออกไปรอรถโค้ชบริเวณที่ถัดเลยจากร้านไป ก่อนที่รถจะมารับกลุ่มทัวร์เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกบริเวณที่เรารอรถ เมืองเชสเตอร์เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ผมได้ยินชื่อมาตั้งแต่เป็นเด็กเพราะ Ian Rush มาเริ่มอาชีพนักฟุตบอลครั้งแรกที่สโมสรเชสเตอร์ในเมืองนี้ วันนี้ได้มีโอกาสมาเยือนและใช้เวลาช่วงสั้น ๆ เพียงครึ่งวันแต่ก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดและเกิดเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจ ก่อนที่รถโค้ชจะเคลื่อนตัวออกไปจากเมืองผมหันไปมองตึกรามบ้านช่องเป็นครั้งสุดท้ายพลางนึกในใจว่าผมจะพาภรรยากลับมาเยือนเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อีกครั้งหนึ่งแน่นอน

 



5 กรกฎาคม 2564

ต้นจำปูนหลังบ้าน

 

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ถีงวันหนึ่งผมก็ต้องจากโลกใบนี้ไป

มองภาพถ่ายใบเก่าด้วยความรู้สึกคิดถึงคนในภาพ คุณทวดที่ผมได้มีโอกาสอาบน้ำให้ในวันสงกรานต์และมีอายุยืนถึง 100 ปีจนจากไปในปี 2526 ยืนถ่ายภาพคู่กับลูกสาวสองคน คนหนึ่งเป็นคุณแม่ของพ่อผมหรือคุณย่าผม ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นน้องสาวของคุณย่า คุณปู่ที่มีสถานะเป็นลูกเขยของคุณทวดยืนข้างคุณย่า ส่วนคนที่เหลือทั้งหมดเป็นรุ่นหลานของคุณทวดแต่เป็นลูกของคุณย่าทั้งสองคน วัดชากลูกหญ้าที่เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของคนในตระกูลคุณทวดทำให้ผมยิ้มภูมิใจทุกครั้งที่เดินเข้ามาบริเวณวัดและรู้สึกชื่นชมคุณทวด คุณปู่ คุณย่าที่ได้เสียสละที่ดินและแรงกายในการสร้างวัดให้เกิดขึ้นมา คุณทวดมุ่งมั่นและศรัทธาในพระพุทธศาสนามากจนถ่ายทอดมาถึงลูกและหลานและมันคงส่งผลมาถึงผมที่เป็นรุ่นเหลน สิ่งที่เป็นเสมือนตัวแทนคุณทวด คุณปู่ คุณย่าเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้ผมระลึกอยู่เสมอว่าถ้าจะทำอะไรก็ขอให้นึกถึงสิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นความภูมิใจของตระกูลที่ร่วมกันสร้างขึ้นมา อย่าทำตัวเหลวไหลจนคนทั่วไปตราหน้าว่าเป็นลูกหลานของทวดและปู่ย่าที่ทำตัวไม่ได้เรื่อง ไม่สมกับที่ได้เกิดมาในตระกูลนึ้

สมัยนั้นคุณพ่อผมแต่งงานแล้วและมีลูกชายคือพี่ชายผมส่วนผมยังไม่เกิด ส่วนอาโต๊งและอาฟุ้งยังเป็นหนุ่มน้อยลูกหลานคุณย่าที่ยังไม่มีครอบครัว ถึงวันนี้ทั้งสามคนจากไปแล้วในเวลาไม่ถึงปีนับจากวันที่พ่อผมจากไป เหลือไว้เพียงความทรงจำในภาพถ่ายและสิ่งดีๆ ที่สร้างไว้คือโบสถ์ด้านหลังของทุกคน ถึงวันหนึ่งผมก็ต้องจากไปเช่นเดียวกับคุณพ่อและการได้เห็นภาพถ่ายใบนี้ก็ช่วยตอกย้ำให้ตระหนักอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าจะทำอะไรก็ให้รีบทำ เวลาบนโลกมันผ่านไปเร็วมาก มากเสียจนวันหนึ่งเราตื่นขึ้นมาแล้วกลายเป็นคนแก่ที่ไม่มีประโยชน์ต่อสังคมนี้อีกต่อไป หรืออาจจะไม่มีโอกาสตื่นขึ้นมาอีกก็ได้



1 กรกฎาคม 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2564

นกน้อยตัวนั้น

                                        ระหว่างนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน มีเสียงเหมือนมีคนเคาะกระจกหน้าต่างใกล้ๆ กับโต๊ะที่ผมนั่งทำงาน เสียงดัง ก๊อกๆๆๆๆๆ รัวถี่จนทำให้ผมต้องละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าเพื่อหันไปมองที่มาของเสียงแล้วก็เห็นนกตัวหนึ่งมองมาที่ผมและใช้ปากเล็กๆ จิกกระจกอีกครั้งแบบรัวๆ ผมมองสบตานกแต่ก็ไม่รู้ว่าเค้าต้องการอะไร สักพักนกตัวนั้นก็บินโผไปเกาะกิ่งมะกรูดและมองมาที่ผมอีกครั้งก่อนจะบินจากไป 



                                       ผ่านไปอีกเกือบชั่วโมง นกตัวเดิมก็บินมาทำกริยาเดิมอีกครั้ง ทั้งการเอาปากจิกกระจกให้เกิดเสียงดังเหมือนจะส่งสัญญาณบางอย่าง มองสบตาผมแล้วก็บินโผไปเกาะกิ่งมะกรูดอีกครั้ง ผมเอะใจขึ้นมาเพราะไม่เคยมีนกมาทำแบบนี้มาก่อน นกต้องการอะไร? ทันใดนั้นผมก็นึกออกว่าวันนี้ยังไม่ได้รดน้ำต้นไม้หลังบ้านโดยเฉพาะต้นลำพูและต้นโกงกางที่ผมปลูกไว้ในกระถางใกล้ๆ กับที่นกบินมาจิกกระจก หรือน้ำในกระถางจะแห้งจนนกไม่มีน้ำกิน? ผมรีบเดินออกไปดูที่กระถางต้นไม้ทั้งสองต้นแล้วก็เป็นดังคาด น้ำในกระถางแห้งจนไม่มีน้ำขังอยู่เลย ผมรีบเอาสายยางมาเปิดน้ำใส่ต้นไม้ทั้งสองต้นให้เต็มจนล้นกระถางเผื่อนกตัวดังกล่าวหิวน้ำจะได้บินมากิน เมื่อใส่น้ำเรียบร้อยแล้วก็กลับมานั่งทำงานต่อไป ผมพยายามมองหานกตัวดังกล่าวตลอดทั้งวันแต่นกก็ไม่มาอีก อาจจะเพราะนกได้น้ำตามต้องการแล้วจึงไม่บินมากวนผม

24 มิถุนายน 2564

ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2564

หมอทำขวัญที่ชื่อว่าคุณไวพจน์ เพชรสุพรรณ

วันที่ 21 มิถุนายนของแต่ละปีจะมีการนำมุกไวพจน์ลาบวชมาเล่นกันในหมู่คนไทยที่ร้อนผ่านหนาวมาค่อนชีวิตแทบทุกครั้ง ที่มาของมุกดังกล่าวก็มาจากเพลง “ไวพจน์ลาบวช” ที่ผมคุ้นหูมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งย่างเข้าสู่วัยหนุ่มใหญ่ (ใครเรียกผมว่าลุงมีโกรธนะตอนนี้) ผมพยายามหาว่าเพลงนี้มีการอัดเสียงปีไหนแต่ก็จนใจจริง ๆ อาจจะเพราะสมัยก่อนเราไม่ค่อยมีการบันทึกอะไรกันเป็นทางการแบบฝรั่งมังค่ามันเลยทำให้เรื่องราวหลาย ๆ อย่างกลายเป็นเรื่องเล่าขานที่ถูกกาลเวลากลืนกินและยังหาที่มาที่ไปได้อย่างยากลำบาก วันที่ 21 มิถุนายนของแต่ละปีจะมีการนำมุกไวพจน์ลาบวชมาเล่นกันในหมู่คนไทยที่ผ่าน

สำหรับคุณอาไวพจน์ผมมีโอกาสเจอท่านเมื่อครั้งที่คุณอาน้องชายของคุณพ่อได้ว่าจ้างคุณไวพจน์มาทำขวัญนาคให้กับลูกชาย ส่วนจะเป็นปีไหนผมก็จำแทบจะไม่ได้แล้ว ซึ่งหากคำนวณจากอายุของลูกคุณอาก็น่าจะเป็นประมาณปี 2547 – 2548 ในงานบวชน้องชายผมอีกคนที่ชื่อหรั่งเป็นช่างภาพซึ่งในสมัยนั้นการถ่ายรูปยังใช้กล้อง SLR ที่ใช้ฟิล์มขนาด 35 มิลลิเมตร และแน่นนอนฟิล์มสีต้อง Kodak เท่านั้น

ภายในงานบวชวันสุกดิบที่มีการทำขวัญนาค ผมเดินไปเดินมาโดยไม่ค่อยได้ช่วยอะไรมากนักเนื่องจากทางเจ้าภาพมีญาติพี่น้องทั้งฝั่งพ่อและฝั่งแม่มาช่วยงานกันอย่างมากมายอยู่แล้ว ผมเลยได้โอกาสดูลีลาการทำขวัญนาคของคุณอาไวพจน์อย่างเต็มอิ่ม ซึ่งเมื่อเสร็จจากการทำขวัญนาคในช่วงบ่ายแล้วทุกคนต่างทะยอยออกมาจากบ้านงานและกำลังเตรียมตัวเดินทางกลับบ้านเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัวและมางานกินเลี้ยงในช่วงเย็น ซึ่งในขณะนั้นเองคุณอาไวพจน์ได้เดินออกมาทางที่ผมและน้องหรั่งยืนคุยกันอยู่พอดี น้องหรั่งช่างภาพรูปหล่อก็บอกกับผมเชิงตลกว่า “พี่หน่อง นั่นคุณอาไวพจน์ศิลปินแห่งชาตินะคร้าบ เราจะไม่เก็บรูปท่านไว้หน่อยหรือ” ผมได้ฟังเจ้าน้องชายพูดก็พอดีมองไปเห็นแม่ที่กำลังเดินออกมาจากบ้านงาน ไวเท่าความคิดผมไปจูงมือแม่มาใกล้ ๆ และเข้าไปขออนุญาตคุณอาไวพจน์เพื่อให้น้องหรั่งถ่ายรูปคุณแม่คู่กับคุณอาไว้เป็นที่ระลึก เมื่อถ่ายรูปเสร็จคนอื่น ๆ ที่เห็นต่างก็มาขอถ่ายรูปคู่กับคุณอาไวพจน์กันใหญ่ทำให้ผมหมดโอกาสที่จะมีรูปคู่กับคุณอาแต่น้องหรั่งก็ไม่ได้ถ่ายรูปมากนักอาจจะเป็นเพราะแขกที่มาในงานที่ตอนแรกตั้งใจจะถ่ายรูปคู่กับคุณอาไวพจน์ต่างก็เกรงใจคุณอาและเกรงใจเจ้าของงานเพราะรูปถ่ายแต่ละรูปก็ต้องใช้ฟิล์มซึ่งถือว่าเป็นของที่มีราคาในสมัยนั้น

หลังวันงานผมกำชับให้น้องสาวนำฟิล์มไปอัดรูปคุณแม่ที่ถ่ายคู่กับคุณอาไวพจน์และนำมาใส่กรอบแขวนโชว์ไว้ที่บ้านพ่อ ซึ่งเมื่อผมกลับบ้านที่ระยองครั้งใดพอเหลือบไปเห็นรูปดังกล่าว เสียงน้องหรั่งจะลอยมาเข้าโสตประสาททุกครั้งว่า “พี่หน่อง ท่านคือศิลปินแห่งชาตินะครับ” นึกแล้วก็ขำตัวเองในวันนั้นทุกทีถึงแม้เวลาจะผ่านไปนับสิบปีแล้วก็ตาม

 



คุณอาไวพจน์ เพชรสุพรรณได้รับการประกาศให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักร้องเพลงลูกทุ่ง) ในปี พ.ศ. 2540

 

21 มิถุนายน 2564 

ต้นจำปูนหลังบ้าน

 

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2564

คนไทยทุกคนมีหน้าที่รับ Vaccine ป้องกัน COVID-19

                                 แม่ผมเป็นแม่ค้าที่นำไปของไปขายที่ตลาดนัดแถวบ้านและน่าจะเป็นคนไม่กี่คนที่ได้รับการฉีด Vaccine ป้องกัน COVID-19 เข็มที่ 1 เรียบร้อยแล้ว ผมสอบถามแม่ถึงคนอื่น ๆ ที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าในตลาดนัดเหมือนกันว่ามีใครไปฉีดวัคซีนมาบ้างหรือยัง คำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้รับรู้ถึงวิธีคิดของคนในชนบทที่ไม่ได้ห่างไกลกรุงเทพฯ ได้ดีมากยิ่งขึ้นและรวมไปถึงการรับข่าวสารที่ผิดพลาดมากมาย บางคนว่าไม่ฉีดเพราะบอกว่า เห็นเขาว่ากันว่าฉีดแล้วมีคนเสียชีวิตมากซึ่งไม่เป็นความจริง แต่คนเหล่านั้นไม่เคยรู้เลยว่าคนที่ตายเพราะไม่ฉีดวัคซีนวันละหลายสิบคนทั้งๆ ที่ข่าวออกทุกวัน บางคนว่าไม่ฉีดหรอกแต่รอให้คนอื่น ๆ ฉีดก่อนตนเองคงไม่เป็นอะไร บางคนไม่ฉีดเพราะอ้างว่าไม่มีเวลา เมื่อคุยกันจนแล้วเสร็จ พ่อค้าแม่ค้าเหล่านั้นก็บ่นว่าตั้งแต่ COVID-19 ระบาดคนไม่ออกมาซื้อของเพราะกลัว เมื่อไหร่โรคนี้มันจะหายไปจากประเทศไทยเสียที ผมนึกไปถึงคนเห็นแก่ตัวและโง่เขลาที่มักจะมองอะไร ๆ แบบเห็นแก่ตัวเสมอ รวมถึงไม่เคยเสียสละอะไรเลยแม้แต่การฉีด Vaccine เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่โดยเร็วที่สุดซึ่งสุดท้ายมันก็ส่งผลดีต่ออาชีพของเขานั่นแหละ




20 มิถุนายน 2564

ต้นจำปูนหลังบ้าน


วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ก่อนนอนคืนนี้

                               ผมเคยไปงานแต่งงานของชาวคริสต์ที่โบสถ์คริสต์ จ. พิษณุโลก สมัยที่ผมเข้าทำงานใหม่ๆ ในปี 2537 คำสอนหนึ่งที่คู่บ่าวสาวได้รับการสอนจากผู้ที่มาทำพิธีในงานก็คือ ก่อนที่ทั้งคู่จะนอนหลับในแต่ละคืน ขอให้ทั้งคู่นอนหลับไปด้วยความสุขและความสบายใจของทั้ง 2 คน อย่าปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งลำบากใจหรือมีเรื่องค้างคาใจ เกือบ 10 ปีที่ผมแต่งงาน อาจจะไม่ทุกคืนที่ผมนอนหลับไปโดยที่เราทั้งสองคนสบายใจ แต่ก็น้อยครั้งมากที่ยังมีเรื่องยังค้างคาใจ ระยะหลังพยายามปรับความคิดพูดคุยและนอนหลับไปด้วยกัน อายุมากขึ้น เพื่อนรอบข้างเริ่มหายหน้า ไป ถ้าอยู่กันแค่สองคนแล้วคนข้างๆ ยังไม่มีความสุขเราจะผ่านแต่ละคืนไปได้อย่างไร




19 มิถุนายน 2564

ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ล๊อตเตอรี่ที่รัก

22:30 น. คุณแม่โทรมาหาผมด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนดีใจที่ได้คุยกับผมมากผิดปกติ เหมือนแม่จะมีเรื่องดีๆ ที่อยากเล่าให้ผมฟัง พอผมสอบถามสารทุกข์สุขดิบกันตามประสาแม่ลูกเรียบร้อยแล้วแม่ก็เข้าเรื่องโดยทันที แม่เล่าว่าแม่ถูกล๊อตเตอรี่เลขหน้า 3 ตัวซึ่งเป็นล๊อตเตอรี่ที่ผมให้น้องสาวซื้อให้แม่เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว และที่ผมต้องขวนขวายไหว้วานให้น้องสาวซื้อให้แม่เพราะผมฝันไปว่าผมขับรถยนต์ประจำตัวของผมพาแม่ไปเที่ยวแล้วไปจอดรถไว้ที่แห่งหนึ่งที่เป็นที่พัก จากนั้นในฝันรถยนต์ของผมได้หายไป ผมสอบถามแม่ในฝันแม่ก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนเหมือนกันจนผมตกใจตื่นแล้วก็รู้ว่าแค่ฝันไป ผมไม่เคยฝันว่าไปเที่ยวกับคุณแม่มาก่อนเลยคิดว่าแม่น่าจะมีโชคจึงส่ง Line ไปบอกน้องสาวให้จัดการเป็นธุระจัดหาล๊อตเตอรี่ให้แม่ตามเลขทะเบียนรถ น้องสาวซื้อล๊อตเตอรี่ให้แม่ 1 คู่และบอกให้แม่ซื้อเองตามเลขที่ผมบอกด้วย สุดท้ายคุณแม่ถูกล๊อตเตอรี่ที่ได้ซื้อเองจริงๆ 2 ใบ



สำหรับเงินรางวัลที่ได้อาจจะไม่มากนักแต่สิ่งที่น่าชื่นใจคือผมได้ยินเสียงที่ร่าเริงสดใสของแม่ผ่านมาทางเสียงโทรศัพท์ แม่บอกว่าไม่ถูกหวยมานานมากคราวนี้ถูกเสียที เสียงของแม่ดีใจมากจริงๆ โดยส่วนตัวผมเคยเปรยๆ กับภรรยาว่าหลังจากพ่อผมจากไปผมจะซื้อล๊อคเตอรี่ให้แม่ในแต่ละเดือนเพราะอยากเห็นแม่มีความหวังและเฝ้ารอว่าจะถูกล๊อตเตอรี่ซึ่งจะทำให้แม่มีกำลังใจมีพลังชีวิตที่จะอยู่กับลูกๆ ต่อไปนานๆ แต่ก็ไม่ได้มอมเมาอะไรเพราะทุกครั้งจะบอกกับแม่เสมอว่าถ้ามันจะถูกเดี๋ยวก็ถูก เอาแค่เรามีความสุขกับมันบ้างแต่อย่าไปลุ่มหลงกับมันก็พอแล้ว







1 มิถุนายน 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

คนทำงานเบื้องหลังที่สำคัญ

ทีม Manchester United ได้รับรางวัลการดูแลสนามได้อย่างยอดเยี่ยมมากที่สุดในบรรดา 20 ทีมของพรีเมียร์ลีกอังกฤษประจำฤดูกาล 2020-21 โดยฤดูกาลล่าสุดก่อนหน้าที่ได้รับรางวัลนี้คือฤดูกาล 2018-19

จากการที่ได้มีโอกาสไปเดินชมสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดในปี 2019 ต้องยอมรับว่าทีม United จัดการสนามได้ดีมากจริงๆ หญ้าเนียนสวยและน่าลงไปเล่นฟุตบอลมาก โดยส่วนตัวผมไม่ชอบคนที่เอาเรื่องนี้มาล้อกันอย่างสนุกสนานเลยนะเพราะคนที่เขาทำงานเบื้องหลังเขาก็มีอาชีพที่สุจริต ตั้งใจทุ่มเทให้กับงานที่เขารับผิดชอบจนสามารถชนะใจผู้ที่ให้คะแนนได้ สิ่งที่ควรทำคือยกย่องชมเชยอย่างจริงใจต่างหากไม่ใช่เอาไปล้อกันแบบที่เห็นกันในโซเชียล
ในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาสนามที่ได้รับรางวัลจะวนเวียนอยู่กับ Arsenal และ Aston Villa มีบางปีทีม Watford ก็เคยได้รางวัลซึ่งหากไม่ตกชั้นลงไปในฤดูกาล 2019-20 ปีนี้ Watford ก็อาจจะเป็นคู่แข่งสำคัญของ Manchester United อีกทีมหนึ่งก็เป็นได้ ซึ่งผมอยากให้สนาม Anfield ได้รับรางวัลนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ก็น่าจะยากสักหน่อยเพราะทีมที่กล่าวมาข้างต้นต่างก็มีการใส่ใจดูแลสนามที่ดีมากๆ และมีรางวัลการันตีความยอดเยี่ยมในการดูแลตลอดหลายปีหลังที่ผ่านมา



หากมองย้อนกลับไปเกือบ 40 ปีก่อนที่ฟุตบอลอังกฤษถูกถ่ายทอดมายังประเทศไทย สนามฟุตบอลในปัจจุบันมีการดูแลบำรุงรักษาและจัดการได้ดีขึ้นกว่าในอดีตมาก ผมไม่เห็นภาพสนามปกคลุมด้วยหิมะและต้องใช้ลูกฟุตบอลสีแดงเพื่อให้นักเตะเห็นบอลกันอย่างชัดเจนเวลาเล่นมานานมากแล้ว


29 พฤษภาคม 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

เราเลือกการปฏิบัติได้

หากคุณเชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรมสิ่งที่คุณควรทำก็คือการคิดดี พูดดีและทำดีซึ่งท้ายที่สุดแล้วสิ่งเหล่านี้แหละที่จะคุ้มครองตัวเราอยู่เสมอ ทุกวันนี้เสียงสะท้อนความคิดของแต่ละคนจะถูกส่งผ่านและเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียมากขึ้นทุกทีทั้งความคิดที่ดี ความคิดที่แย่จนไปถึงความคิดที่ชั่วช้าจนคิดไม่ถึงว่านี่คือความคิดของมนุษย์ที่กล้าคิดและแสดงออกให้คนอื่นรับรู้โดยไม่มีความละอายหนำซ้ำยังแสดงท่าทีภูมิอกภูมิใจเสียด้วยซ้ำ

ครั้งหนึ่งผมเคยมีความคิดว่าถ้าเรารู้ความคิดคนอื่นหรือสามารถอ่านใจคนได้ก็คงจะดีเพราะจะได้ลดการสื่อสารด้วยการพูดและสามารถรู้ใจคนที่เราสนใจได้แต่ถึงวันนี้เราคงไม่จำเป็นต้องมีความสามารถพิเศษขนาดนั้นเราก็สามารถรู้ความคิดคนอื่นได้จากการที่คนเหล่านั้นแสดงออกมาผ่านเครื่องมืออย่าง Facebook , twitter หรือเครื่องมือสื่อสารบนโซเชียลมีเดียอื่น ๆ แต่ผลของการรับรู้ความคิดคนอื่นผ่านสื่อเหล่านี้มันหนักหน่วงรุนแรงกว่าที่เคยคิดไว้มาก คนที่มีการศึกษาดีมีสถานะทางสังคมที่ดีพอถึงวันหนึ่งที่ได้ส่งผ่านความคิดออกมามันก็ไม่ต่างจากสัตว์ที่มุ่งหาแต่ความต้องการพื้นฐานของตัวเองและมุ่งแต่จะเสพในสิ่งที่ตัวเองชอบโดยไม่สนใจจริยธรรมจรรยาบรรณที่เป็นเครื่องแบ่งแยกคนให้แตกต่างจากสัตว์เหล่านั้นแต่อย่างใด
วันวิสาขบูชาที่เป็นวันประสูติ วันตรัสรู้และวันเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นหากจะมีสิ่งไหนที่อยากจะทำก็คงต้องมองย้อนกลับไปหาจุดเริ่มต้นนั่นก็คือการคิดดี พูดดีและทำดีโดยไม่ต้องไปสนใจกับเสียงรอบข้างที่มีทั้งบวกและลบเพราะท้ายที่สุดแล้วคนที่ได้รับผลจากการกระทำเหล่านั้นก็คือตัวเราเอง ถ้าเราคิดดีพูดดีและทำดีมากพอใครคงไม่มีอะไรมาฉุดให้เราไปในทิศทางที่เลวได้ยกเว้นเสียแต่ว่าสิ่งเหล่านั้นเราจะแกล้งทำมันออกมาและคิดว่ามันจะตบตาคนอื่นได้ตลอดไป

26 พฤษภาคม 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ตรรกะวิธีคิดของคนบางจำพวกมีปัญหา

หากคุณมีเพื่อนหรือมีผู้นำกลุ่มมาบอกคุณว่าไม่ควรไปรับวัคซีน ซึ่งจะเพราะอะไรก็แล้วแต่ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ทั่วโลกสถานการณ์ของ COVID-19 กำลังวิกฤติหนัก มีคนติดเชื้อและคนตายที่มีการรายงานกันรายวันและมีผลทำให้ระบบเศรษฐกิจพังพาบไปทั้งโลก คนตกงาน คนเสียธุรกิจที่ทำมานาน สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ทุกคนควรจะให้ความสำคัญและทางรอดเดียวในตอนนี้คือการรับวัคซีนโดยเร็วที่สุด คุณว่าคนพวกนี้เป็นคนสันดานแบบไหน ผมเบื่อกับคำว่าวาทกรรม โดยเฉพาะวาทกรรมจากคนโง่ คนโง่ที่อ่านข้อมูลขาดๆ เกินๆ ในโซเชียลมีเดียแล้วคัดลอกข้อความด้วย Ctrl+C และนำไปแปะด้วย Ctrl+V พร้อมทั้งปรับแต่งข้อความนิดหน่อยโดยไม่ได้ผ่านการวิเคราะห์ผ่านสมองและที่สำคัญคนเหล่านั้นขาดความปรารถนาดีต่อเพื่อนร่วมโลก มุ่งเน้นแต่การหาผลประโยชน์จากความโกลาหลของสถานการณ์ที่ในรอบ 100 ปีจะเกิดซักครั้ง แล้วสิ่งที่ได้ก็เป็นอย่างที่เห็น คนพวกนั้นมันเหมือนพวกหมาไนหรือฝูงแร้งที่คอยกินซากศพที่กองระเกะระกะเหลือจากการเป็นอาหารของสัตว์ล่าเนื้อเหมือนอดอยากมาทั้งชีวิต แทนที่มันจะทำตัวเป็นหน่วยเทศกิจระดมเก็บซากศพเพื่อนำไปฝังทำลายไม่ให้เกิดการแพร่กระจายจนเป็นภาพอุจาดตาหรือความเสี่ยงในโรคระบาดที่อาจจะติดกันมาหรือร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้เป็นในทางที่ถูกที่ควร และก็อย่างที่เห็นคนพวกนี้เป็นคนหน้าเดิม กลุ่มเดิม ๆ ที่ออกมาต่อต้านการรับวัคซีนตามที่รัฐบาลได้เชิญชวน ตลอดชีวิตที่ได้พูดคุยกับคนมากหน้าหลายตาสิ่งหนึ่งที่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้รับรู้คือ คนเราหากเงียบเราจะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร แต่พอพูดออกมาเราจะรู้จักเขาผ่านคำพูดและเจตนาที่ส่งผ่านออกมาพร้อมกัน การที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อให้คนไม่ยอมรับวัคซีนเขาทำมันไปเพื่ออะไร

หลังจากทางรัฐเปิดให้บริการฉีดวัคซีน COVID-19 ผมโทรศัพท์ไปสอบถามคุณแม่ว่าได้ดำเนินการหรือยังซึ่งคุณแม่บอกว่าให้ลูกสาวดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่รอวันนัดเข้ารับวัคซีนให้เรียบร้อย แม่ผมจบป. 2 ไม่ใช่หมอ ไม่ใช่ดารา ไม่ใช่นักร้องหรือดีเจที่สถานีไหน ๆ เป็นแค่ประชาชนคนธรรมดาคนหนึ่งที่รักสถาบันและประเทศชาติ แต่ผมว่าแม่ผมมีวิธีคิดและมีคุณธรรมตลอดจนมีความปรารถนาดีที่จะให้ประเทศไทยและโลกของเรามันยังดำรงอยู่และสวยงามมากกว่าคนในอาชีพที่ถือว่าอยู่แถวหน้าของประเทศไทยบางคนมากมายนักด้วยการทำสิ่งง่ายๆ แค่การไปรับวัคซีน


20 พฤษภาคม 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

คำถามที่ไม่มีคำตอบ

                                                หลังจากทำบุญครบ 100 วันในการจากไปของพ่อ ครอบครัวเราตัดสินใจเอาเถ้าอังคารและกระดูกที่เหลือจากการฌาปนกิจของพ่อที่เราเก็บรวบรวมไว้ในห่อผ้าไปลอยที่บริเวณเจดีย์กลางน้ำที่ตั้งอยู่ในบริเวณป่าโกงกางใกล้กับชายทะเลในตัวจังหวัด ผมเดินเข้าไปในห้องพ่อเพื่อหยิบห่อกระดูกหลังจากไม่ได้เข้าไปนาน สิ่งคุ้นตาหลาย ๆ อย่างวางอยู่ที่เดิม แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดในห้องคือภาพ 3 ภาพที่ตั้งอยู่บนเตียงที่พ่อเคยนอน สองภาพแรกเป็นภาพของคุณปู่คุณย่าที่เป็นพ่อและแม่ของคุณพ่อ ส่วนภาพสุดท้ายเป็นภาพพี่ชายผมที่จากไปด้วยอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์คว่ำเมื่อ 17 ปีก่อน ในบรรดาลูกทั้ง 4 คน พี่ชายเป็นคนที่หน้าตาน่ารัก นิสัยส่วนตัวก็ดีจนมีแต่คนรักใคร่ซึ่งแตกต่างจากผมที่หน้าตาไม่น่ารักแล้วยังพูดจาไม่น่าฟังและทำหน้าเคร่งขรึมอยู่เป็นนิจ สมัยยังเป็นวัยรุ่นผมเคยถามคำถามหนึ่งว่าในบรรดาลูกทั้ง 4 คนนั้นพ่อกับแม่รักใครมากที่สุด คำถามนี้ไม่เคยมีคำตอบออกมาจากปากพ่อแม้แต่ครั้งเดียวจนถึงวันที่พ่อจากไป ด้วยวัยที่โตขึ้นของผม การได้เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ได้รู้ได้เห็นสังคมรอบข้าง ได้คบเพื่อนแล้วก็เลิกรา ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มามากมายจนวันหนึ่งผมก็ได้คำตอบที่ผมเคยถามพ่อ คำตอบที่ได้มันไม่ใช่การตอบคำถามของผมเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่เป็นคำตอบที่เป็นคำถามในใจของตัวผมเองว่า “เราจะสนใจทำไมว่าพ่อกับแม่รักใครมากที่สุด ตัวเรารักพ่อกับแม่มากที่สุดแล้วหรือยัง?”




                                                ก่อนที่เถ้าอังคารและกระดูกของพ่อจะลอยหายไปในสายน้ำ ผมทำได้แค่ยิ้มขอบคุณพ่อที่ได้เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และมีโอกาสตอบแทนบุญคุณ ได้ดูแลท่านในช่วงหนึ่งของชีวิต พาท่านไปเที่ยวในที่ที่ท่านอยากไปโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่การลาจากเมื่อเวลามาถึงต่อให้เรากอดท่านไว้ให้แน่นแค่ไหนเราก็รั้งตัวท่านไว้ไม่ได้ สิ่งที่ทำให้ท่านได้ดีที่สุดคือทำในสิ่งที่ท่านรักคือดูแลคุณแม่และครอบครัวของพ่อที่เหลือให้ดีที่สุดก่อนที่ทุกคนจะต้องเดินทางแยกย้ายกันไปตามเส้นทางในวัฏสงสารแล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะมาพบกันอีก หากวันนี้ยังมีอวิชา ยังสงสัยในหลาย ๆ สิ่งที่เรายังหาคำตอบไม่ได้ แต่สิ่งที่เราไม่เคยสงสัยรวมถึงรับรู้ถึงความรักความเมตตาของพ่อกับแม่และสิ่งที่ดีงามอย่างการได้ดูแลพ่อแม่ของเรา พวกเราทำมันได้ดีที่สุดและเต็มที่ที่สุดในช่วงเวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดบนโลกใบนี้แล้วหรือยัง

 

18 พฤษภาคม 2564

ต้นจำปูนหลังบ้าน


วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Sc#15 ไปเที่ยวเขาใหญ่

                                          " ... บนถนนนหนทางซุปเปอร์ไฮย์เวย์ หนุ่มพเนจรมุ่งไปตามฝัน..." เสียงเพลงจากการขับร้องของต้อมเอกฟิสิกส์ดังมาจากกลางรถบัสขณะที่รถกำลังวิ่งขึ้นเนินในเส้นทางมุ่งสู่เขาใหญ่โดยมีกอล์ฟที่เล่นกีต้าร์ประกอบจังหวะ ส่วนอ๊อด หนุ่มหล่อท้อป 10 ประจำรุ่น 15 ของเราที่นั่งข้าง ๆ ก็คอยเคาะเบาะกำกับจังหวะไปด้วย พอถึงท่อนโซโล่ต้อมก็เป่าเมาท์ออแกนประกอบช่วยให้เพลงมีความสนุกสนานและทำให้บรรยากาศรอบข้างดีขึ้นไปอีก ส่วนผมเหลือบมองสมโภชน์ที่นั่งข้าง ๆ และพยายามร้องเพลงคลอไปกับเสียงของต้อม แต่ถ้าใครเคยฟังสมโภชน์ร้องเพลงก็จะรู้ว่านอกจากสมโภชน์จะพูดเสียงดังเวลาเราสนทนาเรื่องต่าง ๆ แล้ว เวลาสมโภชน์ร้องเพลงก็ยังร้องตกคีย์ ร้องคล่อมจังหวะ ผมเลยชวนสมโภชน์คุยเพื่อให้หยุดร้องเพลงแต่สมโภชน์ก็ยังไม่รู้ตัว จนผมต้องบอกมันว่า "สมโภชน์ …มาเที่ยวกับพวกเราด้วยหรือเปล่า" ผมเอ่ยชื่อเพื่อนหญิงร่วมคณะวิทยาศาสตร์ที่สมโภชน์มีความรู้สึกชอบพอออกมาให้สมโภชน์ได้ยิน ไม่เกินจากที่คิด สมโภชน์ทำหน้าระรื่นตอบผมมาโดยเร็วว่า "แน่ะ มณเฑียร อย่ามาแซวนะ เรามอง ๆ เค้าอยู่นะ มณเฑียร" นั่นแหละผมถึงสามารถหยุดเสียงร้องบาดยอดหญ้าคายามเช้าของเพื่อนสนิทของผมคนนี้ได้แล้วก็เลยชวนสมโภชน์คุยเรื่องอื่น ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่วายที่สมโภชน์จะหยุดคุยและหันไปร้องเพลงต่อจนผมต้องปล่อยให้เลยตามเลยและทนฟังเสียงสมโภชน์ต่อไประหว่างเดินทาง

                                             ความจริงผมก็จำไม่ได้หรอกว่า อะไรทำให้พวกเรา Quarter Science ตัดสินใจยกขโยงมาเที่ยวที่เขาใหญ่กันในครั้งนี้ ต้นเรื่องมันคงมาจากที่พวกเราคงจะเครียดกันมากขึ้นแล้วพวกเราก็เริ่มเรียนแยกสาขากันแล้วมันทำให้ความรู้สึกที่อยู่ในมหาวิทยาลัยแตกต่างไปจากการเรียนในชั้นปีที่ 1 เพราะต่างคนต่างเริ่มเรียนไม่ตรงกัน เวลาว่างไม่ตรงกัน และเพื่อนบางคนก็ย้ายไปเรียนที่ใหม่ (ว่าน,หมู,อั๋น,เกี้ย,โต้ง,เต้าเจี้ยว,เค,เจน,หนุ่ย,เม็ด ฯลฯ) แต่อย่างไรก็แล้วแต่ กิจกรรมนี้ก็เกิดขึ้นจนได้ ผมงี้ดีใจสุด ๆ เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยไปเที่ยวเขาใหญ่เลย

                                             พอนั่งรถไปอีกสักพัก เสียงเพลงจากต้อมก็เริ่มเงียบ ผมเลยสบายหูจากเสียงสมโภชน์ซะที นึกว่ามันจะแหกปากร้องต่อไปจนถึงที่พักซะแล้ว การที่ต้อมหยุดร้องเพลงอาจจะเพราะใกล้ถึงแล้ว เพื่อน ๆ ในรถคนอื่น ๆ ก็คุยกันไป เอวาริชเฮฮามาก ไม่รู้ดูดกัญชามาหรือเปล่า ก้อยกับต้องก็ไปด้วย (ไม่รู้ว่าทั้งคู่ไปเป็นคนรู้ใจกันเพราะไปเที่ยวเขาใหญ่ครั้งนี้หรือเปล่า) ที่แรกที่เราไปก็คือผากล้วยไม้จากนั้นก็ไปที่น้ำตกเหวสุวัติ คืนนั้นพวกเราก็ค้างกันที่ผากล้วยไม้ เมื่อทุกคนจัดการกับภารกิจส่วนตัวในช่วงหัวค่ำเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลากลางคืนพวกเราร่วมกันร้องเพลงรอบกองไฟ งานนี้เราได้นักกีต้าร์มือโปรคือ โก้เอกสถิติออกมาร่ายมนต์เล่นกีตาร์ให้เราฟัง สำหรับเพลงที่โก้เล่นขอให้พวกเราบอกโก้เถอะว่าเป็นเพลงอะไรโก้จะสามารถหาคอร์ดของเพลงและเล่นได้ทุกเพลงจริง ๆ ซึ่งเนื่องจากพวกเรามากันหลายคน ในการร้องเพลงรอบกองไฟจึงแบ่งเป็นสองวง นอกจากวงของผมที่มีผม สมโภชน์ อนันต์ ต้อง โก้และคนอื่น ๆ แล้ว อีกวงจะเป็นกอล์ฟที่เล่นกีต้าร์ มีอ๊อด คมกริช แพคและคนอื่น ๆ นั่งล้อมวงร้องเพลงกัน ซึ่งแนวเพลงที่กอล์ฟเล่นจะเป็นเพลงจากค่ายแกรมมี่ล้วน ๆ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเพราะอ๊อดที่นั่งอยู่ในวังนั้นเป็นสาวกแกรมมี่ทั้งกายและใจซึ่งบางครั้งอ๊อดก็เผลอเหยียดค่ายคู่แข่งของแกรมมี่ที่มีที่ทำการแถวลาดพร้าวออกมาให้ผมฟังโดยไม่รู้ตัวบ่อย ๆ ซึ่งถ้าใครร้องหรือฟังเพลงค่ายนั้นแล้วล่ะก็มันส่งสายตาดูถูกมาเยี่ยมเยือนทุกทีจนผมนึกขำเพราะผมฟังได้ทุกแนวขอให้เพลงที่บรรเลงนั้นเพราะเป็นใช้ได้ เวลาคืนนั้นผ่านไปเรื่อย ๆ ผมหลับไปตอนไหนไม่รู้ แต่เพื่อน ๆ หลายคนอยู่กันจนดึกดื่น อากาศช่วงนั้นก็หนาวสุด ๆ เหมือนกันเพราะพวกเราเดินทางกันไปเที่ยวเขาใหญ่ในช่วงปลายปีซึ่งเข้าหน้าหนาวแล้ว




                                                รุ่งเช้าพวกเรานั่งรถบัสไปเที่ยวที่น้ำตกเหวนรก ตอนไปถึงน้ำตกครั้งแรกผมได้แต่นึกในใจว่ามันเหวนรกตรงไหนกัน แต่พอลงไปที่ตีนน้ำตกเท่านั้นแหละความรู้สึกข้างในตัวผมบอกเลยว่าน้ำตกเหวนรกเป็นน้ำตกที่สวยมากจริง ๆ สวยจนไม่อาจจะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ ที่ตีนน้ำตกพวกเราต่างพากันเล่นน้ำ ถ่ายรูป รูปหนึ่งที่ผมจำได้ติดตาคือ รูปอ๊อดดี้ถ่ายรูปกับเพ็ญศรีในใจก็คิดว่า หญิงก็สวย ชายก็หล่อ ส่วนคมกริชก็ถ่ายรูปปกับแพคซึ่งตอนนั้นต่างคนต่างก็มีความรู้สึกดี ๆ ต่อกันเช่นกัน ส่วนผมลงไปเล่นน้ำตกกับเขาด้วย การเล่นน้ำตกครั้งนั้นน้ำเย็นสุด ๆ แต่เพื่อนบางคนก็ไม่สนใจที่จะสัมผัสความเย็นสดชื่นของสายน้ำ ขอเน้นถ่ายรูปอย่างเดียว พอพวกเราเล่นกันน้ำกันหนำใจแล้วก็เดินทางกลับม.บูรพา ระหว่างกลับพอไม่มีใครร้องเพลงแล้ว คนขับรถก็เปิดเพลงให้ฟัง “… เก็บเอาคำว่าเสียใจ กองไว้ตรงนั้น เพราะมัน ไม่มีค่าอันใด… “ เพลงของคุณเจ เจตรินซึ่งเป็นนักร้องหน้าใหม่ของแกรมมี่ดังขึ้นมาตลอดทางที่เรากลับ ทุกวันนี้เจ มีลูก 4 คนแล้ว อายุลูกคุณเจก็เริ่มจะใกล้กับพวกเรา Quarter Science ในตอนที่ไปเที่ยวกัน แต่ผมยังไม่มีลูกเหมือนเค้าเลย

 

 

15 พฤษภาคม 2564

ต้นจำปูนหลังบ้าน

 

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

สถานการณ์สร้างวีรบุรุษในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ทองลอกด้วยเหมือนกัน

หลายๆ ครั้งที่สอบถามภรรยาว่าเราจะยกเลิกการบอกรับสมาชิก True Vision ไหมเพราะระยะหลังแทบไม่มีอะไรน่าสนใจ อีกทั้งหลังจากคุณพ่อที่ระยองเสียชีวิตก็แทบไม่มีคนดูรายการของ True Vision จนต้องไปยกกล่องรับสัญญาณกลับมาไว้ที่บ้านแต่ภรรยาที่เป็นแฟนฟุตบอลทีม Liverpool และกีฬาแกรนด์แสลมอย่างเทนนิสหรือแบดมินตั้นรายการต่างๆ ที่นักกีฬาไทยยังพอได้ไปอวดฝีไม้ลายมือได้ไม่อายใครก็ยังขอให้เป็นสมาชิกต่อไปเลยต้องยอมตามใจ สำหรับรายการฟุตบอลลีกอังกฤษอย่างพรีเมียร์ลีก ก่อนเกมระหว่างเกมและหลังเกมจะมีผู้เชี่ยวชาญในกีฬาฟุตบอลออกมาให้ข้อมูลรวมไปถึงทำนายผล ผมก็ดูมั่งไม่ดูมั่งเพราะยังไงข่าวสารพวกนี้เราหาอ่านได้จากต้นแหล่งข่าวหรือถ้าสงสัยในบางเรื่องก็สอบถามกูรูที่รู้จักและเต็มใจตอบคำถามรวมถึงให้คำแนะนำที่ดีกับเรา

เกริ่นมาซะยืดยาวเพียงเพราะเมื่อวานมีคอมเมนเตเตอร์ของฟุตบอลอังกฤษที่เรารับชมผ่านช่องของ True Vision ออกมาทวีตข้อความสอบถามว่า “วัคซีนที่ผลิตเองนี่ ได้ฉีดปีไหน” อารมณ์ทำนองด้อยค่าทีมงานรัฐบาลว่าไม่ได้ทำอะไรกันเลย เท่านั้นจริงๆ ที่ทำให้รู้สึกว่เสียเวลาอ่านคอลัมภ์เขามาเสียหลายปีแล้วกลับมาพบว่าเขาไม่มีอะไรเลย และการที่เขาเติบโตมาในเส้นทางสายข่าวกีฬา เป็นนักข่าวคนหนึ่งที่วิชาชีพน่าจะสอนให้เขารู้จักหาความรู้ที่ไม่ใช่ข่าวกีฬาแต่เป็นเรื่องใกล้ตัวที่สำคัญและนำมานำเสนอให้คนทั่วไปรู้โดยผ่านการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ (ค.ว.ย.) ก่อนที่จะพ่นอะไรออกมา หรือหากเขาจะไม่รู้จริงๆ ตามที่บอกมาก็ช่วยประชาสัมพันธ์หรือกระตุ้นให้คนที่เข้าเกณฑ์กำหนดการได้รับวัคซีนให้มาลงทะเบียนรับวัคซีนก็ยังดี
อย่างนี้หรือเปล่าถึงได้บอกกันว่าการจะรู้จักใครซักคนให้ลึกซึ้งมันต้องเกิดวิกฤติหรือมีสถานการณ์มาบีบคั้นจนคนคนนั้นเผยธาตุแท้ออกมา


12 พฤษภาคม 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2564

บ้านของเรา

ผมขับรถพาภรรยาเข้าไปในหมู่บ้านเลอมิวเรียที่คลองแอนหนึ่งหลังจากพาไปดูบ้านเดี่ยวมาหลายหมู่บ้านแล้วภรรยายังไม่ถูกใจ อาจจะเพราะเราไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องหาบ้านเดี่ยวให้ได้ในทันทีเพราะที่อยู่ปัจจุบันของเราที่เป็นทาวเฮาส์ก็สามารถใช้ชีวิตหลังแต่งงานได้อย่างมีความสุขอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องตัดสินใจมองหาบ้านหลังใหม่ก็คือเสียงจากวงเหล้าของเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามที่เยื้องไปทางซ้ายที่เปิดวงเหล้าทุกวันศุกร์ รถยนต์ที่จอดเกะกะขวางทางเริ่มมากขึ้นจากเพื่อนบ้านไร้จิตสำนึกบางคน รถสองคันของเราที่เข้าจอดในบ้านได้แค่คันเดียวและสิ่งสำคัญที่สุดสีหน้าของภรรยาที่ดูเหมือนจะไม่มีความสุขมากขึ้นทุกวันและมักจะชวนผมออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านทุกวันหยุดสุดสัปดาห์แทนที่จะอยู่บ้านกันสองคน สิ่งเหล่านี้เป็นแรงขับอยู่ในใจจนวันหนึ่งผมก็นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถเพื่อขับรถพาภรรยาออกตระเวณหาบ้านหลังใหม่โดยหวังจะพาภรรยาให้หลุดพ้นจากสภาพแวดล้อมที่ไม่ส่งเสริมความสุขของเราทั้งสองคนอีกต่อไป ซึ่งคำขอเดียวของภรรยาก็คือขอเป็นบ้านเดี่ยวเท่านั้น

ผมเห็นรอยยิ้มสดใสของภรรยาครั้งแรกเมื่อ 21 ปีก่อน หญิงสาวร่างเล็กในเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเดินสะพายกระเป๋าเดินไปลับตาและดูเหมือนจะทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้ในใจผมในเย็นวันศุกร์ต้นเดือนตุลาคม รอยยิ้มนั้นมันหายไปจากใบหน้าภรรยานานแล้วจนกระทั่งพนักงานขายพาเราสองคนเดินเข้าชมบ้านตัวอย่างที่ตกแต่งไว้อย่างน่ารักโดยเฉพาะภายในห้องน้ำชั้นสองที่เหมือนมนต์สะกดให้ภรรยาผมนิ่งเงียบไปแต่มีรอยยิ้มสุขใจที่หายไปแสนนานปรากฏขึ้นมาเทน แม้หลังจากเดินออกมาจากการชมบ้านตัวอย่างหลังจากเสียงใสๆ ของพนักงานขายที่กล่าวลาและทำให้เราทั้งคู่รู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ “แล้วมาเป็นเพื่อนบ้านกันนะคะ”
ผมขับรถพาภรรยาที่เหมือนตกอยู่ในภวังค์กลับไปทาวเฮาส์ของเรา ระหว่างทางผมสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของภรรยาที่นิ่งเงียบมากจนผมนึกเอะใจและตัดสินใจถามขึ้นว่า “คุณนุชอยากได้บ้านหลังที่เราไปดูมาหรือ” แทนที่จะตอบรับหรือปฏิเสธภรรยากลับกล่าวเบาๆ โดยไม่หันหน้ามามองผมว่า “เค้าสงสารคุณเทียนน่ะ” เท่านี้ก็ชัดแจ้งพอที่จะทำให้ผมตัดสินใจขับรถไปหาตู้ ATM และเบิกเงินสดมาจำนวนหนึ่งพร้อมทั้งขับรถกลับไปที่หมู่บ้านที่เพิ่งไปดูมา ระหว่างทางผมกล่าวตำหนิภรรยาว่า “ถ้าชอบบ้าน อยากได้บ้านทำไมไม่บอก” เสียงคำตอบเดิมจากภรรยาว่าสงสารคุณเทียนดังเบาๆมาอีกครั้งจนทำให้ผมสะเทือนใจและรู้สึกว่าภรรยาอยากได้บ้านจริงๆ แต่คงไม่กล้ารบกวนผมเพราะบ้านหลังเดิมเราอยู่กันแค่ 2 ปี และยังมีหนี้สินที่รอเราสะสางอีกมากในวันที่อายุของเราทั้งคู่ก้าวข้ามผ่านเลข 4 กันแล้ว




พนักงานยิ้มต้อนรับเมื่อเห็นผมกับภรรยาเดินลงจากรถและแจ้งความประสงค์จะจองบ้านที่สนใจ หลังจากวันนั้นระยะเวลาสองอาทิตย์คือช่วงที่ผมวุ่นวายในการติดต่อประสานงานโครงการและหาแหล่งเงินทุนแต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยเหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยช่วยเหลือ รอยยิ้มสดใสของภรรยาปรากฏบนใบหน้าหลังจากที่ผมเดินไปจับมือแล้วบอกว่าเราได้เป็นเจ้าของบ้านแล้วนะ มันเหมือนวันเก่าๆ ที่เราเริ่มคบกันและคุยกันถึงอนาคต หากลูกคือสิ่งสำคัญที่ผูกมัดคนสองคนให้ผูกพันธ์กัน สำหรับเราสองคนบ้านหลังนี้ก็คือสิ่งที่ทำให้ชีวิตคู่ของเราผูกพันธ์และมีความสุขในแต่ละวันที่ผ่านไปเช่นกัน

29 เมษายน 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน