ผมเดินผ่านแม่ที่กำลังนับเงินที่ได้จากการขายของในตลาดนัดเพื่อเข้าไปนั่งพักในบ้าน สักพักก็มีเสียงร้องเรียกผมดังมาจากแม่ “หน่องมาดูแบงก์ให้แม่หน่อย” ผมรีบลุกจากโซฟาและเดินไปหาแม่โดยไม่ต้องให้ท่านเรียกซ้ำ เมื่อเดินไปถึงจึงเห็นแบงก์ยี่สิบบาทสีเขียวกองอยู่ตรงหน้าแม่ และในมือแม่มีแบงก์ยี่สิบที่ขาดจากความเก่าซึ่งแม่ก็บอกผมในทันทีว่า “แม่หยิบแรงไปหน่อยแบงก์เลยขาด หน่องเอาไปแบงก์ไปต่อมาให้แม่ที” ผมรับเงินที่ขาด 2 ท่อนมาจากมือแม่และเดินเข้าไปหยิบแบงก์ยี่สิบในกระเป๋าสตางค์และเดินเอาไปยื่นให้แม่ แม่รับไปและกล่าวชมว่าผมต่อแบงก์ที่ขาดได้อย่างรวดเร็ว ผมได้แต่อมยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไรและเดินกลับไปในบ้าน สักพักแม่ก็เรียกไปถามว่า ทำไมแบงก์ไม่มีรอยต่อ ไปเอาแบงก์นี่มาจากไหน ผมก็เลยบอกว่า “เงินหน่องเอง แม่เอาไปแทนแบงก์ที่ขาด ส่วนแบงก์ที่ขาดเดี๋ยวหน่องเอาไปแลกที่ธนาคารตอนกลับไปกรุงเทพฯ” เมื่อแม่ได้ฟังก็ไม่พูดอะไรกลับไปนับเงินที่ขายของได้ต่อไปส่วนผมก็กลับไปทำธุระส่วนตัวตามเรื่องตามราว
วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
ธนบัตรขาด
เรื่องแบงก์ขาดหากเป็นสมัยก่อนผมคงรีบหาเทปใสมาต่อแบงก์ให้ติดและพยายามปล่อยมันกลับไปในตลาดให้กับใครซักคน ซึ่งใครคนนั้นผมคงไม่สนใจหรอกว่าเขาจะเอาเงินนั้นไปใช้ต่อได้หรือไม่ ขอเพียงมันไม่อยู่ในมือผมก็พอแล้ว แต่พอมาถึงวันหนึ่งหลายสิ่งในชีวิตสอนเราให้เราคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นมากขึ้น ก็ในเมื่อเรายังไม่ต้องการของไม่ดีเลย แล้วคนอื่นที่เขามีความรู้สึกนึกคิดเหมือนเรา เขาก็คงไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้นเหมือนกันนั่นแหละ อะไรที่มันแย่ทำไมไม่ให้มันจบอยู่ที่ตัวเราล่ะ สุดท้ายแบงก์ขาดใบนั้นก็ยังคงอยู่ติดกระเป๋าเรื่อยมาเพราะหลายครั้งที่ผ่านธนาคารพอคิดจะเข้าไปใช้บริการก็มีคนรอคิวค่อนข้างมากจนไม่มีโอกาสได้แลกกลับมาเป็นแบงก์ปกติเสียที
31 กรกฎาคม 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น