ผมขับรถพาภรรยาเข้าไปในหมู่บ้านเลอมิวเรียที่คลองแอนหนึ่งหลังจากพาไปดูบ้านเดี่ยวมาหลายหมู่บ้านแล้วภรรยายังไม่ถูกใจ อาจจะเพราะเราไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องหาบ้านเดี่ยวให้ได้ในทันทีเพราะที่อยู่ปัจจุบันของเราที่เป็นทาวเฮาส์ก็สามารถใช้ชีวิตหลังแต่งงานได้อย่างมีความสุขอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องตัดสินใจมองหาบ้านหลังใหม่ก็คือเสียงจากวงเหล้าของเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามที่เยื้องไปทางซ้ายที่เปิดวงเหล้าทุกวันศุกร์ รถยนต์ที่จอดเกะกะขวางทางเริ่มมากขึ้นจากเพื่อนบ้านไร้จิตสำนึกบางคน รถสองคันของเราที่เข้าจอดในบ้านได้แค่คันเดียวและสิ่งสำคัญที่สุดสีหน้าของภรรยาที่ดูเหมือนจะไม่มีความสุขมากขึ้นทุกวันและมักจะชวนผมออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านทุกวันหยุดสุดสัปดาห์แทนที่จะอยู่บ้านกันสองคน สิ่งเหล่านี้เป็นแรงขับอยู่ในใจจนวันหนึ่งผมก็นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถเพื่อขับรถพาภรรยาออกตระเวณหาบ้านหลังใหม่โดยหวังจะพาภรรยาให้หลุดพ้นจากสภาพแวดล้อมที่ไม่ส่งเสริมความสุขของเราทั้งสองคนอีกต่อไป ซึ่งคำขอเดียวของภรรยาก็คือขอเป็นบ้านเดี่ยวเท่านั้น
วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2564
บ้านของเรา
ผมเห็นรอยยิ้มสดใสของภรรยาครั้งแรกเมื่อ 21 ปีก่อน หญิงสาวร่างเล็กในเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเดินสะพายกระเป๋าเดินไปลับตาและดูเหมือนจะทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้ในใจผมในเย็นวันศุกร์ต้นเดือนตุลาคม รอยยิ้มนั้นมันหายไปจากใบหน้าภรรยานานแล้วจนกระทั่งพนักงานขายพาเราสองคนเดินเข้าชมบ้านตัวอย่างที่ตกแต่งไว้อย่างน่ารักโดยเฉพาะภายในห้องน้ำชั้นสองที่เหมือนมนต์สะกดให้ภรรยาผมนิ่งเงียบไปแต่มีรอยยิ้มสุขใจที่หายไปแสนนานปรากฏขึ้นมาเทน แม้หลังจากเดินออกมาจากการชมบ้านตัวอย่างหลังจากเสียงใสๆ ของพนักงานขายที่กล่าวลาและทำให้เราทั้งคู่รู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ “แล้วมาเป็นเพื่อนบ้านกันนะคะ”
ผมขับรถพาภรรยาที่เหมือนตกอยู่ในภวังค์กลับไปทาวเฮาส์ของเรา ระหว่างทางผมสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของภรรยาที่นิ่งเงียบมากจนผมนึกเอะใจและตัดสินใจถามขึ้นว่า “คุณนุชอยากได้บ้านหลังที่เราไปดูมาหรือ” แทนที่จะตอบรับหรือปฏิเสธภรรยากลับกล่าวเบาๆ โดยไม่หันหน้ามามองผมว่า “เค้าสงสารคุณเทียนน่ะ” เท่านี้ก็ชัดแจ้งพอที่จะทำให้ผมตัดสินใจขับรถไปหาตู้ ATM และเบิกเงินสดมาจำนวนหนึ่งพร้อมทั้งขับรถกลับไปที่หมู่บ้านที่เพิ่งไปดูมา ระหว่างทางผมกล่าวตำหนิภรรยาว่า “ถ้าชอบบ้าน อยากได้บ้านทำไมไม่บอก” เสียงคำตอบเดิมจากภรรยาว่าสงสารคุณเทียนดังเบาๆมาอีกครั้งจนทำให้ผมสะเทือนใจและรู้สึกว่าภรรยาอยากได้บ้านจริงๆ แต่คงไม่กล้ารบกวนผมเพราะบ้านหลังเดิมเราอยู่กันแค่ 2 ปี และยังมีหนี้สินที่รอเราสะสางอีกมากในวันที่อายุของเราทั้งคู่ก้าวข้ามผ่านเลข 4 กันแล้ว
พนักงานยิ้มต้อนรับเมื่อเห็นผมกับภรรยาเดินลงจากรถและแจ้งความประสงค์จะจองบ้านที่สนใจ หลังจากวันนั้นระยะเวลาสองอาทิตย์คือช่วงที่ผมวุ่นวายในการติดต่อประสานงานโครงการและหาแหล่งเงินทุนแต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยเหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยช่วยเหลือ รอยยิ้มสดใสของภรรยาปรากฏบนใบหน้าหลังจากที่ผมเดินไปจับมือแล้วบอกว่าเราได้เป็นเจ้าของบ้านแล้วนะ มันเหมือนวันเก่าๆ ที่เราเริ่มคบกันและคุยกันถึงอนาคต หากลูกคือสิ่งสำคัญที่ผูกมัดคนสองคนให้ผูกพันธ์กัน สำหรับเราสองคนบ้านหลังนี้ก็คือสิ่งที่ทำให้ชีวิตคู่ของเราผูกพันธ์และมีความสุขในแต่ละวันที่ผ่านไปเช่นกัน
29 เมษายน 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น