วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ผลไม้ของพ่อ


หน่องเอาสัปปะรดไปกินที่กรุงเทพด้วยนะ ซื้อเขากินมันแพง ของของเรามีเอง ไม่ต้องเสียเงินซื้อ”  เสียงพ่อผมร้องเตือนไล่หลังมา เมื่อเห็นผมสะพายกระเป๋าเดินไปที่รถเก๋งเพื่อจะกลับกรุงเทพ ฯ ในเช้าวันอาทิตย์ ผมได้ยินแล้วก็หันกลับมามองหน้าพ่อผมเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมนิ่งเงียบ และตอบกลับไปสั้น ๆ ว่า ครับ และเดินกลับมาหยิบสัปปะรดลูกดังกล่าวติดมือไปไว้ในรถด้วย จากนั้นก็เดินไปกล่าวลาพ่อ แม่ น้องสาว และที่จะขาดเสียมิได้หลานสาวคนเดียว น้องปูน

หลายปีที่ผ่านมาที่ผมมาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ  เมื่อกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่ระยองครั้งใด  ก่อนจะกลับมากรุงเทพฯ ทุกครั้ง  พ่อผมจะบอกให้ผมนำผลไม้ที่พ่อปลูกหรือหามาได้จากสวนหลังบ้านของพ่อให้ผมนำกลับมากินที่กรุงเทพเสมอ ๆ  แต่เพราะความคิดของผมที่ว่า ผลไม้เหล่านั้น พ่อกับแม่สามารถนำไปขายและเปลี่ยนเป็นเงินได้ ผมก็เลยเลือกที่จะปฏิเสธ  พร้อมทั้งให้เหตุผลว่า ผมไม่ชอบกินผลไม้พวกนั้น และไม่เคยซื้อกินที่กรุงเทพฯ  และทุกครั้งที่ผมเดินผ่านร้านขายผลไม้ถึงจะอยากกินแค่ไหนก็ตาม ผมก็ทำได้พียงหยิบมาดูราคา แล้วก็บอกกับตัวเองว่า บ้านเราก็มี เดี่ยวก็กลับไปกินของพ่อก็ได้  หรือไม่ก็ ราคาแพงไปหน่อย เดี๋ยวกลับไปขอพ่อกินดีกว่า แต่ก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปในสวนเพื่อเก็บผลไม้เหล่านั้นหากไม่ถูกพ่อกับแม่ขอร้องแกมบังคับ

ใครมากินมะพร้าวอ่อนหมด ไม่เหลือให้เอาไปขายเลย”  เสียงของแม่ในอดีตมักจะดังก้องอยู่ในหัวผมเสมอ เมื่อเดินผ่านต้นมะพร้าวต้นเดิมที่ผมเคยปีนเก็บมะพร้าวลงมากินเมื่อนานมาแล้ว ในช่วงเวลาของวัยรุ่น เงินทองมีไม่มากนัก ทางเลือกของการแก้หิวก็คือผลไม้ในสวนของพ่อกับแม่ เรื่องจะไปโขมยเงินของใครเพื่อเอามาบำบัดความสุขส่วนตัวไม่เคยอยู่ในหัวของผมเหมือนเด็กสมัยนี้ ถึงพ่อกับแม่จะเลี้ยงมาแบบคลุกดินคลุกทราย ไม่มีเงินให้ใช้สอยมากพอสำหรับของกินหรือเสื้อผ้าสวย ๆ  ที่นอกเหนือจากข้าว มื้อ ผมก็หยิ่งเกินกว่าจะเดินไปขอใครหรือไปโกงใครเขากิน  วันที่ผมได้ยินเสียงแม่บ่น น้ำตาของความน้อยใจเอ่อล้นคลอเบ้าตา ความรู้สึกเสียใจที่ทำให้แม่หัวเสียและไม่มีของไปขายเอาเงินมาจุนเจือให้พี่น้องรวมทั้งตัวผมเองได้เรียนหนังสือมันพลุ่งพล่านอยู่ในอก ช่างมันเถิดนะ ต่อแต่นี้จะยอมอด ไม่กินของในสวนของพ่อกับแม่อีก แม่จะได้มีของไปขายเอาเงิน ความคิดตามประสาเด็ก ๆ ผุดขึ้นมารวมกับทิฐิมานะที่ไม่รู้มันติดตามมาแต่หนไหน แต่ก็ทำให้ความคิดดังกล่าวติดตัวผมมาจนถึงปัจจุบัน

ผมขับรถกลับกรุงเทพ ฯ เหมือนทุกครั้ง  ความคิดล่องลอยไปแสนไกล คงอีกนานทีเดียวกว่าผมจะเป็นผู้ใหญ่ในสายตาพ่อ แต่ช่างมันเถอะ คราวหน้าผมจะไม่รอให้พ่อเรียกแล้ว ก็แค่เดินไปขอผลไม้ในสวนพ่อแล้วก็เก็บมาฝากคนที่ผมรักเท่านั้นเอง   

27  พฤศจิกายน  2556
ต้นจำปูนหลังบ้าน



วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สเต๊กบ้านไร่


                     พี่หน่องคร๊าบบบ เสาร์นี้ว่างมั้ยคร๊าบบบบบ”      เสียงออดอ้อนมาจากโทรศัพท์มือถือ ซึ่งผมเห็นเบอร์ 08-374… ผมก็รู้แล้วว่าใคร ไง จะชวนไปไหนอีกล่ะ ช่วงนี้พี่ไม่ค่อยมีตังค์นะ ผมตอบไปตามที่รู้สึกอย่างที่บอกจริงๆ  โถ พี่หน่อง ผมจะชวนไปกินเสต๊กอร่อย ๆ แถว ๆ บางกะปิน่ะ อร่อยและถูก พี่ไม่เสียเงินมากหรอกพี่ เดี่ยวเจอกันที่ร้านไอ้ดิวเลยนะพี่ ผมหิวแล้ว   ปรีชาไม่ยอมให้ผมต่อล้อต่อเถียงหรือต่อรองอะไรอีกและรีบวางสายผมไป อาจคงเพราะกลัวผมปฏิเสธหรือหาเหตุผลมาอ้างให้มากเรื่องเข้าไปอีก   ผมเก็บโทรศัพท์มือถือแล้วก็อาบน้ำโดยเร็ว เพราะกลัวไปช้าไม่ทันมื้อกลางวัน ซึ่งแต่เดิมเดิมตั้งใจไว้ว่าจะทความสะอาดบ้านซะหน่อย แต่ก็คงไม่ทันแล้วล่ะ  จากนั้นจึงขับรถปลาเข็มคันเก่งออกจากบ้านที่รามอินทรา มุ่งไปยังร้าน เสต็กบ้านไร่ ซึ่งอยู่ที่ตลาด บางกะปิ เพื่ออุดหนุนพ่อค้าหนุ่มที่สมัยนั้นหุ่นยังเฟิร์ม ไม่อ้วนเหมือนปัจจุบัน

                    เสต๊กบ้านไร่ รสชาติบ้านนอก ใครหลาย ๆ คนที่ทำงานเคยพูดเอาไว้แบบนั้น แต่หลังจากหมดเสต็กไปคนละ  2  จานกับปรีชาพร้อม ๆ ไฮเนเก้นรสชาติกลมกล่อมอีก  4  ขวดผมก็เรียกพ่อค้ามาคิดเงิน  อ่อ 600  บาทครับพี่หน่องแต่ผมคิด 200 บาท ถือว่าเลี้ยงพี่แล้วมาอุดหนุนก็แล้วกัน จะดีหรือดิว กินกันตั้งเยอะ ของค้าของขายผมตอบออกไปเพราะเกรงใจเจ้าของร้านจริง ๆ ขณะที่สายตาเหลือบไปมองลูกสาวตัวน้อยวัย 3  ขวบที่ยืนเกาะขาคุณพ่อและมองมายังผมและปรีชาด้วยแววตาไร้เดียงสา โธ่ พี่หน่อง เจ้าของร้านเค้าลดให้แล้ว เราต้องขอบคุณเค้านะ ปรีชาเอ่ยเสร็จก็ควักแบ๊งค์ร้อย  2  ใบยื่นให้ดิวอย่างหน้าตาเฉย ผมแอบถอนหายใจด้วยสงสารเพื่อน แต่ก็อดขำไปกับท่าทางของทั้ง 2  นี้ไม่ได้
                    พี่หน่อง วันนี้ครบปีแล้วนะ ดิวเคยบอกกับผมในค่ำวันหนึ่งที่นั่งกินข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารประจำ แถว ๆ ท่าทรายครบปีอะไร ?  ครบปีที่ช้อยจะมีลูกหรือไง ? “  ผมถามกลับไปแบบขำ ๆ เพราะคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าดิวกำลังจะชักนำผมไปในเรื่องไหนอีก ครบปีที่ผม ลาออกจากบริษัท มาเป็นเจ้าของกิจการน่ะสิ I still alive  ผมยังอยู่ได้ เห็นมั้ย มีสุขภาพดีซะด้วย ดิวพูดไปพร้อมทั้งกางแขนออกสองข้าง เหนือพุงกลม ๆ และส่ายหน้าพูดไปอย่างช้า ๆ   ผมยิ้ม ๆ ไม่ได้ว่าอะไร เพราะรู้จักดิวมาพอสมควร ทั้งนิสัยใจคอ ความเป็นคนใจสู้ ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา และคิดว่าทางเดินที่ทอดยาวต่อไปของดิว คงไม่จบลงอย่างง่าย ๆ  แน่นอน

                     ผมนึกถึงเรื่องนี้อีกครั้งที่เห็น Facebook  ของผมเอง ถูก Tag  มาจากชายหนุ่มหุ่นอ้วน ที่วันนี้เป็นเจ้าของกิจการหลาย ๆ อย่าง โดยจะออกแนวการตลาดแบบบ้าระห่ำซะด้วยซ้ำ ทั้งกิจการขายหมู  ขายถ่าน  นักเขียนล่ารางวัลซีไรท์  เปิดบู๊ทขายลูกชิ้นเทวดา และโปเจคใหม่ สเต๊คบ้านไร่ กาแฟบ้านดิน  ซึ่งเห็นภาพร่างร้านคร่าว ๆ แล้วก็นึกชื่นชมไปกับเพื่อนรุ่นน้องคนนี้ไม่ได้ในความไม่รู้จักท้อถอย และมองหาลู่ทางธุรกิจใหม่ ๆ  และแต่ละอย่างก็ทำเอาผมแปลกใจ  อยู่เสมอ     เอ แล้วถ้าร้านเสร็จเรียบร้อยแล้วและเปิดกิจการ ผมยังจะได้รับส่วนลด เหมือนวันที่ผมกับปรีชาไปอุดหนุนร้าน สเต็กบ้านไร่ ที่บางกะปิ เหมือนเมื่อเกือบ 10  ปีก่อนอีกหรือเปล่านะ


13 พฤศจิกายน  2555
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เรื่องสั้นในความทรงจำ “เรือรบจำลอง”

                    เช้าวันหนึ่งในปี  2524  ผมเห็นหนังสืออ่านนอกเวลาเรื่อง ฉันอยู่นี่ศัตรูที่รัก วางอยู่บนโต๊ะกลางบ้านหลังเก่าที่ จ. ระยอง โต๊ะตัวนั้นเป็นโต๊ะที่คุณพ่อหามาวางไว้ และเหมือนกับเป็นกติกาของบ้านว่าถ้าหากมีอะไร ๆ ที่ไม่รู้จะไปวางไว้ที่ไหนก็ให้เอามาวางไว้ที่โต๊ะตัวนั้น ในวัย 10  ขวบ ผมไม่สามารถซื้อหรือยืมหนังสือดังกล่าวมาได้ด้วยตัวเอง ใช่แล้ว หนังสือดังกล่าวพี่ชายคนเดียวของผมได้หยิบยืมมาจากห้องสมุดโรงเรียนมัธยมต่างอำเภอที่ได้ไปศึกษา  ผมหยิบหนังสือมาอ่านด้วยความสนใจโดยที่ไม่ได้บอกพี่ชาย ภายในหนังสือดังกล่าวมีการนำเรื่องสั้นที่เคยพิมพ์ในนิตยสารรายสัปดาห์มารวบรวมเพื่อพิมพ์ใหม่ โดยเรื่องสั้นในเล่มประกอบไปด้วย  เรือรบจำลอง, ห่านย่างไฟแดง, ฉันอยู่นี่...ศัตรูที่รัก ,นายที่รัก ,เสื้อราตรีสีเลือดนก และ ลาก่อน...Intermezzo…เพลงรักของแม่  ในสมัยนั้นผมใช้เวลาอ่านอยู่หลายวัน โดยนำติดตัวไปด้วยตามสถานที่ต่างๆ  พี่ชายก็เห็นแล้วก็ไม่ว่าอะไร แต่ก็ไม่ได้แนะนำอะไรเพิ่มเติม เพราะโดยปกติ ผมกับพี่ชายแทบจะไม่เคยคุยกันนัก


หนึ่งในหลาย ๆ เรื่องที่ผมได้อ่านนั้น เรื่องเรือรบจำลอง เป็นเรื่องแรกที่ผมอ่านจบและเกิดความรู้สึกแปลก ๆ ข้างในใจ เรื่องดังกล่าว กล่าวถึงเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า  อันดร วิทวัส”  อันดรเป็นเด็กที่โหยหาความรักความเข้าใจจากคนรอบข้าง ความอบอุ่นของครอบครัวที่ขาดหาย โดยภูมิหลังครอบครัวอันดรที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้คือ การหย่าร้างของพ่อกับแม่ และอันดรต้องอาศัยอยู่กับพ่อที่นิสัยแข็งกระด้าง  แต่อันดรยังโชคดีที่ได้รับความรักความอบอุ่นจากคุณครูบุษบงที่ขอตัวเขาจากพ่อมาอยู่ด้วยที่บ้านพักครู เพื่อเลี้ยงดูขัดเกลา ทำให้ส่วนดี ๆ ของอันดรได้เปิดเผยออกมา สอนให้รู้จักรักคนรอบข้าง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ครูบุษบงเติมเข้าไปในหัวใจที่แห้งแล้งเหมือนเดินผ่านทะเลทรายมานานของอันดร เนื้อเรื่องตอนจบที่ผมจำมาจากเรื่องนี้ได้โดยไม่รู้ตัวและมาเข้าใจตอนที่กลับไปอ่านหนังสือเล่มนี้ซ้ำอีกครั้งก็คือ  การตายของอันดร วิทวัส จากการที่ไปช่วยไปช่วยชาลี เพื่อนที่เพิ่งจะเริ่มผูกสัมพันธ์ในโรงเรียนใหม่ได้ไม่นาน จนตัวเองจมน้ำตาย  

สำหรับอันดรแล้วสิ่งจูงใจหรือจะเรียกว่าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวคือเรือรบจำลองที่ทำให้อันดรยังจำช่วงเวลาดี ๆ กับอานิรุทธ์ และแม่ของเขาได้ และกลายเป็นจุดเชื่อมให้เขาสามารถเป็นเพื่อนกับนักเรียนร่วมชั้นในโรงเรียนใหม่ได้  ผมอ่านทบทวนเรื่องสั้นเรื่องนี้หลายครั้งจนกลายเป็นเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งที่คอยเตือนใจอยู่เสมอ ๆ ถึงการประพฤติตัว การวางตัวท่ามกลางสังคมปัจจุบันที่เปลี่ยนไปอย่างมากมาย สังคมที่ทุกคนต่างก็ยึดตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางโดยไม่ยอมแบ่งส่วนดี ๆ ในจิตใจออกมาเอื้ออาทรเหมือนครั้งเก่าก่อน

แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่ผมนึกถึง ผมคิดถึงพี่ชายที่แสนดีของผม พี่ชายที่ได้ยืมหนังสือมาวางทิ้งไว้ให้ผมหยิบเอาไปอ่านและเป็นเสมือนผู้เปิดโลกกว้างให้ผมได้ก้าวเข้าสู่โลกของการอ่านหนังสือ สิ่งดี ๆ ของพี่ชายผม ที่ยังลอยอยู่ในหัวใจของผมอยู่เสมอตราบจนนิรันดร์  แม้เขาจะจากไปจากโลกนี้เป็นปีที่  10  แล้วก็ตาม  หากเรือรบจำลองเป็นจุดเชื่อมระหว่างโลกของอันดร วิทวัสกับเพื่อน ๆ ร่วมชั้นคนใหม่ หนังสือรวมเรื่องสั้น ฉันอยู่นี่ศัตรูที่รักก็เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างโลกของผมที่สื่อไปถึงพี่ชายผมเช่นกัน   


7 พฤศจิกายน  2556
ต้นจำปูนหลังบ้าน



วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โต คนสร้างฝัน


          ผมพบกับโตครั้งแรกเมื่อครั้งที่ไปออกค่ายคนสร้างฝันที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บ้านหม่องกั๊ว อ. อุ้มผาง จ.ตาก สถานที่ที่พบกันก็คือปั๊มน้ำมัน ปตท. ที่ จ. นครสวรรค์ที่คุณบัญญัติ มักจะกำหนดให้เป็นจุดรวมพลก่อนที่จะเดินทางสู่จุดหมายปลายทางต่อไป  ค่ายนั้นผมเดินทางไปกับพี่แอ๊ดและภรรยาคนปัจจุบันคือคุณน้องนุชในสมัยที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน มันเป็นการออกค่ายครั้งแรกของนุช และยังเป็นครั้งล่าสุดจนกระทั่งถึงปัจจุบัน  โต ซึ่งเป็นคนเงียบ ๆ เดินเข้ามาทักพี่แอ๊ดที่ร้านข้าวเชสเตอร์กริล ระหว่างที่ผมกับนุชรออาหารที่สั่งไปจากทางร้าน เมื่อรู้จักกันอย่างเป็นทางการแล้ว ความสนิทสนมก็เริ่มขึ้น ณ เวลานั้นเอง  แล้วโต มายังไงล่ะ  ผมถามโตออกไป ซึ่งเป็นคำถามแบบที่ว่าจะต้องถามอยู่เสมอ ๆ ผมขับรถกระบะมาเองครับพี่หน่อง  ขับมาคนเดียว  โตตอบมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มและภาคภูมิใจ เราจะไปหม่องกั๊ว ทางน่าจะแย่ ๆ รถโตเป็นแบบ โฟร์วิล ไดรฟ์ หรือเปล่า ผมถามด้วยความสงสัยซึ่งโตก็ให้คำตอบที่ผมสงสัยโดยทันทีเช่นกันว่า  ไม่ใช่หรอกครับ แต่รถกระบะผมยกสูง วิ่งไปได้ สบายมาก
          ขณะที่รถที่ผมนั่งกำลังวิ่งไต่ระดับและลัดเลาะไปตามแนวถนน เพราะเป็นรถปาเจโร่ สปอร์ตของพี่แอ๊ด จึงทำให้ผมรู้สึกสบายไม่ได้ลำบากกับการเดินทางเท่าใดนัก แต่กับรถตู้และรถกระบะคันอื่น ๆ คนขับต้องใช้สมาธิและทักษะพอสมควรในการควบคุมรถ เพื่อให้ผ่านโค้งต่าง ๆ จนลงมาถึงอุ้มผางได้อย่างปลอดภัยแต่ก็เสียเวลาไปมากพอสมควรกับการเดินทางไปถึงโรงเรียน ทางที่ดูไม่น่าไกล แต่ก็ลำบากพอดูในการจะผ่านไปจึงทำให้พวกเราเดินทางไปถึง ร.ร.หม่องกั๊วในเวลาเกือบจะ  11  โมงเช้า เด็ก ๆ ที่โรงเรียนต่างรอเราอย่างกระวนกระวายใจ อาจจะผสมกับความหิวด้วยมั้ง แต่ทุกคนก็ไม่ได้แสดงออกถึงอาหารหงุดหงิดแต่อย่างใด เมื่อพวกเราไปถึงทุกคนเหมือนจะรู้หน้าที่กันโดยอัตโนมัติว่าต้องทำอะไรกันบ้าง ผมกับน้อง ๆ ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำสันทนาการกับเด็ก ๆ ก็ออกไปนำเด็ก ๆ เล่นเกมส์ แจกของ และพยายามดึงเวลาให้ทางทีมพี่แอ๊ดได้ประกอบอาหารให้เสร็จเรียบร้อยก่อน  ซึ่งกว่าจะได้ทานข้าวกลางวันกันเวลาก็ล่วงเข้าไปบ่ายโข  เก่งมากหน่อง ดึงเด็กให้อยู่กับเกมส์ได้ดีมาก พี่สมเกียรติกล่าวชมผมเมื่อเดินสวนกัน มันเป็นเหมือนน้ำทิพย์ ชโลมใจที่ทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง  ผมเดินไปหานุชและขอมาม่ากิน อารมณ์วันนั้นมีแต่ความอิ่มใจไปหมดไม่นึกหิวแม้แต่นิดเดียว ส่วนเด็ก ๆ ก็น่ารักและป็นกันเองจนผมนึกรักที่ที่แห่งนี้ อยากจะทำทุกอย่างให้พวกเค้าอย่างดีที่สุด พร้อมกับนึกสงสัยว่ายังมีสถานที่ที่แบบนี้ในประเทศไทยอยู่อีกมากมายแค่ไหนกันหนอ สถานที่ที่เด็ก ๆ ไม่รู้จักก๋วยเตี๋ยว จนต้องเดินวนเข้ามาขอก๋วยเตี๋ยวหลาย ๆ รอบ สถานที่ที่เด็กต้องเดินทางไกลนับ 10 กิโลเมตรเพื่อมาเรียนหนังสือ และออกไปเป็นชาวเขาชาวป่าที่ยังไม่ได้รับการเหลียวแลจากหน่วยงานราชการเท่าที่ควรจะเป็น 
          หลังจากเสร็จกิจกรรมทั้งหมด เราก็อพยพทีมงาน เพื่อเดินทางไปเที่ยวน้ำตก  ทีลอซู  ก่อนเดินทางไปน้ำตก เราได้แวะไปทำบุญที่วัดบริเวณใกล้ ๆ ความเย็นกายที่วัดที่เราได้รับยังไม่เท่าความเย็นในหัวใจที่เรามีโอกาสมาสร้างบุญร่วมกันอีกครั้ง  ถึงเวลาที่น้ำตกทีลอซูจะน้อยนิดเพราะเราเดินทางไปถึงกันเกือบจะ 5 โมงเย็นแล้ว  แต่ระหว่างเดินทางไปน้ำตกก็มีเรื่องขำขันมาให้ทุกคนได้ยิ้มกันมากมาย    เนื่องจากทางที่รถผ่านไปนั้นมีฝุ่นอยู่มาก เมื่อรถวิ่งผ่านคนที่นั่งบนรถกระบะอย่าง  ดร เอก ตั้ม อี๊ด จึงถูกฝุ่นจับตามบริเวณลำตัว โดยเฉพาะเส้นผมและใบหน้า ดูราวกับว่าไปคลุกแป้งฝุ่นมา  ผมโชคดีเพราะได้นั่งรถปาเจโร่ ของพี่แอ๊ด จึงสะอาดเอี่ยม เรี่ยมเร้เรไร น้ำตกเย็นจนรูสึกหนาว แต่ในใจพวกเราต่างอบอุ่น เพราะได้มาช่วยเหลือเด็กตามที่ได้ตั้งใจจนสำเร็จลุล่วงสมความตั้งใจทุกประการ  

จากร้อยมือถือความฝันสู่พันโค้ง
จากที่โล่งสู่ที่ลับอับแสงสี
จากเมืองฟ้าสู่เมืองป่า วนาลี
จากพี่ๆสู่น้องๆในดินแดนสุดแสนไกล

ด้วยความฝันแห่งใจปรารถนา
ด้วยความฝันและศรัทธาไม่หวั่นไหว
ด้วยความฝันจะปั้นสร้างยังแดนไกล
ด้วยความฝัน ยิ้มละไม ที่ได้รับ...ก็สุขเกิน

          เสียงกล่าวบทกวีดังกังวานไพเราะจับใจ จนผมต้องหันหน้ามามองอย่างเต็มตา เป็นน้องโตที่ผมเจอที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. นี่เอง  โตกล่าวบทกวีด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่แววตาแฝงไปด้วยความทรงภูมิทำให้ผมนึกชื่นชมโตอยู่ในใจ คำกล่าวในบทกวีได้บ่งบอกถึงปณิธานของกลุ่มได้อย่างชัดแจ้งยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ  ค่ำคืนที่บริเวณกางเต๊นท์น้ำตกทีลอซู เป็นคืนที่ผมยังประทับใจไม่รู้ลืม ไม่ว่าจะเป็นเสียงเจื้อยแจ้วของเบียร์ที่มีข้อสงสัยซักถามจนราวดูกับว่าเป็นเด็กน้อยทีพ่อแม่พาออกมาสู่โลกกว้าง  เสียงนักดนตรีคนสร้างฝันจาก ชัย ทศ ที่ขับกล่อมรอบวงชวนให้หลงใหลในบรรยากาศ  แต่สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจที่สุดคือ เสียง เอื้อนเอ่ย บทกวีจาก โต นี่เอง
          ผมได้เจอโตอีกหลาย ๆ ค่ายถัดมาจากค่ายหม่องกั๊ว และทุกครั้งที่ได้พบกันในค่ายก็จะมีความรู้สึกยินดีปรีดาและสละเวลามานั่งพูดคุยถึงความเป็นไปของแต่ละคนอยู่เสมอ  ในการออกค่ายโตจะขับรถมาคนเดียวเกือบทุกครั้ง และพกพาเอาความนุ่มนวลในอารมณ์ความรู้สึกมาที่ค่ายด้วย แปลกใจเหมือนกันที่ทุกครั้งก่อนเราจะลาจากกัน ผมเป็นต้องเข้าไปกอดโตเพื่อให้กำลังใจกันและกล่าวอวยพรให้แต่ละคนโชคดีและหวังว่าจะได้มาพบกันอีก หลังสุดที่ผมได้พบโตคือที่ดอยสอยมาลัย ผมได้นั่งดื่มเหล้าร้องเพลงกับโตจนดึกดื่น และกล่าวอำลากันในวันรุ่งขึ้น บางทีการไปออกค่ายมันไม่ใช่แค่การออกไปช่วยคนอื่น ๆ แต่เราออกไปเพื่อไปพบเพื่อนที่มีเจตนารมณ์ร่วมกัน ออกไปถามข่าวคราว ออกไปเห็นหน้าคนที่เราอยากพบเจอ ผมไม่ได้ไปค่ายมา 2 ครั้งแล้วเลยไม่ได้เจอโต  ก็ได้แต่หวังว่าครั้งต่อไป เราคงไปเจอกันอีกและเล่าความเป็นไปของแต่ละคนกลางวงเหล้า พร้อมเสียงเพลงขับกล่อมจาก ชัย ทศ นักดนตรีอารมณ์ดีประจำค่ายที่ไม่เคยขัดเวลาผมขอร้องให้เล่นเพลงต่าง ๆ ผ่านสายกีต้าร์ตัวเก่ง  ครั้งหน้าถ้าไม่ติดขัดอะไรจริง ๆ โตและเพื่อน ๆ ทุกคนคงมาเจอหน้าผมที่ปายนะเราจะได้เล่าเรื่องราวที่ผ่านมาของแต่ละคนกลางคืนหนาวเหมือนทุก ๆ ครั้งที่เป็นมา       

28  ตุลาคม  2556
ต้นจำปูนหลังบ้าน
             
                                                                                                             



วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Team Work

          ผมมีโอกาสไปดูน้อง ๆ   แข่งฟุตบอลกันแมตซ์หนึ่ง โดยเป็นการแข่งขันฟุตบอล 7 คน  น้องหลาย ๆ คนที่เล่นฟุตบอลในทีมมีฝีเท้าที่ดีจนผมคิดไปว่าน่าจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ไม่ยากนัก  แต่น้องในทีมก็บอกกับผมเป็นการออกตัวว่าทีมคู่แข่งเป็นทีมที่เก่งและมีฟอร์มการเล่นที่ดีเช่นกันดังนั้นอาจจะไม่สามารถเอาชนะได้โดยง่าย  แต่ผมก็ยังเชื่อมั่นว่าน้องๆ ของผมนั้นเก่งพอที่จะเอาชนะคู่แข่งได้ไม่ยาก 

          ผมไปถึงสนามก่อนการแข่งขันไม่นานนัก  บรรยากาศรอบข้างดูสดใสร่าเริง หนุ่มสาวหลายคนที่เข้ามาเชียร์ดูน่ารักและชวนมอง อาจจะเพราะเพิ่งเริ่มทำงานกันใหม่ ๆ ภาระหน้าที่การงานยังไม่หนักหน่วงเหมือนคนที่ทำงานมานานก็เป็นได้   เมื่อเริ่มการแข่งขันในครึ่งแรก ทั้ง  2  ทีมก็ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนของทั้งสองทีมก็คือ ทีมของน้องที่ผมตั้งใจไปเชียร์นั้น ไม่สามารถนำลูกฟุตบอลไปให้ถึงศูนย์หน้าเพื่อสร้างโอกาสทำประตูได้มากเท่าที่ควร  อีกทั้งศูนย์หน้าตัวนั้นก็ไม่พยายามลงมารับลูกจากกองกลาง แต่กลับไปยืนรอที่จะยิงประตูที่หน้าประตูอย่างเดียว ดังนั้นลูกฟุตบอลจึงมักจะไปตายอยู่ที่กลางสนามเสมอ ๆ  ผิดกับอีกทีมที่จะเล่นฟุตบอลโดยมีการรับส่งลูกฟุตบอลอย่างแม่นยำ ช่วยกันประสานงาน ทำให้ลูกฟุตบอลถูกส่งไปที่หน้าประตูทีมของน้องผมที่เชียร์บ่อยครั้ง เพียงแต่มันยังไม่ถูกเปลี่ยนเป็นประตูเท่านั้น และเมื่อการแข่งขันในครึ่งแรกจบลงทั้ง  2  ทีมจึงยังเสมอกันอยู่ที่สกอร์  0 : 0  

          เฮ้ย พวกเราเล่นดีแล้ว เดี๋ยวก็ยิงประตูได้”  ผมได้ยินเสียงศูนย์หน้าที่ผมเชียร์นั้นบอกให้กำลังใจกับเพื่อนร่วมทีม ในขณะที่เพื่อน ๆ ที่ทำหน้าที่ดูแลทีมก็พูดเหมือนกันนั่นก็คือ พวกเราเล่นดีแล้ว เดี่ยวก็ยิงได้ ผมรู้สึกเหมือนเห็นภาพตัวเองในอดีตซ้อนขึ้นมา นับครั้งไม่ถ้วน คำพูดที่ว่า เล่นดีแล้ว พวกเรา เอาชนะได้ไม่ต้องห่วงลอยวนอยู่ในความทรงจำ  มันเหมือนผมตื่นจากภวังค์  ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมไม่ได้คิดเหมือนที่เค้าพูด เพราะภาพในครึ่งแรกมันฟ้องอย่างชัดเจนว่าทีมน้องของผมเล่นได้แย่กว่าคู่แข่งมาก และผมแปลกใจว่าผมเห็น แต่คนที่ดุแลทีมไม่ยักกะเห็นเหมือนที่ผมเห็น และก่อนที่จะเริ่มครึ่งหลัง ผมทำนายไว้ในใจว่า ถ้าเล่นอย่างนี้และไม่ปรับเปลี่ยนการส่งลูกฟุตบอลให้ไปถึงกองหน้ามากขึ้น ทีมที่ผมเชียร์คงจะถูกยิงประตูและต้องพบความพ่ายแพ้เป็นแน่ และก็ไม่ได้เกินจากที่ผมคาดหมายนัก เพราะเมื่อทีมกลับไปลงเล่นครึ่งหลัง ทีมที่ผมเชียร์ก็ถูกยิง ประตูและแพ้ไปด้วยสกอร์  0 : 2   ซึ่งเมื่อจบเกมส์การแข่งขัน  ผมสูดลมหายใจลึก ๆ และเดินเข้าไปให้กำลังใจ พร้อมทั้งบอกข้อผิดพลาดกับน้อง ๆ ว่าเพราะอะไร มันคงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนักที่จะมาอธิบายถึงความผิดพลาด เพราะยามทีมแพ้อะไร ๆ มันก็ดูแย่ไปหมด แต่ผมก็ตัดสินใจบอกไป จากนั้นก็เดินไปแสดงความยินดีกับทีมที่ชนะและเดินกลับไปขึ้นรถเพื่อไปหาข้าวมื้อเย็นกิน

          สิ่งบางสิ่งที่ผมเรียนรู้และรับฟังมานาน มันไม่ชัดเท่ากับการที่ผมได้เห็นเหตุการณ์จริงที่ผ่านไป คำว่า Team Work  ผุดขึ้นมาในหัวผมหลังจากการแข่งขันฟุตบอลแมตซ์นั้นจบลง  ทีมที่เอาชนะทีมที่ผมเชียร์นักเตะแต่ละคนไม่ได้มีฝีเท้าเหนือกว่าน้องๆ ผมเลย แต่พอเล่นร่วมกันเป็นทีม แต่ละคนเข้าใจในบทบาทของตน จังหวะไหนควรเข้ามาช่วย จังหวะไหนควรปลีกตัวออกไปรอบอล จังหวะไหนควรจะครองบอล เมื่อเสียการครอบครองลูกบอล ก็ถอยลงไปตั้งรับทั้งทีม  จนทีมสามารถกำชัยชนะเหนือคู่แข่งได้

          ผมขับรถกลับบ้านด้วยอาการหวั่นไหว ตัวสั่นเหมือนตัวเองถูกชกเข้าที่ท้องอย่างเต็มแรง  คิดถึงเรื่องงานที่ผ่านมาของตัวเอง คิดถึงองค์กรที่สังกัด ทุกวันนี้ผมทำงานเป็น  Team Work  ได้ดีแค่ไหนกัน คำตอบนั้นผมรู้อยู่ในใจ  ประเด็นที่ผมต้องตอบตัวเองคือผมจะปรับปรุงตัวเองและองค์กรให้ขับเคลื่อนด้วย Team Work ให้ได้ดีที่สุดได้อย่างไร ถึงจะยังไม่ได้คำตอบหรือแนวทางที่แน่ชัด แต่อย่างน้อยผมก็ตระหนักแล้วว่าจะต้องปรับปรุงตัวถึงจะเหนื่อยและใช้เวลาอีกมากที่จะดำเนินการ ผมก็ยินดี และต้องเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


23  ตุลาคม  2556
  ต้นจำปูนหลังบ้าน
               

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

Liverpool ในดวงใจ

ผมมีน้องชายร่วมสายเลือด  1  คน ที่กินนอน และเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังจำความได้  จนเข้าช่วงวัยรุ่น ความเหินห่างก็เริ่มเข้ามาในชีวิตของเราทั้งสองคน เพราะเมื่อจบชั้นม.ต้น ขณะที่ผมตัดสินใจเข้าเรียนหนังสือระดับ ม.ปลาย น้องชายผมตัดสินใจไปทำงานเป็นลูกจ้างทั่วไปในโรงงานอุตสาหกรรมที่มาบตาพุด 1 ปี และออกมาเรียนต่อที่โรงเรียนเทคนิคที่สัตหีบ จ.ชลบุรี  เส้นทางชีวิตของแต่ละคนก็แยกกันไปจนยากจะมาพบกันอีก   จะเพราะทางชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว การใช้ชีวิต กลุ่มเพื่อนที่คบหรือต่างคนต่างเสาะหาเส้นทางของตัวเองจนค้นพบทางที่เหมาะสม ความทรงจำวัยเด็กในเรื่องต่างๆ ระหว่างผมกับน้องชายก็ค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา                          
                       
สิ่งหนึ่งที่เชื่อมให้ผมรู้สึกว่าเป็นพี่น้องกันก็คือ Liverpool  ไม่ผิดหรอก ทีมสีแดงแห่งลุ่มน้ำเมอร์ซี่ไซด์จากเมือง Liverpool  นั่นแหละ   ผมกับน้องชายโตมากับฟุตบอลอังกฤษในยุด  ‘80  ยุคที่เมือง Liverpool  มี  2  ทีมที่สลับกันคว้าแชมป์ลีก ไม่ใช่เฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น  เท่านั้น แต่ในระดับทวีปยุโรป   ทั้ง Liverpool  และ Everton  ต่างก็ออกไปประกาศศักดาในเวลาใกล้เคียงกัน  เพียงแต่ทีม Everton  โชคร้ายที่หลังจากคว้าแชมป์ League  ได้ในปี  1985  แล้ว สโมสรจากอังกฤษก็ถูกแบนไม่ให้เข้าร่วมแข่งเป็นเวลานานถึง  6 ปี จน Everton หมดสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันรายการที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปไปในปีต่อมา หลังจากคว้าแชมป์ลีก และชนะเลิศในถ้วยคัพ วินเนอร์สคัพ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราทั้งคู่ห่างไปจากทีม Liverpool  ได้เลย  ใช่แล้วเราทั้งคู่ต่างเป็น  The KOP  ตัวยง และหลงรักสโมสรสีแดงนี้อย่างหมดหัวใจเพราะนักเตะคนเดียวที่สวมเบอร์ 9 ที่ชื่อว่า เอียน รัช  
           
ในวัยเด็ก เราทั้งคู่จะคอยติดตามการแข่งขันของทีม Liverpool  จากการอ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ซึ่งจะเป็นกรอบข่าวเล็ก ๆ หน้ารองสุดท้ายของหนังสือพิมพ์  โดยข้อความที่ปรากฏจะเป็นข้อความเดิม ๆ ที่ว่า “ Liverpool  ชนะนำจ่าฝูงต่อไป”  หรือ “ Liverpool  คว้าแชมป์ลีกคัพเป็นสมัยที่สามติดต่อกัน”  แค่ข้อความเล็ก ๆ ก็ทำให้เราสองพี่น้องมีเรื่องคุยกันไปทั้งวัน ที่สำคัญก็คือ ในปี 1986  ที่ Liverpool  คว้า  Double Champ  ครั้งแรกท่ามกลางสีแดงและสีน้ำเงินในสนามเวมบลีย์เก่า  เราทั้งคู่ต่างรอผลอย่างใจจดใจจ่อ เพราะปีนั้นกว่าจะคว้าแชมป์ลีกได้ก็ต้องลุ้นจนนัดสุดท้าย และต้องขอบคุณ Oxford ที่เอาชนะ  Everton   จนทีมทีอฟฟี่สีน้ำเงินมีคะแนนไม่พอที่จะขึ้นมาทาบ Liverpool  ที่นัดสุดท้ายยกพลไปกำชัยที่แสตมฟอร์ด บริดเหนือเชลซี 1-0  ด้วยประตูชัยของนักเตะอันดับ  1  ตลอดกาลอย่าง เคนนี่ เดลกลิช  แต่อีก  3  ปีต่อมา ชัยชนะใน F.A. Cup รอบชิงเหนือคู่ปรับหน้าเดิมอย่าง Everton  ไม่ได้ทำให้ผมดีใจมากเท่าที่ควร เพราะการสูญเสียที่ฮิลโบโร่ ในรอบรอง F.A. Cup  ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่ในความเศร้า  ข่าวทาง TV นำเสนออย่างมากมาย ภาพลูกยิงของปีเตอร์ เบรียดสลี่ย์ ที่ชนคานกระเด้งออกมาจนกระตุ้นเสียงโห่ร้องตื่นเต้นและกระตุ้นให้ทุกคนเฮโลเข้ามาในสนามจนมันกลายเป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำตลอดมา  
       
สิ่งหนึ่งที่เหมือนเป็นสัญญาณบอกว่า Liverpool  เริ่มสู่ยุคตกต่ำก็คือ การเข้ามารื้อระบบต่าง ๆ ของ แกรม ซูเนส การก้าวขึ้นมาของคู่ปรับตลอดกาลที่ผมไม่เคยเห็นอยู่ในสายตามาตลอดอย่าง Manchester United  ที่เริ่มฟื้นจากการหลับใหลอย่างยาวนาน ยุค  90  เป็นยุคที่ผมอยากจะลืมเป็นที่สุด เพราะนอกจากทีมจะค่อย ๆ  ลดเพดานต่ำลงมาเรื่อย ๆ แล้ว การดำเนินการที่ไม่เฉียบคมพอทั้งในและนอกสนามของ Liverpool  ก็ยังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อทีมจนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน   ทั้งน้องชายที่เคยสนิทสนมกันเมื่อยังเด็ก ๆ ก็มีโลกของตัวเองจนยากจะเข้าถึง ครั้นจะหาสิ่งเชื่อมโยงกันเหมือนวัยเยาว์ อย่าง Liverpool  ก็ยากที่จะหาเรื่องราวดี ๆ มาคุยกัน โปสเตอร์รูปเอียนรัชที่ผมเอาแสตมป์ไปแลกซื้อจากเครือสยามสปอร์ตในราคา  30  บาทสมัยเด็ก ๆ  ก็ขาดรุ่งริ่งเหมือนกับฟอร์มของ Liverpool  ในช่วงนั้น บางครั้งนึกว่าจะกลับมาได้ จะกลับมาได้ แต่ความจริงที่ปรากฏก็คือ  Liverpool  ที่ผมเคยรู้จักได้เลือนหายไปตามกาลเวลาซะแล้ว         
         
  หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย  ผมเข้ามาทำงานในกทม. จึงไม่ค่อยได้เจอน้องชายที่เข้าทำงานเป็นนายช่างใหญ่ในโรงงานอุตสาหกรรมนิคมมาบตาพุด  และเมื่อผมกลับไปบ้านก็ไม่ได้เจอน้องชายบ่อยเท่าที่ควรจะเป็น จะมีก็แต่วันสำคัญที่เราเจอกันก็คือ วันแม่กับวันพ่อที่ต่างคนต่างรู้ว่า ไม่ว่าจะงานยุ่งกันเพียงไหน เราทั้งคู่ต่างก็ไม่เคยลืมจะกลับไปหาพ่อและแม่ และนั่งกินข้าวด้วยกันพร้อมพ่อกับแม่พี่ชายและน้องสาว แต่เหมือนเดิม เราไม่ค่อยได้คุยกันได้อย่างสนิทเหมือนสมัยยังเป็นเด็ก ๆ   และทุก ๆ ปีก็จะเป็นเช่นนี้ จนหลาย ๆ ครั้งที่ผมบอกใคร ๆ ว่ามีน้องชายก็มักจะสร้างความประหลาดใจให้กับคนรอบข้างเสมอ  
               
     ชีวิตทำงานผ่านไปปีแล้วปีเล่าจนกระทั่งถึงวันที่ Liverpool คว้าแชมป์ถ้วยยุโรปใบใหญ่สุดได้ที่สนาม อตาเติร์ก ประเทศตุรกี ในเดือนพฤษภาคม ปี  2005  หลังจากเกมส์จบการแข่งขันไม่นาน ผมก็เห็นข้อความจากน้องชายเข้ามาที่โทรศัพท์มือถือของผม  “Liverpool  ได้แชมป์ยุโรป ดีใจจริง”  นั่นเป็นข้อความแรกตั้งแต่เรามีโทรศัพท์มือถือใช้และน้องชายส่งข้อความมาหา  และยังคงเป็นข้อความล่าสุดที่น้องชายส่งมาให้จนถึงวันนี้  หากเป็นไปได้สิ่งที่ผมยังหวังว่าจะเกิดขึ้นคือถ้า Liverpool  ความแชมป์ลีกได้ในระยะเวลาอันใกล้ ผมก็น่าจะได้รับ Message  จากน้องชายที่บอกถึงความยินดีอีกครั้ง เหมือนครั้งที่คว้าแชมป์ยุโรปล่าสุด และคงจะมีเรื่องราวให้เราทั้งคู่ได้คุยกันเหมือนสมัยยังเป็นเด็กน้อยของพ่อกับแม่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหนเหมือนกันที่ Liverpool  จะได้แชมป์อีก  หรือผมอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้วในชีวิตนี้ก็เป็นได้     
24 กันยายน 2556
ต้นจำปูนหลังบ้าน


วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

ความรักของพ่อ


ผมถูกปลุกจากที่นอนขึ้นมากลางดึกด้วยมือของแม่ และบอกว่าเราต้องไปกันแล้ว มือข้างหนึ่งของแม่อุ้มลูกชายอีกคนซึ่งเป็นน้องชายผมไว้ในอ้อมอก มืออีกข้างก็ขเย่าตัวผมเพื่อให้ตื่นเพื่อเตรียมตัวเดินทางไกล ด้วยความที่เป็นเด็ก ผมไม่รู้ว่าแม่กำลังจะทำอะไร หรือมีปัญหาอะไรกับพ่อ สิ่งที่ผมทำได้คือลุกจากที่นอน เดินตามแม่ไปรอรถที่ถนนสุขุมวิทหน้าบ้านเมื่อ  40 ปีก่อนในเวลาค่ำมืดดึกดื่น ด้วยอาการงัวเงีย เพื่อรอขึ้นรถไปโคราชบ้านเกิดของแม่  ซึ่งในเวลานั้นน้องสาวคนเล็กของผมยังไม่มาเกิดเป็นลูกพ่อกับแม่

ผมไม่รู้ว่าแม่จะพาเรา พี่น้องไปโคราชจริง  ๆ โดยทิ้งพี่ชายคนโตให้พ่อเลี้ยงดู  หรือทำไปเพื่อประชดพ่อ แต่หลังจากยืนรอรถอยู่ไม่น่าน พ่อก็เดินมาง้อแม่  ซึ่งเมื่อแม่ยอมรับคำง้อ พ่อจึงจูงมือแม่ซึ่งอุ้มน้องชายคนเล็กกลับเข้าไปในบ้าน โดยมีผมเดินตามก้นแม่ไปด้วยอารมณ์ดีใจที่จะได้นอนต่อเสียที เพราะไม่ได้รับรู้ปัญหาของพ่อกับแม่ที่เกิดขึ้น ด้วยความที่เป็นเด็ก พ่อแม่จะบอกให้ทำอะไร ผมก็ไม่เคยขัดคำสั่งเท่านั้นเอง

พ่อกับแม่เจอกันที่โคราชเวลากลางคืนในงานรื่นเริงซักงานหนึ่งซึ่งแม่เป็นแม่ค้าขายอ้อยขวั้น ขายถั่วต้ม ส่วนพ่อก็เดินทางไปเที่ยว และอาจจะไปมองหาผู้หญิงซักคนเพื่อมาเป็นคู่ชีวิต พอเจอแม่พ่อเลยตัดสินใจและบอกว่าจะพาย่ามาสู่ขอในแม่เพื่อไปเป็นภรรยา ทั้งๆ ที่พูดคุยกันคืนนั้นเป็นคืนแรก พ่อไม่เคยผิดคำพูด ครั้งต่อไปพ่อก็พาย่ามาสู่ขอแม่และแต่งงานในวันที่เดินทางไปถึงโคราช โดยที่แม่กำลังดำนาอยู่เลย  มีคนมาตามแม่ให้ไปแต่งตัวเพื่อจะแต่งงานและเตรียมตัวเดินทางไประยองกับพ่อ เหตุผลหนึ่งที่แม่บอกว่ายอมแต่งงานกับพ่อ เพราะอยากออกไปจากสถานะผู้อาศัยในบ้านตากับยาย ซึ่งตากับยายไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง แต่เป็นคนที่อุปการะแม่ให้มีชีวิตผ่านไปในแต่ละวันเท่านั้น เรื่องการศึกษาไม่ต้องพูดถึง แม่ต้องออกจาก โรงเรียนตั้งแต่อยู่ ป.  เพื่อมาเลี้ยงควายให้ตากับยาย ชีวิตชนบทแบบที่แม่พบเจอไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

พ่อเป็นคนเงียบ ไม่ค่อยแสดงออกด้านความรักมากนัก แต่ผมรับรู้จากคำพูดแม่เสมอว่า พ่อเคยมีคนรักที่สวยชื่อว่า …    แต่ก็เหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จสำหรับหนุ่มสาวทุกยุคทุกสมัยกระมังที่ว่าคนรักกันมักจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ซึ่งพ่อไม่ได้แต่งงานกับแฟนเพราะเค้าไปแต่งงานกับคนที่ดูจะเพียบพร้อมมากกว่า ทั้งฐานะการเงินและรูปร่างหน้าตา  พ่อไม่เคยพูดถึงคนรักอีกเลย ที่ผมรับรู้ได้เพราะหลาย ๆ ครั้งเรื่องแฟนพ่อ มาจากเวลาที่พ่อมีปากเสียงกับแม่  พ่อซึ่งเป้นคนไม่ยอมคนจะไม่ยอมแม่ในหลาย ๆ เรื่อง และจะถียงกันหน้าดำหน้าแดงทุกครั้ง แต่พอแม่โกรธมาก ๆ ก็จะพูดอ้างไปถึงเรื่องคนรักเก่าของพ่อ  มันเหมือนกับราดน้ำลงไปบนกองไฟที่กำลังเผาไหม้ ทุกอย่างเงียบสงบ หยุดนิ่ง พ่อจะเดินหนีและการสนทนาจะหยุดอยู่แค่นั้น เท่านั้นจริง ๆ ไม่มีเสียงจากปากพ่อแม้แต่นิดเดียว  

            “พี่หน่อง พ่อจะไปงานศพป้า…  แฟนเก่าพ่อกับเจ๊ตุ้มนะ”   น้องสาวผมโทรมาบอกในวันหนึ่ง  แม่เค้ารู้หรือเปล่า แล้วแม่เค้าจะให้ไปมั้ย”  ผมถามน้องสาวกลับไป ให้ไปสิพี่หน่อง อีกอย่างพ่อเค้าอยากไปส่งแฟนเค้าครั้งสุดท้ายมั้ง”  น้องสาวผมพูดเจื้อยแจ้วไป แต่มันเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกในลำคอผม ผมนิ่งไปซักพัก ผมนึกถึงความรู้สึกของพ่อในวันที่ผ่านมา  นึกถึงเรื่องความรักของตัวเองที่เคยผิดหวัง  ผมเข้าใจพ่อเดี๋ยวนั้นเองว่า หลาย ๆ ครั้งพ่อสอนด้วยการกระทำ การรักษาคำพูดความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อแฟน ไม่เคยเอาออกมาให้ใครเห็นหรือตัดพ้อต่อว่าคนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตกับพ่อ  “ใครไม่รักลูกพ่อ ก็ช่างเขา เดี๋ยวคนดี ๆ เค้าก็เห็นเอง เขาคงเจอคนที่เหมาะสมกับเค้า เราก็อย่าไปเสียใจอะไรเลยนะ”  พ่อเคยปลอบด้วยคำพูดกับผม ในวันที่ผิดหวังเรื่องความรักและแสดงความท้อแท้ในชีวิตให้พ่อเห็น   

ผมนึกขอบคุณพ่อที่ให้คำสอนดี ๆ ทั้งคำพูดและการประพฤติตัว หากวันนี้ใจยังหวั่นไหวไปกับสิ่งรอบข้าง หวั่นไหวกับคนที่ผ่านเข้ามาให้รู้จักโดยไม่ได้ตั้งใจ  และแต่ละครั้งก็เป็นสาเหตุให้คนที่อยู่ข้างๆ เกิดความระแวงจนเกิดการหึงหวงอยู่ตลอด ผมจะอดทน อดกลั้นแบบที่พ่อทำมาตลอด  40  กว่าปี เพื่อให้คนข้าง ๆ มีความสุข ในขณะเดียวกันก็รักษาความรักที่เคยเกิดขึ้นไว้ข้างในไม่ให้ออกมาทำร้ายใคร ๆ อีก จนกว่าวันสุดท้ายของชีวิตแต่ละคนจะมาพรากไปจากกันตลอดกาล   

20 กันยายน 2556
ต้นจำปูนหลังบ้าน






วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ผู้หญิงคนนั้น


ขณะที่ผมและภรรยากำลังเดินเลือกซื้อของที่แผนกซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าดังย่านงามวงศ์วาน สายตาผมเหลือบไปเห็นผู้หญิงร่างเล็กคนหนึ่งในชุด รปภ. สีฟ้า  ด้วยรูปร่างที่เล็กแกรน ผิวดำคล้ำ และใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้ม แววตาเฉยเมยและกำลังจ้องมองมายังทิศทางที่ผมยืนอยู่ แต่มองผ่านเลยไปไม่ได้จับจุดใดเป็นพิเศษ ร่างกายที่เล็กกว่าปกตินั้น ทำให้ชุดที่สวมใส่ดูหลวม ๆ ไม่เข้ารูป เหมือนเด็กขโมยชุดของแม่มาใส่  ทั้งๆที่ท่าทางแสนธรรมดาที่หญิงคนนั้นยืนอยู่ไม่ไกลจากผมนัก แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผมสะเทือนใจเป็นอย่างมาก ความคิดในหัวผมล่องลอยไป คำถามมากมายถาโถมเข้ามายังหัวของผม เค้าทำไมดูเศร้าจัง เค้ามีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดูหรือเปล่านะ เค้ามีลูกที่ต้องเลี้ยงดูกี่คนนะ เค้าได้รับค่าตอบแทนเป็นจำนวนเท่าไหร่นะ  คำถามมากมายที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำเอาผมตัวสั่น หัวใจเต้นแรงเหมือนใครเอากลองมารัวในอก ผมหันหน้ากลับมามองภรรยาผมที่กำลังเลือกซื้อของกินของใช้ และวางลงในรถเข็น เธอดูมีความสุขที่ได้ออกมากับผม ผมมองสลับเธอกับหญิงคนนั้น  แต่แปลก ผมกลับคิดไปถึงชีวิตที่ผ่านมา โดยเฉพาะนิสัยเกรี้ยวกราดของผมที่คนข้างๆ ต่างยืนยันกันมาตลอดว่า บางครั้งก็น่ากลัว ความไม่ค่อยเกรงใจใครโดยเฉพาะคนที่ทำผิดกับผม ซึ่งผมมักจะคาดคั้นจนคนคนนั้นแทบทนไม่ได้  ความเจ้าอารมณ์ต่างๆ ที่เคยทำยิ่งทำให้ผมแทบจะสะอื้นในลำคอถึงสิ่งที่ผ่านมา หลายๆ ครั้งที่ผมคิดได้รู้ได้ แต่ทำไม่ได้ซักที
ภรรยาผมคงไม่ทันได้สังเกตอาการของผม เธอยังคงเลือกซื้อของและหันมาถามผมถึงสิ่งที่ต้องการเป็นระยะ เธอเป็นคนหน้าตาน่ารัก รูปร่างเล็ก ๆ มีรอยยิ้มให้ผมอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้แต่งงานกับภรรยา แต่ก็ยังไม่วายมีปัญหาความขัดแย้งกันเป็นครั้งคราวด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง สาเหตุส่วนใหญ่ก็คงไม่ต้องเดาว่ามาจากความเอาแต่ใจของผมเอง ความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องต่าง ๆ ที่ต้องเป็นไปตามกฏเกณฑ์ ทั้งๆ ที่บางเรื่องก็ไม่จำเป็นจะต้องเข้มงวดถึงขนาดนั้น แต่ผมก็ไม่ค่อยยินยอม แล้วหลาย ๆ ครั้งก็ต้องกลับมาถามตัวเองเหมือนกันว่า ผมทำแบบนั้นไปทำไม
หลังจากเลือกซื้อสินค้าเสร็จ ผมค่อย ๆ เข็นรถเพื่อนำสินค้าที่เลือกได้ออกไปทางช่องชำระเงิน ผมเข็นรถผ่านไปยังหญิงคนนั้น ที่ยังยืนอยู่ที่เดิม และทอดสายตามองออกไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย  วินาทีนั้นผมคิดในใจว่า ครั้งนี้ขอเป็นอีกครั้งที่จะปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนใจเย็น ควบคุมอารมณ์ตัวเองและมีเหตุผลก่อนที่จะกล่าวสิ่งต่างๆ ที่อาจจะออกไปทำร้ายคนฟังเหมือนที่เคยทำมาหลาย ๆ ครั้ง โดยไม่รู้ตัว  และขอให้เป็นครั้งสุดท้ายด้วยทีเถิด ผมนึกพร้อมทั้งเข็นรถเข็นผ่านไป โดยไม่หันกลับมามองผญิงคนนั้นอีก แต่รูปร่าง หน้าตาของเธอไม่มีวันที่ผมจะลืมลงไปได้เลย



26 สิงหาคม 2556 
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วัชรินทร์ เนินอุไร


"ทำไมย้ายตลาดล่ะ ที่เดิมแพงหรือ  ????"   "ครับผม อยู่ที่เก่าที่สนามกีฬาฯจ.ระยอง อยู่มา 10 ปีดีครับ ย้ายมาอยู่สวนศรีเมือง 2 ปี ไม่ดีครับ ทำได้เท่าไหร่ ให้เขาหมดครับ ค่าใช้จ่ายจำเป็นต่อเดือน ประมาณ 2-3 แสนบาท ปีที่ต้องย้าย ขึ้น 3-4 แสน ถอยก่อนดีกว่าครับ  ต่อไป ย้ายไปปากน้ำระยองครับ
บทสนทนาระหว่างผมกับวัฒน์ที่คุยกันเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาผ่านข้อความใน Facebook  ทำให้ผมรู้ว่าวัฒน์มีความจำเป็นที่ต้องย้ายตลาด ผมได้คุยผ่านวัฒน์ทาง Facebook  ติดตามข่าวสารที่วัฒน์โพสกิจกรรมการดำเนินงานตลาดมือ 2  ตั้งแต่อยู่ที่สวนศรีเมือง จนต้องย้ายมาที่ปากน้ำ ด้วยเหตุผลด้านค่าเช่าที่แพงเกินไป  
ผมรู้จักวัฒน์ครั้งแรกเมื่อครั้งที่น้องวัฒน์มาหลงใหลได้ปลื้มน้องสาวผมที่เป็นลูกอาที่ชากลูกหญ้า แต่ทั้งคู่คงไม่ได้ทำบุญด้วยกันมากระมัง ต่างคนจึงต่างไปมีครอบคครัวของตัวเอง วัฒน์เป็นน้องเนินอุไร ที่พยายามรวมกลุ่ม ตระกูลเนินอุไรเข้าด้วยกัน และ เมื่อมีกิจกรรมในครอบครัว วัฒน์ก็Post  ภาพกิจกรรมของญาติเข้ามาให้ดูอยู่เสมอ ๆ  ในส่วนของการประกอบอาชีพนั้น วัฒน์มีธุรกิจตลาดมือสอง ชื่อ ตลาดเนินอุไร ซึ่งตลาดนี้แหละที่น้อง ๆ ในที่ทำงานผมจะถามผมเสมอ ๆ ว่า พี่หน่อง พี่มีตลาดมือสองด้วยหรือ รวยนะพี่น่ะซึ่งทุกครั้งผมก็ได้แต่หัวเราะออกมาและก็บอกน้องเหล่านั้นไปว่าของน้องที่เป็นญาติทางพ่อน่ะ ยังไงก็ช่วยกันอุดหนุนหน่อยนะ  ถ้าผ่านไปทางระยอง 
ผมเคยพาแฟนไปเที่ยวตลาดมือสองนี้เมื่อปลายปีที่แล้ว  เพื่อจะไปชวนวัฒน์กินข้าวซักมื้อ แต่ก็ไม่เจอเจ้าตัว เลยไม่ได้ทักทายกันเสียที จนกระทั่งเห็นข่าวย้ายจาก Facebook  นั่นแหละถึงได้ถามวัฒน์ไป นอกจากจะทำเรื่องตลาดแล้ว โดยส่วนตัววัฒน์ก็หวังให้ลูกชายเป็นนักฟุตบอลอาชีพและทุ่มเวลาให้กับลูกชายโดยพาตระเวนแข่งบอลพร้อมทั้ง Update  ข้อมูลข่าวสารผ่าน Facebook  อย่างสม่ำเสมอ  น้องสาวผมได้เคยบอกกับผมว่า พี่หน่อง พี่โสฬศ จะขอนัดกินข้าวกัน เมื่อไหร่ดีล่ะ ผมก็เลยบอกรับปากน้องสาวไป แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่ได้ไปกินข้าวด้วยกันเสียที   เพราะต่างยุ่งอยู่กับงานประจำของตัวเอง และระยะหลังผมไม่ได้กลับไประยองบ่อยนัก
ในวันที่ผมกลับมาจากน้ำหนาวเพชรบูรณ์ เพื่อไปทำฝาย ทำโป่งให้ช้าง  ผมเห็นข้อความผ่าน Facebook  ว่าวัฒน์ได้เสียชีวิตลงแล้ว  ผมใจหาย เสียใจ น้องชายคนหนึ่งที่เคยรู้จักกัน เคยเห็นหน้ากัน จากไปอย่างไม่มีวันกลับ สำหรับตระกูลเนินอุไรที่ทำหนังสือพระมามาก คงจะเข้าใจในเรื่องของความเป็นไปของการเกิด แก่ เจ็บตาย เป้นอย่างดี  แต่กับวัฒน์ที่อายุยังน้อย มันเร็วเกินไป
ผมสละเวลาเย็นวันศุกร์และขับรถไประยองเพื่อจะบอกลาน้องวัฒน์ที่วัดเนินพระโดยที่ไม่รู้จักใครเลย แต่สิ่งที่ผลักดันให้ผมมาก็คือ ความเป็นคนจิตใจดี เจตนาดีที่จะสร้างสังคมให้มีความสุขของวัฒน์ การเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่  เป็นหัวหน้าครอบครัวที่รับผิดชอบ เป็นเพื่อนที่ต่อสู้เพื่อสถาบันอันเป็นที่รักของตน สิ่งเหล่านี้วัฒน์ทำและแสดงออกเสมอมา ถึงวันนี้วัฒน์จะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว  แต่วัฒน์จะอยู่ในใจคนที่รู้จักและรักในน้ำใจวัฒน์ตลอดไปไม่เปลี่ยนแปลง

Everything must pass away…
จาก หลานคนหนึ่งของปู่อินทร์ ย่ายิ้ม เนินอุไร ชากลูกหญ้า

8 กรกฎาคม 2556
ต้นจำปูนหลังบ้าน




วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

ที่ไหนซักแห่งอันแสนไกล

ขณะที่ผมกำลังดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้านประมาณ  5  ทุ่ม เสียงจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นแจ้งว่ามีข้อความเข้ามาใหม่  ผมหยิบโทรศัพท์มาดูก็ได้รับข่าวจากยุ้ย เอกเคมีที่ส่งข้อความมาว่า “P’Tong die already 22.40” ผมขยับตัวลุกไปหาภรรยาที่นอนอยู่ในห้องนอนและกอดตัวเธอไว้แน่นพลางบอกว่า เพื่อนเค้าที่ไม่สบายมาช่วงต้นเดือนเมษายนเสียชีวิตแล้วนะเธอพยักหน้ารับรู้และกล่าวเบา ๆ ว่า เค้าเสียใจด้วยนะคุณเทียน เพื่อนคุณคงไปสบายแล้วล่ะ ผมพยักหน้ารับและไม่ได้กล่าวอะไรอีก แต่ในใจคิดถึงชีวิตสมัยเรียนบางแสน คิดถึงต้องผู้จากไป 

ภาพของต้องยังแจ่มชัดในความคิดของผมอยู่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร สมัยเราอยู่ปี  1  ตอนมีกิจกรรมงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ที่บางแสน ต้องจะเป็นคนคอยเตรียมแบบข้อสอบให้เด็ก ๆ ม.ปลายที่จะมาร่วมงานตอบปัญหา ผมเห็นเข้าก็อุทานออกมาว่า ต้อง เก่งจัง พิมพ์ข้อสอบได้ด้วยต้องตอบกลับมาทันทีทันใดว่า เทียน ผมน่ะพวกใช้แรงงาน โน่นคนเก่งน่ะเค้าทำข้อสอบและพิมพ์แบบมาให้ต้องตอบพลางพยักเพยิดหน้าไปทางเก่ง ที่ง่วนอยู่กับเครื่อง Computer Apple 

สมัยอยู่หอ 10  ด้วยกันที่บางแสน ต้องจะถูกเพื่อน ๆ ในหอเรียกว่า พี่ต้อง ผมเคยสงสัยมานานจนวันหนึ่ง ต้องมีโอกาสบอกผมว่า เทียน ผมซิ่วมาจากรามคำแหงน่ะ มาสอบ Entrance  เข้าที่บางแสนได้ น้องๆ เบญจมราชรังสฤษฎิ์ เลยเรียกผมว่าพี่ พวกพี่อ๋องน่ะ เพื่อนผมสมัยเรียนเบญจม ฯ ทั้งนั้นแหละผมพยักหน้ารับรู้และไม่ได้ถามอะไรอีก ต้องเป็นคนเงียบ ๆ อาศัยอยู่หอ 10  โดยห้องต้องจะติดกันกับห้องผมและมีตู้เสื้อผ้าคั่นกลาง ผมกับสมโภชน์จะมีโอกาสต้อนรับต้องเสมอในขณะกินอาหารเย็นแต่ละวัน ต้องจะเข้ามานั่งดูผมกับสมโภชน์กินข้าวกัน และนั่งเมาท์เพื่อน ๆ ร่วมรุ่น  โดยมีกอล์ฟเป็นแขกขาประจำวงกินข้าว แต่ตัวต้องเองจะไม่เคยร่วมวงทานข้าวกับผมเลย ครั้งเดียวที่เห็นต้องมาร่วมกินข้าวด้วยกันคือช่วงที่เราไปจับปูลมจากหาดบางแสนและช่วยกันทอดกินในห้อง ครั้งนั้นแหละที่ผมเห็นต้องมาร่วมวงกินปูลมชุบแป้งทอดโกกิอย่างสนุกสนาน สำหรับมื้อเย็นของต้องนั้น ต้องจะซื้อข้าวกล่องจากร้านประจำมานั่งกินเงียบ ๆ คนเดียวที่ห้องดู TV  ของหอ จากนั้นก็เดินเอาช้อนไปล้างที่ก๊อกน้ำหัวมุมหน้าหอ 10 และเดินหลบหายไปในห้องพักหลังจากเสร็จทุกอย่างแล้ว ด้วยความที่ต้องเป็นคนเงียบ ๆ ทำให้ผมเกรง ๆ ที่จะคุยกับต้องเหมือนกันและพอเอกรัตน์,สุกิจให้ความเคารพต้องที่เป็นรุ่นพี่ เลยทำให้ผมเกรงใจต้องไปใหญ่

ในงานแต่งงานผมเมื่อเดือน กรกฎาคม  2554  ต้องปรากฏตัวในงานแต่งงานของผมอย่างเซอร์ไพร์ซ์ ผมยินดีอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นต้องอยู่ในงาน ทั้งอ้อม หน่องชาย เหน่ง สุกิจ หมู เก่ง เพื่อน ๆ  ที่มาร่วมงานทำให้ผมรู้ว่าผมยังมีเพื่อนดี ๆ ที่พร้อมจะร่วมยินดีในวันพิเศษเสมอ ๆ  ผมสอบถามถึงความเป็นไปในชีวิตของต้อง ต้องพูดด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ ว่าจะแต่งงานกับก้อยในปีถัดไปช่วงปลายปี ผมยิ้มและให้สัญญากับต้องว่า ผมจะไปร่วมงานแต่งงานของต้องอย่างแน่นอน ขอให้ต้องบอกผมเท่านั้นเอง

บางทีชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ    สิ่งทั้งหลายล้วนตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน ต้นเดือนเมษายน 2556 ผมก็ได้รับข่าวจากยุ้ยที่โพสต์ในหน้าเฟซบุ๊คถึงอาการป่วยของต้อง ผมติดตามข่าวของต้องจากเพื่อนที่ผลัดกันเข้ามาอัพเดทข่าวอาการป่วยของต้อง ให้กำลังใจทั้งต้องและก้อยด้วยความห่วงใย ผมสอบถามข่าวจากยุ้ยเป็นระยะ ๆ จนถึงวันที่ต้องจากไปคืนที่  25  เมษายน    สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมทำได้คือขออโหสิกรรมกับเพื่อนต้อง และขอให้ผลบุญที่ต้องได้ทำมาตลอดส่งต้องให้ไปเกิดในที่ที่ดี ๆ มีความสุข มีความสงบในดินแดนสุขาวดีตลอดไป

 

30  เมษายน 2556

ต้นจำปูนหลังบ้าน