วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Team Work

          ผมมีโอกาสไปดูน้อง ๆ   แข่งฟุตบอลกันแมตซ์หนึ่ง โดยเป็นการแข่งขันฟุตบอล 7 คน  น้องหลาย ๆ คนที่เล่นฟุตบอลในทีมมีฝีเท้าที่ดีจนผมคิดไปว่าน่าจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ไม่ยากนัก  แต่น้องในทีมก็บอกกับผมเป็นการออกตัวว่าทีมคู่แข่งเป็นทีมที่เก่งและมีฟอร์มการเล่นที่ดีเช่นกันดังนั้นอาจจะไม่สามารถเอาชนะได้โดยง่าย  แต่ผมก็ยังเชื่อมั่นว่าน้องๆ ของผมนั้นเก่งพอที่จะเอาชนะคู่แข่งได้ไม่ยาก 

          ผมไปถึงสนามก่อนการแข่งขันไม่นานนัก  บรรยากาศรอบข้างดูสดใสร่าเริง หนุ่มสาวหลายคนที่เข้ามาเชียร์ดูน่ารักและชวนมอง อาจจะเพราะเพิ่งเริ่มทำงานกันใหม่ ๆ ภาระหน้าที่การงานยังไม่หนักหน่วงเหมือนคนที่ทำงานมานานก็เป็นได้   เมื่อเริ่มการแข่งขันในครึ่งแรก ทั้ง  2  ทีมก็ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนของทั้งสองทีมก็คือ ทีมของน้องที่ผมตั้งใจไปเชียร์นั้น ไม่สามารถนำลูกฟุตบอลไปให้ถึงศูนย์หน้าเพื่อสร้างโอกาสทำประตูได้มากเท่าที่ควร  อีกทั้งศูนย์หน้าตัวนั้นก็ไม่พยายามลงมารับลูกจากกองกลาง แต่กลับไปยืนรอที่จะยิงประตูที่หน้าประตูอย่างเดียว ดังนั้นลูกฟุตบอลจึงมักจะไปตายอยู่ที่กลางสนามเสมอ ๆ  ผิดกับอีกทีมที่จะเล่นฟุตบอลโดยมีการรับส่งลูกฟุตบอลอย่างแม่นยำ ช่วยกันประสานงาน ทำให้ลูกฟุตบอลถูกส่งไปที่หน้าประตูทีมของน้องผมที่เชียร์บ่อยครั้ง เพียงแต่มันยังไม่ถูกเปลี่ยนเป็นประตูเท่านั้น และเมื่อการแข่งขันในครึ่งแรกจบลงทั้ง  2  ทีมจึงยังเสมอกันอยู่ที่สกอร์  0 : 0  

          เฮ้ย พวกเราเล่นดีแล้ว เดี๋ยวก็ยิงประตูได้”  ผมได้ยินเสียงศูนย์หน้าที่ผมเชียร์นั้นบอกให้กำลังใจกับเพื่อนร่วมทีม ในขณะที่เพื่อน ๆ ที่ทำหน้าที่ดูแลทีมก็พูดเหมือนกันนั่นก็คือ พวกเราเล่นดีแล้ว เดี่ยวก็ยิงได้ ผมรู้สึกเหมือนเห็นภาพตัวเองในอดีตซ้อนขึ้นมา นับครั้งไม่ถ้วน คำพูดที่ว่า เล่นดีแล้ว พวกเรา เอาชนะได้ไม่ต้องห่วงลอยวนอยู่ในความทรงจำ  มันเหมือนผมตื่นจากภวังค์  ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมไม่ได้คิดเหมือนที่เค้าพูด เพราะภาพในครึ่งแรกมันฟ้องอย่างชัดเจนว่าทีมน้องของผมเล่นได้แย่กว่าคู่แข่งมาก และผมแปลกใจว่าผมเห็น แต่คนที่ดุแลทีมไม่ยักกะเห็นเหมือนที่ผมเห็น และก่อนที่จะเริ่มครึ่งหลัง ผมทำนายไว้ในใจว่า ถ้าเล่นอย่างนี้และไม่ปรับเปลี่ยนการส่งลูกฟุตบอลให้ไปถึงกองหน้ามากขึ้น ทีมที่ผมเชียร์คงจะถูกยิงประตูและต้องพบความพ่ายแพ้เป็นแน่ และก็ไม่ได้เกินจากที่ผมคาดหมายนัก เพราะเมื่อทีมกลับไปลงเล่นครึ่งหลัง ทีมที่ผมเชียร์ก็ถูกยิง ประตูและแพ้ไปด้วยสกอร์  0 : 2   ซึ่งเมื่อจบเกมส์การแข่งขัน  ผมสูดลมหายใจลึก ๆ และเดินเข้าไปให้กำลังใจ พร้อมทั้งบอกข้อผิดพลาดกับน้อง ๆ ว่าเพราะอะไร มันคงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนักที่จะมาอธิบายถึงความผิดพลาด เพราะยามทีมแพ้อะไร ๆ มันก็ดูแย่ไปหมด แต่ผมก็ตัดสินใจบอกไป จากนั้นก็เดินไปแสดงความยินดีกับทีมที่ชนะและเดินกลับไปขึ้นรถเพื่อไปหาข้าวมื้อเย็นกิน

          สิ่งบางสิ่งที่ผมเรียนรู้และรับฟังมานาน มันไม่ชัดเท่ากับการที่ผมได้เห็นเหตุการณ์จริงที่ผ่านไป คำว่า Team Work  ผุดขึ้นมาในหัวผมหลังจากการแข่งขันฟุตบอลแมตซ์นั้นจบลง  ทีมที่เอาชนะทีมที่ผมเชียร์นักเตะแต่ละคนไม่ได้มีฝีเท้าเหนือกว่าน้องๆ ผมเลย แต่พอเล่นร่วมกันเป็นทีม แต่ละคนเข้าใจในบทบาทของตน จังหวะไหนควรเข้ามาช่วย จังหวะไหนควรปลีกตัวออกไปรอบอล จังหวะไหนควรจะครองบอล เมื่อเสียการครอบครองลูกบอล ก็ถอยลงไปตั้งรับทั้งทีม  จนทีมสามารถกำชัยชนะเหนือคู่แข่งได้

          ผมขับรถกลับบ้านด้วยอาการหวั่นไหว ตัวสั่นเหมือนตัวเองถูกชกเข้าที่ท้องอย่างเต็มแรง  คิดถึงเรื่องงานที่ผ่านมาของตัวเอง คิดถึงองค์กรที่สังกัด ทุกวันนี้ผมทำงานเป็น  Team Work  ได้ดีแค่ไหนกัน คำตอบนั้นผมรู้อยู่ในใจ  ประเด็นที่ผมต้องตอบตัวเองคือผมจะปรับปรุงตัวเองและองค์กรให้ขับเคลื่อนด้วย Team Work ให้ได้ดีที่สุดได้อย่างไร ถึงจะยังไม่ได้คำตอบหรือแนวทางที่แน่ชัด แต่อย่างน้อยผมก็ตระหนักแล้วว่าจะต้องปรับปรุงตัวถึงจะเหนื่อยและใช้เวลาอีกมากที่จะดำเนินการ ผมก็ยินดี และต้องเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


23  ตุลาคม  2556
  ต้นจำปูนหลังบ้าน
               

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น