ผมมีโอกาสไปดูน้อง ๆ แข่งฟุตบอลกันแมตซ์หนึ่ง
โดยเป็นการแข่งขันฟุตบอล 7 คน น้องหลาย ๆ คนที่เล่นฟุตบอลในทีมมีฝีเท้าที่ดีจนผมคิดไปว่าน่าจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ไม่ยากนัก แต่น้องในทีมก็บอกกับผมเป็นการออกตัวว่าทีมคู่แข่งเป็นทีมที่เก่งและมีฟอร์มการเล่นที่ดีเช่นกันดังนั้นอาจจะไม่สามารถเอาชนะได้โดยง่าย
แต่ผมก็ยังเชื่อมั่นว่าน้องๆ
ของผมนั้นเก่งพอที่จะเอาชนะคู่แข่งได้ไม่ยาก
ผมไปถึงสนามก่อนการแข่งขันไม่นานนัก บรรยากาศรอบข้างดูสดใสร่าเริง
หนุ่มสาวหลายคนที่เข้ามาเชียร์ดูน่ารักและชวนมอง อาจจะเพราะเพิ่งเริ่มทำงานกันใหม่
ๆ ภาระหน้าที่การงานยังไม่หนักหน่วงเหมือนคนที่ทำงานมานานก็เป็นได้ เมื่อเริ่มการแข่งขันในครึ่งแรก ทั้ง 2 ทีมก็ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนของทั้งสองทีมก็คือ
ทีมของน้องที่ผมตั้งใจไปเชียร์นั้น ไม่สามารถนำลูกฟุตบอลไปให้ถึงศูนย์หน้าเพื่อสร้างโอกาสทำประตูได้มากเท่าที่ควร อีกทั้งศูนย์หน้าตัวนั้นก็ไม่พยายามลงมารับลูกจากกองกลาง
แต่กลับไปยืนรอที่จะยิงประตูที่หน้าประตูอย่างเดียว ดังนั้นลูกฟุตบอลจึงมักจะไปตายอยู่ที่กลางสนามเสมอ
ๆ
ผิดกับอีกทีมที่จะเล่นฟุตบอลโดยมีการรับส่งลูกฟุตบอลอย่างแม่นยำ
ช่วยกันประสานงาน ทำให้ลูกฟุตบอลถูกส่งไปที่หน้าประตูทีมของน้องผมที่เชียร์บ่อยครั้ง
เพียงแต่มันยังไม่ถูกเปลี่ยนเป็นประตูเท่านั้น และเมื่อการแข่งขันในครึ่งแรกจบลงทั้ง
2
ทีมจึงยังเสมอกันอยู่ที่สกอร์ 0 : 0
“เฮ้ย
พวกเราเล่นดีแล้ว เดี๋ยวก็ยิงประตูได้”
ผมได้ยินเสียงศูนย์หน้าที่ผมเชียร์นั้นบอกให้กำลังใจกับเพื่อนร่วมทีม
ในขณะที่เพื่อน ๆ ที่ทำหน้าที่ดูแลทีมก็พูดเหมือนกันนั่นก็คือ “พวกเราเล่นดีแล้ว เดี่ยวก็ยิงได้” ผมรู้สึกเหมือนเห็นภาพตัวเองในอดีตซ้อนขึ้นมา
นับครั้งไม่ถ้วน คำพูดที่ว่า “เล่นดีแล้ว” “พวกเรา
เอาชนะได้ไม่ต้องห่วง” ลอยวนอยู่ในความทรงจำ มันเหมือนผมตื่นจากภวังค์ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมไม่ได้คิดเหมือนที่เค้าพูด
เพราะภาพในครึ่งแรกมันฟ้องอย่างชัดเจนว่าทีมน้องของผมเล่นได้แย่กว่าคู่แข่งมาก
และผมแปลกใจว่าผมเห็น แต่คนที่ดุแลทีมไม่ยักกะเห็นเหมือนที่ผมเห็น
และก่อนที่จะเริ่มครึ่งหลัง ผมทำนายไว้ในใจว่า ถ้าเล่นอย่างนี้และไม่ปรับเปลี่ยนการส่งลูกฟุตบอลให้ไปถึงกองหน้ามากขึ้น
ทีมที่ผมเชียร์คงจะถูกยิงประตูและต้องพบความพ่ายแพ้เป็นแน่ และก็ไม่ได้เกินจากที่ผมคาดหมายนัก
เพราะเมื่อทีมกลับไปลงเล่นครึ่งหลัง ทีมที่ผมเชียร์ก็ถูกยิง 2 ประตูและแพ้ไปด้วยสกอร์ 0 : 2 ซึ่งเมื่อจบเกมส์การแข่งขัน ผมสูดลมหายใจลึก ๆ และเดินเข้าไปให้กำลังใจ พร้อมทั้งบอกข้อผิดพลาดกับน้อง
ๆ ว่าเพราะอะไร มันคงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนักที่จะมาอธิบายถึงความผิดพลาด
เพราะยามทีมแพ้อะไร ๆ มันก็ดูแย่ไปหมด แต่ผมก็ตัดสินใจบอกไป
จากนั้นก็เดินไปแสดงความยินดีกับทีมที่ชนะและเดินกลับไปขึ้นรถเพื่อไปหาข้าวมื้อเย็นกิน
สิ่งบางสิ่งที่ผมเรียนรู้และรับฟังมานาน
มันไม่ชัดเท่ากับการที่ผมได้เห็นเหตุการณ์จริงที่ผ่านไป คำว่า Team
Work ผุดขึ้นมาในหัวผมหลังจากการแข่งขันฟุตบอลแมตซ์นั้นจบลง
ทีมที่เอาชนะทีมที่ผมเชียร์นักเตะแต่ละคนไม่ได้มีฝีเท้าเหนือกว่าน้องๆ
ผมเลย แต่พอเล่นร่วมกันเป็นทีม แต่ละคนเข้าใจในบทบาทของตน จังหวะไหนควรเข้ามาช่วย
จังหวะไหนควรปลีกตัวออกไปรอบอล จังหวะไหนควรจะครองบอล เมื่อเสียการครอบครองลูกบอล
ก็ถอยลงไปตั้งรับทั้งทีม จนทีมสามารถกำชัยชนะเหนือคู่แข่งได้
ผมขับรถกลับบ้านด้วยอาการหวั่นไหว
ตัวสั่นเหมือนตัวเองถูกชกเข้าที่ท้องอย่างเต็มแรง
คิดถึงเรื่องงานที่ผ่านมาของตัวเอง คิดถึงองค์กรที่สังกัด
ทุกวันนี้ผมทำงานเป็น Team
Work ได้ดีแค่ไหนกัน
คำตอบนั้นผมรู้อยู่ในใจ
ประเด็นที่ผมต้องตอบตัวเองคือผมจะปรับปรุงตัวเองและองค์กรให้ขับเคลื่อนด้วย
Team Work ให้ได้ดีที่สุดได้อย่างไร ถึงจะยังไม่ได้คำตอบหรือแนวทางที่แน่ชัด
แต่อย่างน้อยผมก็ตระหนักแล้วว่าจะต้องปรับปรุงตัวถึงจะเหนื่อยและใช้เวลาอีกมากที่จะดำเนินการ
ผมก็ยินดี และต้องเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
23 ตุลาคม 2556
ต้นจำปูนหลังบ้าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น