ผมถูกปลุกจากที่นอนขึ้นมากลางดึกด้วยมือของแม่
และบอกว่าเราต้องไปกันแล้ว
มือข้างหนึ่งของแม่อุ้มลูกชายอีกคนซึ่งเป็นน้องชายผมไว้ในอ้อมอก มืออีกข้างก็ขเย่าตัวผมเพื่อให้ตื่นเพื่อเตรียมตัวเดินทางไกล
ด้วยความที่เป็นเด็ก ผมไม่รู้ว่าแม่กำลังจะทำอะไร หรือมีปัญหาอะไรกับพ่อ
สิ่งที่ผมทำได้คือลุกจากที่นอน เดินตามแม่ไปรอรถที่ถนนสุขุมวิทหน้าบ้านเมื่อ
40 ปีก่อนในเวลาค่ำมืดดึกดื่น ด้วยอาการงัวเงีย เพื่อรอขึ้นรถไปโคราชบ้านเกิดของแม่
ซึ่งในเวลานั้นน้องสาวคนเล็กของผมยังไม่มาเกิดเป็นลูกพ่อกับแม่
ผมไม่รู้ว่าแม่จะพาเรา
2 พี่น้องไปโคราชจริง ๆ โดยทิ้งพี่ชายคนโตให้พ่อเลี้ยงดู หรือทำไปเพื่อประชดพ่อ
แต่หลังจากยืนรอรถอยู่ไม่น่าน พ่อก็เดินมาง้อแม่ ซึ่งเมื่อแม่ยอมรับคำง้อ
พ่อจึงจูงมือแม่ซึ่งอุ้มน้องชายคนเล็กกลับเข้าไปในบ้าน
โดยมีผมเดินตามก้นแม่ไปด้วยอารมณ์ดีใจที่จะได้นอนต่อเสียที
เพราะไม่ได้รับรู้ปัญหาของพ่อกับแม่ที่เกิดขึ้น ด้วยความที่เป็นเด็ก
พ่อแม่จะบอกให้ทำอะไร ผมก็ไม่เคยขัดคำสั่งเท่านั้นเอง
พ่อกับแม่เจอกันที่โคราชเวลากลางคืนในงานรื่นเริงซักงานหนึ่งซึ่งแม่เป็นแม่ค้าขายอ้อยขวั้น
ขายถั่วต้ม ส่วนพ่อก็เดินทางไปเที่ยว
และอาจจะไปมองหาผู้หญิงซักคนเพื่อมาเป็นคู่ชีวิต
พอเจอแม่พ่อเลยตัดสินใจและบอกว่าจะพาย่ามาสู่ขอในแม่เพื่อไปเป็นภรรยา ทั้งๆ
ที่พูดคุยกันคืนนั้นเป็นคืนแรก พ่อไม่เคยผิดคำพูด
ครั้งต่อไปพ่อก็พาย่ามาสู่ขอแม่และแต่งงานในวันที่เดินทางไปถึงโคราช
โดยที่แม่กำลังดำนาอยู่เลย
มีคนมาตามแม่ให้ไปแต่งตัวเพื่อจะแต่งงานและเตรียมตัวเดินทางไประยองกับพ่อ เหตุผลหนึ่งที่แม่บอกว่ายอมแต่งงานกับพ่อ เพราะอยากออกไปจากสถานะผู้อาศัยในบ้านตากับยาย
ซึ่งตากับยายไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง
แต่เป็นคนที่อุปการะแม่ให้มีชีวิตผ่านไปในแต่ละวันเท่านั้น
เรื่องการศึกษาไม่ต้องพูดถึง แม่ต้องออกจาก โรงเรียนตั้งแต่อยู่ ป. 2
เพื่อมาเลี้ยงควายให้ตากับยาย
ชีวิตชนบทแบบที่แม่พบเจอไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
พ่อเป็นคนเงียบ
ไม่ค่อยแสดงออกด้านความรักมากนัก แต่ผมรับรู้จากคำพูดแม่เสมอว่า
พ่อเคยมีคนรักที่สวยชื่อว่า … แต่ก็เหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จสำหรับหนุ่มสาวทุกยุคทุกสมัยกระมังที่ว่าคนรักกันมักจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ซึ่งพ่อไม่ได้แต่งงานกับแฟนเพราะเค้าไปแต่งงานกับคนที่ดูจะเพียบพร้อมมากกว่า
ทั้งฐานะการเงินและรูปร่างหน้าตา พ่อไม่เคยพูดถึงคนรักอีกเลย
ที่ผมรับรู้ได้เพราะหลาย ๆ ครั้งเรื่องแฟนพ่อ มาจากเวลาที่พ่อมีปากเสียงกับแม่
พ่อซึ่งเป้นคนไม่ยอมคนจะไม่ยอมแม่ในหลาย ๆ เรื่อง
และจะถียงกันหน้าดำหน้าแดงทุกครั้ง แต่พอแม่โกรธมาก ๆ
ก็จะพูดอ้างไปถึงเรื่องคนรักเก่าของพ่อ
มันเหมือนกับราดน้ำลงไปบนกองไฟที่กำลังเผาไหม้ ทุกอย่างเงียบสงบ หยุดนิ่ง
พ่อจะเดินหนีและการสนทนาจะหยุดอยู่แค่นั้น เท่านั้นจริง ๆ
ไม่มีเสียงจากปากพ่อแม้แต่นิดเดียว
“พี่หน่อง
พ่อจะไปงานศพป้า… แฟนเก่าพ่อกับเจ๊ตุ้มนะ”
น้องสาวผมโทรมาบอกในวันหนึ่ง “แม่เค้ารู้หรือเปล่า แล้วแม่เค้าจะให้ไปมั้ย” ผมถามน้องสาวกลับไป
“ให้ไปสิพี่หน่อง
อีกอย่างพ่อเค้าอยากไปส่งแฟนเค้าครั้งสุดท้ายมั้ง” น้องสาวผมพูดเจื้อยแจ้วไป
แต่มันเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกในลำคอผม ผมนิ่งไปซักพัก
ผมนึกถึงความรู้สึกของพ่อในวันที่ผ่านมา นึกถึงเรื่องความรักของตัวเองที่เคยผิดหวัง
ผมเข้าใจพ่อเดี๋ยวนั้นเองว่า หลาย ๆ ครั้งพ่อสอนด้วยการกระทำ
การรักษาคำพูดความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อแฟน
ไม่เคยเอาออกมาให้ใครเห็นหรือตัดพ้อต่อว่าคนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตกับพ่อ “ใครไม่รักลูกพ่อ ก็ช่างเขา เดี๋ยวคนดี
ๆ เค้าก็เห็นเอง เขาคงเจอคนที่เหมาะสมกับเค้า เราก็อย่าไปเสียใจอะไรเลยนะ”
พ่อเคยปลอบด้วยคำพูดกับผม
ในวันที่ผิดหวังเรื่องความรักและแสดงความท้อแท้ในชีวิตให้พ่อเห็น
ผมนึกขอบคุณพ่อที่ให้คำสอนดี
ๆ ทั้งคำพูดและการประพฤติตัว หากวันนี้ใจยังหวั่นไหวไปกับสิ่งรอบข้าง
หวั่นไหวกับคนที่ผ่านเข้ามาให้รู้จักโดยไม่ได้ตั้งใจ และแต่ละครั้งก็เป็นสาเหตุให้คนที่อยู่ข้างๆ
เกิดความระแวงจนเกิดการหึงหวงอยู่ตลอด ผมจะอดทน อดกลั้นแบบที่พ่อทำมาตลอด 40 กว่าปี เพื่อให้คนข้าง ๆ มีความสุข
ในขณะเดียวกันก็รักษาความรักที่เคยเกิดขึ้นไว้ข้างในไม่ให้ออกมาทำร้ายใคร ๆ อีก
จนกว่าวันสุดท้ายของชีวิตแต่ละคนจะมาพรากไปจากกันตลอดกาล
20 กันยายน
2556
ต้นจำปูนหลังบ้าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น