ผมเดินผ่านแม่ที่กำลังนับเงินที่ได้จากการขายของในตลาดนัดเพื่อเข้าไปนั่งพักในบ้าน สักพักก็มีเสียงร้องเรียกผมดังมาจากแม่ “หน่องมาดูแบงก์ให้แม่หน่อย” ผมรีบลุกจากโซฟาและเดินไปหาแม่โดยไม่ต้องให้ท่านเรียกซ้ำ เมื่อเดินไปถึงจึงเห็นแบงก์ยี่สิบบาทสีเขียวกองอยู่ตรงหน้าแม่ และในมือแม่มีแบงก์ยี่สิบที่ขาดจากความเก่าซึ่งแม่ก็บอกผมในทันทีว่า “แม่หยิบแรงไปหน่อยแบงก์เลยขาด หน่องเอาไปแบงก์ไปต่อมาให้แม่ที” ผมรับเงินที่ขาด 2 ท่อนมาจากมือแม่และเดินเข้าไปหยิบแบงก์ยี่สิบในกระเป๋าสตางค์และเดินเอาไปยื่นให้แม่ แม่รับไปและกล่าวชมว่าผมต่อแบงก์ที่ขาดได้อย่างรวดเร็ว ผมได้แต่อมยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไรและเดินกลับไปในบ้าน สักพักแม่ก็เรียกไปถามว่า ทำไมแบงก์ไม่มีรอยต่อ ไปเอาแบงก์นี่มาจากไหน ผมก็เลยบอกว่า “เงินหน่องเอง แม่เอาไปแทนแบงก์ที่ขาด ส่วนแบงก์ที่ขาดเดี๋ยวหน่องเอาไปแลกที่ธนาคารตอนกลับไปกรุงเทพฯ” เมื่อแม่ได้ฟังก็ไม่พูดอะไรกลับไปนับเงินที่ขายของได้ต่อไปส่วนผมก็กลับไปทำธุระส่วนตัวตามเรื่องตามราว
วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
ธนบัตรขาด
วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
Life is to laugh ชีวิตเป็นเรื่องตลก
จะเป็นเพราะอยู่กับพ่อมานานเกินไปหรือเปล่าไม่รู้จึงทำให้ติดนิสัยบางอย่างมาจากพ่อโดยไม่รู้ตัว สมัยยังเด็ก ๆ เวลาที่ผมไปหาย่าคงที่บ้านท่าน (ย่าคงเป็นน้องสาวย่ายิ้มคุณแม่ของพ่อผม) ย่าคงมักจะพูดถึงพ่อผมเสมอในเรื่องของการรู้คุณค่าของของกิน “พ่อมึงน่ะกินแตงโมเอาช้อนแคะจนมันทะลุไปถึงเปลือกเขียว ๆ กว่าจะทิ้งไปได้เปลือกแทบไม่เหลือ” เสียงย่าคงและสีหน้าที่ยิ้มแย้มยังคงอยู่ในความทรงจำของผมตลอดมา แม่เคยเล่าให้ฟังถึงความใจดีของย่าคงที่ให้ยืมเงินมาปลูกบ้านหลังแรกที่แยกออกมาจากบ้านย่ายิ้มและตั้งอยู่อีกฝั่งของถนนติดข้างวัดหลังจากที่ครอบครัวของพ่อเริ่มใหญ่ขึ้นและมองไปถึงการก่อร่างสร้างตัวกับแม่หลังจากที่พ่อพาย่ายิ้มไปขอแม่ให้มาเป็นภรรยาในปลายปี 2509
ผมมองอาหารที่ภรรยาจัดเตรียมไว้ให้มากจนบางครั้งมากเกินพอสำหรับคนสองคน ทุกอย่างที่ถูกทำขึ้นมันเป็นความตั้งใจของเธอที่อยากจะปรับปรุงฝีมือและดูแลครอบครัวจนทำให้หลาย ๆ ครั้งอาหารที่ยังทานกันไม่หมดจะเหลือข้ามมื้อเสมอ แต่พอผมจะตัดใจทิ้งอาหารที่ยังกินได้ลงถังขยะ เสียงย่าคงก็ดังขึ้นมาในโสตประสาทเหมือนย้ำเตือนให้ผมคิดถึงความยากลำบากและความประหยัดของพ่อ “พ่อมึงน่ะกินแตงโมเอาช้อนแคะจนมันทะลุไปถึงเปลือกเขียว ๆ… ” ก็ถ้าคุณพ่อประหยัดขนาดนี้จนมีเงินส่งให้ลูกเรียนหนังสือครบทั้ง 4 คน แล้วผมจะเอากับข้าวที่ยังกินไม่หมดทิ้งไปได้อย่างไร ถึงมันจะไม่ใช่ยุคที่พ่อเติบโตมาก็เถอะ เลยกลายเป็นว่าถ้าทานอาหารไม่หมดผมจะเก็บอาหารเข้าตู้เย็นและทยอยกินจนหมดจนได้ บางครั้งภรรยาอาจจะไม่เข้าใจว่าผมทำไปทำไม แต่บางเรื่องอยากให้การกระทำของผมสะท้อนให้เธอเห็นมากกว่าไปบอกให้เธอหยุดทำในสิ่งที่รัก ถ้าผมอ้วนก็แค่อออกไปวิ่งเท่านั้นเอง
วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความทรงจำที่แสนสวยงาม
24 ธันวาคม 2560 05:45 น. ผมกับภรรยาพากันเดินออกจากห้องพักภายในรีสอร์ตที่ตั้งอยู่ชายแดนประเทศไทยด้านเหนือสุดที่อ.เชียงแสนเพื่อไปรับสายหมอกยามเช้าที่ริมโขง ระหว่างเดินไปภรรยาถ่ายรูปดอกไม้เล็ก ๆ ที่แทรกตัวขึ้นตามริมทางเดินที่ทอดลาดจากตัวอาคารที่พักไปยังท่าน้ำ อากาศยามเช้าวันนี้สดชื่น อุณหภูมิสบาย ๆ ไม่ถึงกับหนาวมาก เมื่อเดินไปถึงริมโขงก็ใช้เวลากับสายหมอกที่ปกคลุมหนาและดูแม่น้ำโขงไหลผ่านเบื้องหน้าพลางคิดถึงสิ่งที่ทำให้เรามาทั้งสองคนดั้นด้นกันมาจนถึงที่พักแห่งนี้
วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
Abnormal from my friends
สมัยผมเข้าเรียนระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยใกล้กับที่ทำงาน จะมีวิชาที่เกี่ยวกับพื้นฐานภาษาอังกฤษสำหรับเศรษฐศาสตร์ วันหนึ่งผมเข้าเรียนช้าเพราะติดงานที่บริษัทแต่ก็เร่งรีบมาเรียนจนถึงหน้าห้องเรียน ขณะนั้น อ.ผู้สอนกำลังเชคชื่อว่าใครเข้าเรียนหรือไม่เข้าเรียน โดยการขานชื่อเป็นรายบุคคล ถ้าเข้าเรียนคนที่มาก็จะตอบว่า Present แต่ถ้าไม่เข้าเรียนเพื่อนๆ ที่เข้าเรียนก็จะช่วยกันตอบ อ. ผู้สอนว่า Absent ดังนั้น เมื่อ อ. ขานชื่อนักศึกษาก็จะได้ยินเสียงตอบกลับมาเป็นระยะว่า Present , Absent , Present , Present จังหวะนั้นผมกำลังจะเดินเข้ามาในห้อง อ. ขานชื่อว่า มณเฑียร เนินอุไร ทั้งห้องเงียบไปอึดใจ ก่อนที่จะมีเสียงตอบกลับมาจากกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันกับผมเป็นเสียงเดียวกันว่า Abnormal พร้อมทั้งเสียงหัวเราะจากเพื่อนกลุ่มนั้นด้วยอารมณ์เบิกบานเป็นพิเศษ เฮ้อ...
7 มิถุนายน 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน
วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
เชสเตอร์เมืองแห่งความทรงจำ
ผมกับภรรยาก้าวลงจากรถโค้ชเมื่อรถแล่นมาจอดที่หน้าร้านอาหารในเมืองเชสเตอร์ประเทศอังกฤษ สภาพอากาศข้างนอกตัวรถเย็นจนผมรู้สึกหนาวแต่ก็เป็นอากาศที่ทำให้เราทั้งสองมีความสุขกับวันที่สี่ในประเทศอังกฤษที่เราเดินทางมาเที่ยวกับคณะทัวร์ของคุณบี แหลมสิงห์ หลังจากลูกทัวร์ลงมาจากรถหมดทุกคนแล้วก็รับฟังการนัดหมายก่อนที่จะทานข้าวกลางวันกัน “เดี๋ยวทุกท่านเข้าไปซื้อของในร้านลิเวอร์พูลที่อยู่เลยไปทางด้านขวามือตรงโน้นนะครับ ผมให้เวลาทุกท่านซื้อของและเดินเที่ยวถึงบ่ายโมง แล้วเรามาทานอาหารกันที่ร้านนี้กันเวลาบ่ายโมงครึ่ง ร้านนี้เป็นอาหารพื้นเมืองของอังกฤษ ฟิชแอนด์ชิพ” เสียงเจื้อยแจ้วจากชายร่างสูงสมาร์ทใส่แว่นที่เป็นหัวหน้าทัวร์พร้อมรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีทำให้ผมนึกขำได้ทุกที จาก DJ ฟุตบอลที่เคยได้ยินแต่เสียงทางคลื่นวิทยุ FM99 วันนี้มาเป็นหัวหน้าทัวร์เที่ยวเมืองลิเวอร์พูลที่ผมและภรรยาได้มีโอกาสเดินตามความฝันในการมาเที่ยวยังดินแดนห่างไกลอย่างประเทศอังกฤษ
ผมพาภรรยาเดินรับบรรยากาศในเมืองเชสเตอร์ที่เมฆเริ่มก่อตัวด้านบน
ฝนเริ่มปรอยลงมาและก่อนที่เราจะเจอฝนหนักไปกว่านั้นผมกับภรรยาและคณะลูกทัวร์คนอื่น
ๆ ก็เดินเข้าไปในร้านขายของที่ระลึกของทีมลิเวอร์พูล
มันเหมือนกับเราสองคนหลุดไปอีกโลกหนึ่ง ภายในร้านขายสินค้าเป็นร้านขนาดเล็กจัดแถวไว้สำหรับวางสินค้าให้ลูกค้าเดินไว้สองช่องทางซึ่งจะมีสินค้าอย่างเสื้อผ้าและของที่ระลึกเล็ก
ๆ น่ารักแขวนไว้ให้ลูกค้าเลือกซื้อ ผมเดินสำรวจสินค้าภายในร้านอย่างตื่นตาตื่นใจ
ถึงร้านนี้จะมีขนาดเล็กกว่าร้านขายสินค้าที่ตั้งอยู่ข้างสนามแอนฟิลด์ที่เราไปเยือนกันมาเมื่อวานนี้ แต่ร้านนี้ก็ให้บรรยากาศที่อบอุ่นเหมาะกับเมืองเล็ก
ๆ แห่งนี้เป็นอย่างมาก สินค้าชิ้นแรกที่ผมตั้งใจซื้อคือเสื้อทีมเยือนสีดำของลิเวอร์พูลที่เมื่อวานยังลังเลเลยได้เฉพาะเสื้อสีแดงมาตัวเดียว
จากนั้นก็เดินดูสินค้าอื่น ๆ ภายในร้านและเลือกสินค้าอื่น ๆ ที่ถูกใจจนเรียบร้อย
จากนั้นจึงนำเสื้อทีมเยือนไปให้ทางร้านติดเบอร์เสื้อซึ่งแน่นอนว่ามาถึงเมืองเชสเตอร์แล้วชื่อและเบอร์ของนักฟุตบอลที่ผมติดที่จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก
Ian Rush นักเตะกองหน้าหมายเลข
9 ซึ่งเป็นขวัญใจผมตั้งแต่ผมเริ่มเป็นกองเชียร์ The KOP หลังจากแจ้งความประสงค์กับพนักงานขายและชำระเงินค่าสินค้าเรียบร้อยแล้ว
ภรรยาผมก็เดินมาหาผมพร้อมเสื้อเชิ้ตที่เธอเห็นแล้วถูกใจซึ่งราคาก็ไม่สูงมาก
ผมเลยบอกให้เธอซื้อโดยไม่ต้องลังเลเพราะมากันไกลมากและไม่มีโอกาสที่จะซื้อสินค้านี้อีก
ระหว่างที่ผมรอให้จนท.ร้านติดเบอร์เสื้อและชื่อนักเตะ ผมก็เดินดูสินค้าที่สนใจอื่น
ๆ จนภรรยาได้สินค้าครบถ้วนและไปชำระเงิน
ผมเลยเดินไปดูสินค้าที่ภรรยาเลือกซื้อและถามขึ้นว่าทำไมไม่ซื้อเสื้อทีมเยือนสีขาวเพราะเธอถามผมตั้งแต่เมื่อวานแต่สินค้าที่ร้านขายของที่สนามแอนฟิลด์ไม่มี
เธอก็ให้เหตุผลว่าซื้อสินค้ามามากแล้วเลยตัดสินใจไม่ซื้อเพิ่มผมก็ไม่ได้ว่าอะไรและรอให้ภรรยาชำระเงินให้เรียบร้อยและรอรับสินค้าทีติดเบอร์เสื้อและชื่อนักเตะ
จากนั้นเราจึงเดินดูสินค้าภายในร้านต่อไปทั้ง ๆ ที่ร้านก็ไม่ใหญ่
แต่เราก็เดินดูสินค้าราวกับว่าของที่ระลึกทั้งโลกของลิเวอร์พูลมารวมกันอยู่ในร้านนี้
เราใช้เวลาในร้านกันอยู่เกือบสองชั่วโมงแต่ก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อใกล้เวลานัดหมายเราก็เดินออกจากร้านขายสินค้าลิเวอร์พูลเพื่อกลับไปยังร้านอาหารที่คุณบีได้แจ้งไว้ แต่ก่อนจะเดินพ้นหน้าร้านผมหันไปเห็นวิวของเมืองที่เรายังไม่ได้ชื่นชม ทั้งหอนาฬิกาบอกเวลาที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหลังจึงชวนภรรยาถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก “ผมถ่ายรูปให้ครับพี่” เสียงน้องต้นเพื่อร่วมกลุ่มทัวร์ยิ้มอย่างใจดีและบอกให้เราสองสามีภรรยายืนจรงจุดกลางทางเดินซึ่งด้านหลังเป็นหอนาฬิกา น้องต้นถ่ายภาพให้เรียบร้อยแล้วกลุ่มพวกเราก็เดินกลับไปยังร้านอาหารต่อไปในขณะที่สายฝนที่เราทั่งคู่เจอก่อนเดินเข้าร้านขายสินค้าก็ยังโปรยปรายแบบละอองและหยุดในที่สุดซึ่งช่วยตอกย้ำความเป็นอากาศแบบอังกฤษได้เป็นอย่างดี
ภายในร้านอาหาร เราเข้าไปนั่งรออาหารที่โต๊ะซึ่งกรุ๊ปทัวร์ได้จองกับทางร้านไว้แล้ว
เมื่ออาหารมาเสิร์ฟผมก็นั่งมองพิจารณา
ฟิชแอนด์ชิพเป็นแบบนี้เองอาหารที่เสิร์ฟเป็นปลาทอดที่มาพร้อมเฟรนช์ฟรายส์และปีกไก่ทอดโดยมีของหวานเป็นบราวนี่ที่มีไอศครีมรสวนิลาวางมาด้วย 1 ก้อน ทุกคนรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยและถ่ายรูปอาหาร ถ่ายรูปเซลฟี่ในร้านอย่างสนุกสนานและเมื่ออาหารจานสุดท้ายหมดลงก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเดินทางต่อไปยัง
Outlet ขายสินค้าในเมืองถัดไป ผมกับภรรยาและลูกทัวร์คนอื่น ๆ ทยอยเดินออกไปรอรถโค้ชบริเวณที่ถัดเลยจากร้านไป
ก่อนที่รถจะมารับกลุ่มทัวร์เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกบริเวณที่เรารอรถ เมืองเชสเตอร์เป็นเมืองเล็ก ๆ
ที่ผมได้ยินชื่อมาตั้งแต่เป็นเด็กเพราะ Ian Rush มาเริ่มอาชีพนักฟุตบอลครั้งแรกที่สโมสรเชสเตอร์ในเมืองนี้
วันนี้ได้มีโอกาสมาเยือนและใช้เวลาช่วงสั้น ๆ เพียงครึ่งวันแต่ก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดและเกิดเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจ ก่อนที่รถโค้ชจะเคลื่อนตัวออกไปจากเมืองผมหันไปมองตึกรามบ้านช่องเป็นครั้งสุดท้ายพลางนึกในใจว่าผมจะพาภรรยากลับมาเยือนเมืองเล็ก
ๆ แห่งนี้อีกครั้งหนึ่งแน่นอน
5 กรกฎาคม
2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน
วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
ถีงวันหนึ่งผมก็ต้องจากโลกใบนี้ไป
มองภาพถ่ายใบเก่าด้วยความรู้สึกคิดถึงคนในภาพ คุณทวดที่ผมได้มีโอกาสอาบน้ำให้ในวันสงกรานต์และมีอายุยืนถึง 100 ปีจนจากไปในปี 2526 ยืนถ่ายภาพคู่กับลูกสาวสองคน คนหนึ่งเป็นคุณแม่ของพ่อผมหรือคุณย่าผม ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นน้องสาวของคุณย่า คุณปู่ที่มีสถานะเป็นลูกเขยของคุณทวดยืนข้างคุณย่า ส่วนคนที่เหลือทั้งหมดเป็นรุ่นหลานของคุณทวดแต่เป็นลูกของคุณย่าทั้งสองคน วัดชากลูกหญ้าที่เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของคนในตระกูลคุณทวดทำให้ผมยิ้มภูมิใจทุกครั้งที่เดินเข้ามาบริเวณวัดและรู้สึกชื่นชมคุณทวด คุณปู่ คุณย่าที่ได้เสียสละที่ดินและแรงกายในการสร้างวัดให้เกิดขึ้นมา คุณทวดมุ่งมั่นและศรัทธาในพระพุทธศาสนามากจนถ่ายทอดมาถึงลูกและหลานและมันคงส่งผลมาถึงผมที่เป็นรุ่นเหลน สิ่งที่เป็นเสมือนตัวแทนคุณทวด คุณปู่ คุณย่าเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้ผมระลึกอยู่เสมอว่าถ้าจะทำอะไรก็ขอให้นึกถึงสิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นความภูมิใจของตระกูลที่ร่วมกันสร้างขึ้นมา อย่าทำตัวเหลวไหลจนคนทั่วไปตราหน้าว่าเป็นลูกหลานของทวดและปู่ย่าที่ทำตัวไม่ได้เรื่อง ไม่สมกับที่ได้เกิดมาในตระกูลนึ้