วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ธนบัตรขาด

ผมเดินผ่านแม่ที่กำลังนับเงินที่ได้จากการขายของในตลาดนัดเพื่อเข้าไปนั่งพักในบ้าน สักพักก็มีเสียงร้องเรียกผมดังมาจากแม่ “หน่องมาดูแบงก์ให้แม่หน่อย” ผมรีบลุกจากโซฟาและเดินไปหาแม่โดยไม่ต้องให้ท่านเรียกซ้ำ เมื่อเดินไปถึงจึงเห็นแบงก์ยี่สิบบาทสีเขียวกองอยู่ตรงหน้าแม่ และในมือแม่มีแบงก์ยี่สิบที่ขาดจากความเก่าซึ่งแม่ก็บอกผมในทันทีว่า “แม่หยิบแรงไปหน่อยแบงก์เลยขาด หน่องเอาไปแบงก์ไปต่อมาให้แม่ที” ผมรับเงินที่ขาด 2 ท่อนมาจากมือแม่และเดินเข้าไปหยิบแบงก์ยี่สิบในกระเป๋าสตางค์และเดินเอาไปยื่นให้แม่ แม่รับไปและกล่าวชมว่าผมต่อแบงก์ที่ขาดได้อย่างรวดเร็ว ผมได้แต่อมยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไรและเดินกลับไปในบ้าน สักพักแม่ก็เรียกไปถามว่า ทำไมแบงก์ไม่มีรอยต่อ ไปเอาแบงก์นี่มาจากไหน ผมก็เลยบอกว่า “เงินหน่องเอง แม่เอาไปแทนแบงก์ที่ขาด ส่วนแบงก์ที่ขาดเดี๋ยวหน่องเอาไปแลกที่ธนาคารตอนกลับไปกรุงเทพฯ” เมื่อแม่ได้ฟังก็ไม่พูดอะไรกลับไปนับเงินที่ขายของได้ต่อไปส่วนผมก็กลับไปทำธุระส่วนตัวตามเรื่องตามราว




เรื่องแบงก์ขาดหากเป็นสมัยก่อนผมคงรีบหาเทปใสมาต่อแบงก์ให้ติดและพยายามปล่อยมันกลับไปในตลาดให้กับใครซักคน ซึ่งใครคนนั้นผมคงไม่สนใจหรอกว่าเขาจะเอาเงินนั้นไปใช้ต่อได้หรือไม่ ขอเพียงมันไม่อยู่ในมือผมก็พอแล้ว แต่พอมาถึงวันหนึ่งหลายสิ่งในชีวิตสอนเราให้เราคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นมากขึ้น ก็ในเมื่อเรายังไม่ต้องการของไม่ดีเลย แล้วคนอื่นที่เขามีความรู้สึกนึกคิดเหมือนเรา เขาก็คงไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้นเหมือนกันนั่นแหละ อะไรที่มันแย่ทำไมไม่ให้มันจบอยู่ที่ตัวเราล่ะ สุดท้ายแบงก์ขาดใบนั้นก็ยังคงอยู่ติดกระเป๋าเรื่อยมาเพราะหลายครั้งที่ผ่านธนาคารพอคิดจะเข้าไปใช้บริการก็มีคนรอคิวค่อนข้างมากจนไม่มีโอกาสได้แลกกลับมาเป็นแบงก์ปกติเสียที




31 กรกฎาคม 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Life is to laugh ชีวิตเป็นเรื่องตลก

จะเป็นเพราะอยู่กับพ่อมานานเกินไปหรือเปล่าไม่รู้จึงทำให้ติดนิสัยบางอย่างมาจากพ่อโดยไม่รู้ตัว สมัยยังเด็ก ๆ เวลาที่ผมไปหาย่าคงที่บ้านท่าน (ย่าคงเป็นน้องสาวย่ายิ้มคุณแม่ของพ่อผม) ย่าคงมักจะพูดถึงพ่อผมเสมอในเรื่องของการรู้คุณค่าของของกิน “พ่อมึงน่ะกินแตงโมเอาช้อนแคะจนมันทะลุไปถึงเปลือกเขียว ๆ กว่าจะทิ้งไปได้เปลือกแทบไม่เหลือ” เสียงย่าคงและสีหน้าที่ยิ้มแย้มยังคงอยู่ในความทรงจำของผมตลอดมา แม่เคยเล่าให้ฟังถึงความใจดีของย่าคงที่ให้ยืมเงินมาปลูกบ้านหลังแรกที่แยกออกมาจากบ้านย่ายิ้มและตั้งอยู่อีกฝั่งของถนนติดข้างวัดหลังจากที่ครอบครัวของพ่อเริ่มใหญ่ขึ้นและมองไปถึงการก่อร่างสร้างตัวกับแม่หลังจากที่พ่อพาย่ายิ้มไปขอแม่ให้มาเป็นภรรยาในปลายปี 2509



ผมมองอาหารที่ภรรยาจัดเตรียมไว้ให้มากจนบางครั้งมากเกินพอสำหรับคนสองคน ทุกอย่างที่ถูกทำขึ้นมันเป็นความตั้งใจของเธอที่อยากจะปรับปรุงฝีมือและดูแลครอบครัวจนทำให้หลาย ๆ ครั้งอาหารที่ยังทานกันไม่หมดจะเหลือข้ามมื้อเสมอ แต่พอผมจะตัดใจทิ้งอาหารที่ยังกินได้ลงถังขยะ เสียงย่าคงก็ดังขึ้นมาในโสตประสาทเหมือนย้ำเตือนให้ผมคิดถึงความยากลำบากและความประหยัดของพ่อ “พ่อมึงน่ะกินแตงโมเอาช้อนแคะจนมันทะลุไปถึงเปลือกเขียว ๆ… ” ก็ถ้าคุณพ่อประหยัดขนาดนี้จนมีเงินส่งให้ลูกเรียนหนังสือครบทั้ง 4 คน แล้วผมจะเอากับข้าวที่ยังกินไม่หมดทิ้งไปได้อย่างไร ถึงมันจะไม่ใช่ยุคที่พ่อเติบโตมาก็เถอะ เลยกลายเป็นว่าถ้าทานอาหารไม่หมดผมจะเก็บอาหารเข้าตู้เย็นและทยอยกินจนหมดจนได้ บางครั้งภรรยาอาจจะไม่เข้าใจว่าผมทำไปทำไม แต่บางเรื่องอยากให้การกระทำของผมสะท้อนให้เธอเห็นมากกว่าไปบอกให้เธอหยุดทำในสิ่งที่รัก ถ้าผมอ้วนก็แค่อออกไปวิ่งเท่านั้นเอง
生 活 是 笑 话 别 哭 着 听 它
เฉ่ง ฮวย ซี เซี้ยว ฮัว ไป๊ คู ฉี่ ทิ้ง ทา
ชีวิตเป็นเรื่องตลก อย่าร้องไห้ถ้าได้รับฟัง

20 กรกฎาคม 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความทรงจำที่แสนสวยงาม

24 ธันวาคม 2560 05:45 น. ผมกับภรรยาพากันเดินออกจากห้องพักภายในรีสอร์ตที่ตั้งอยู่ชายแดนประเทศไทยด้านเหนือสุดที่อ.เชียงแสนเพื่อไปรับสายหมอกยามเช้าที่ริมโขง ระหว่างเดินไปภรรยาถ่ายรูปดอกไม้เล็ก ๆ ที่แทรกตัวขึ้นตามริมทางเดินที่ทอดลาดจากตัวอาคารที่พักไปยังท่าน้ำ อากาศยามเช้าวันนี้สดชื่น อุณหภูมิสบาย ๆ ไม่ถึงกับหนาวมาก เมื่อเดินไปถึงริมโขงก็ใช้เวลากับสายหมอกที่ปกคลุมหนาและดูแม่น้ำโขงไหลผ่านเบื้องหน้าพลางคิดถึงสิ่งที่ทำให้เรามาทั้งสองคนดั้นด้นกันมาจนถึงที่พักแห่งนี้

ภรรยาผมกำชับมาตั้งแต่ก่อนออกเดินทางจากปทุมธานีมาเที่ยวภาคเหนือว่าต้องไปต้อนรับพี่ตูนที่วิ่งในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” เพื่อให้กำลังใจพี่ตูนและทีมงานที่จังหวัดเชียงรายก่อนพี่ตูนจะสิ้นสุดการวิ่งโครงการก้าวคนละก้าวที่อำเภอแม่สายทำให้ผมต้องวางแผนการเที่ยวให้สัมพันธ์กับการวิ่งของพี่ตูนและคอยติดตามข่าวพี่ตูนอย่างใกล้ชิด ซึ่งวันนี้เป็นวันที่พี่ตูนจะวิ่งผ่านวัดร่องขุ่นก่อนจะเข้าตัวจังหวัดเชียงราย เมื่อผมตรวจดูสถานที่คร่าว ๆ และระยะเวลาแล้วทำให้ผมวางแผนออกจากรีสอร์ตในเวลา 10:00 น. เพื่อไปให้ถึงวัดร่องขุ่นก่อนเที่ยง หลังจากเราสองคนดื่มด่ำกับส่ายหมอกและบรรยากาศกันแล้วผมพาภรรยาไปรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารในรีสอร์ตซึ่งอาหารเช้าในวันที่ตื่นมาในรีสอร์ตเป็นความสุขที่สุดอย่างหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นจากภรรยา มันเหมือนช่วงเวลาที่สงบ อบอุ่น ผมชอบมองภรรยาเดินไปตักอาหารและนำกลับมาถ่ายรูปอวดเพื่อนในเฟสบุ๊คส่วนตัวของเธอโดยแทบทุกครั้งเธอจะ Tag มาหาผมด้วยนัยว่าผมมีเพื่อนเยอะจะได้ช่วยกันเข้ามาดูรูปและกด Like
เราออกจากรีสอร์ตและเดินทางไปถึงวัดร่องขุ่นเกือบเที่ยง ถึงตอนนั้นทุกอย่างดูชุลมุนวุ่นวายซึ่งคณะก้าวคนละก้าวและพี่ตูนเข้าไปในบริเวณวัดแล้ว รถยนต์จำนวนมากวิ่งเข้าติดกันที่ถนนผ่านวัด ผมประเมินแล้วว่าคงไม่สามารถเอารถไปจอดในวัดได้แน่จึงบอกภรรยาให้ลงจากรถบนถนนใกล้กับอาคารด้านหน้าที่เตรียมรับคณะนักวิ่งเพื่อให้ภรรยาไปซื้อของที่ระลึกกับทีมงานโดยผมขับรถเลยเข้าไปเพื่อหาที่จอดที่ใกล้ที่สุดแต่ก็ต้องขับเลยวัดไปไกลกว่าจะหาที่กลับรถได้และรอให้ภรรยาโทรกลับมาบอกให้ไปรับหลังจากที่ซื้อของที่ระลึกเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วผมก็ขับรถมารับภรรยาและพาออกมาจากวัดโดยตั้งใจจะไปรอให้กำลังใจพี่ตูนที่ข้างทางที่พี่ตูนจะวิ่งผ่านซึ่งห่างจากวัดร่องขุ่นประมาณ 5 กิโลเมตร ซึ่งเมื่อได้ที่จอดรถและที่ยืนรอผมกับภรรยาก็ลงไปรอข้างทาง
เราสองคนติดตามข่าวของพี่ตูนว่าจะออกจากวัดร่องขุ่นกี่โมงผ่านทางเฟสบุ๊ค ซึ่งวันนั้นเกิดความล่าช้าขึ้นอาจจะเพราะการวิ่งมาไกลจนใกล้จุดหมายปลายทางซึ่งทำให้ทีมงานเหนื่อยล้า และวันนี้ก็เป็นวันที่ร้อนมากทั้งๆ เข้าสู่ช่วงปลายเดือนธันวาคมแล้วและเมื่อทางทีมงานยืนยันว่าพี่ตูนจะออกมาจากวัดประมาณบ่ายสามผมกับภรรยาก็ใช้พูดคุยในช่วงที่รอพี่ตูน ซึ่งเรื่องที่คุยก็คือความสุขที่เราเดินทางมาพักผ่อนทางภาคเหนือซึ่งถึงเราจะเดินทางกันมาไกลแต่ก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่พี่ตูนทำให้กับประเทศไทยในช่วงตั้งแต่โครงการก้าวคนละก้าวได้ และเมื่อคณะทีมงานก้าวคนละก้าวเริ่มออกวิ่งออกจากวัดร่องขุนผมกับภรรยาก็ออกไปยืนรอพี่ตูนที่ริมถนนพร้อมทั้งเตรียมเงินไว้ร่วมสมทุบทุนกับทีมงานด้วยหัวใจที่พองโต
สำหรับสิ่งที่ตั้งใจก่อนที่จะเจอหน้าพี่ตูนสำหรับผมก็คือจะยืนปรบมือให้กำลังใจพี่ตูนและทีมงานเท่านั้น จะไม่ไปจับมอไปทึ้งไปกอดแบบที่พี่ตูนเจอมาตลอดทางเพราะเป็นห่วงสภาพร่างกายของพี่ตูนเป็นอย่างมาก และเมื่อขบวนใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ผมก็เริ่มปรบมือให้กำลังใจและกล่าวขอบคุณทีมงานที่เดินผ่านหน้าไปทีละท่าน ระหว่างนั้นหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ท่าทางร่าเริงสดใสก็เดินผ่านหน้าเราสองคนพร้อมทั้งรอยยิ้มและยื่นมือมาจับขอจับมือ ผมจ้องมองและยิ้มตอบหญิงสาวคนนั้นพร้อมทั้งเอื้อมมือไปจับให้กำลังใจซึ่งภรรยาก็ทำอย่างเดียวกันเมื่อหญิงสาวคนนั้นเดินผ่านไปผมก็ถามภรรยาว่าใครกันที่เราทั้งคู่จับมือด้วย และก็ถึงบางอ้อเมื่อหญิงสาวคนนั้นหันมายิ้มสดใสก่อนเดินจากไปนี่เราสองคนเพิ่งจะจับมือกับหมอเมย์ไปนี่เอง จากนั้นเสียงเสียงคุณโน้ต อุดมประกาศจากไมค์โครโฟนดังใกล้เข้ามาที่ที่ผมยืนรอ ผมเร่งปรบมือให้กำลังใจและกล่าวขอบคุณนักวิ่งทุกคนน้องนายลูกแม่หมูพิมพ์ผกาวิ่งเหยาะ ๆ พาหน้าหล่อ ๆ เข้ามาใกล้ให้ภรรยาผมร้องทักจนเสียงหลง ส่วนผมมองหาชายคนที่ผมกับภรรยารอมาทั้งสัปดาห์ ทันใดนั้นใบหน้าผอมหนวดเครารุงรังก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามาใกล้จนเห็นหน้าชัดเจน เมื่อมาประจันหน้ากันจริง ๆ พี่ตูนเอื้อมมือมาขอแปะมือผม ผมลืมครามตั้งใจทั้งหมดที่จะไม่รบกวนพี่ตูนโดยการยื่นมือไปสัมผัสมือชายหนุ่มร่างผอมบางใบหน้าโทรมไปด้วยเหงื่อแต่แววตาสดใส ชั่ววินาทีหลังสัมผัสมือพี่ตูนก็วิ่งจากไปทิ้งไว้แต่ความทรงจำที่ฝังลึกเข้าไปในหัวใจและยังคงลุกโชนในความรู้สึกของผมจนถึงทุกวันนี้




ถึงวันนี้มีเสียงก่นด่าพี่ตูนเรื่องการไม่ออกมา Call Out จากคนที่หวังผลทางการเมือง เอาเรื่องการวิ่งของพี่ตูนมาแซะตามช่องทางโซเชียลมีเดียผมเห็นแล้วอยากโต้ตอบแต่ก็คงเปล่าประโยชน์ คนที่ทำอะไรยิ่งใหญ่มามากอย่างพี่ตูนคงไม่สนใจอะไรคนเหล่านี้แต่พี่ตูนคงเจ็บข้างในเมื่อเห็นคนในวงการเดียวกันดาหน้าออกมารุมแทะเหมือนหมาป่าหิวโซ ผมทำได้ก็เป็นเพียงช่วยส่งกำลังใจให้พี่ตูนพร้อมทั้งสนับสนุนสิ่งดี ๆ ที่พี่ตูนทำต่อไป ใครไม่เห็นสิ่งดีๆ ที่พี่ตูนทำแต่ผมกับภรรยาเห็นมาด้วยตาตัวเองที่เชียงรายเมื่อ 4 ปีก่อนและยังประทับใจมาถึงวันนี้ ขอให้พี่ตูนทำดีต่อไป ยังมีคนไทยที่รักชาติอยู่ข้าง ๆ พี่ตูนอยู่เสมอ

13 กรกฎาคม 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Abnormal from my friends

                                สมัยผมเข้าเรียนระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยใกล้กับที่ทำงาน จะมีวิชาที่เกี่ยวกับพื้นฐานภาษาอังกฤษสำหรับเศรษฐศาสตร์ วันหนึ่งผมเข้าเรียนช้าเพราะติดงานที่บริษัทแต่ก็เร่งรีบมาเรียนจนถึงหน้าห้องเรียน ขณะนั้น อ.ผู้สอนกำลังเชคชื่อว่าใครเข้าเรียนหรือไม่เข้าเรียน โดยการขานชื่อเป็นรายบุคคล ถ้าเข้าเรียนคนที่มาก็จะตอบว่า Present แต่ถ้าไม่เข้าเรียนเพื่อนๆ ที่เข้าเรียนก็จะช่วยกันตอบ อ. ผู้สอนว่า Absent ดังนั้น เมื่อ อ. ขานชื่อนักศึกษาก็จะได้ยินเสียงตอบกลับมาเป็นระยะว่า  Present , Absent , Present , Present  จังหวะนั้นผมกำลังจะเดินเข้ามาในห้อง อ. ขานชื่อว่า  มณเฑียร เนินอุไร ทั้งห้องเงียบไปอึดใจ ก่อนที่จะมีเสียงตอบกลับมาจากกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันกับผมเป็นเสียงเดียวกันว่า Abnormal พร้อมทั้งเสียงหัวเราะจากเพื่อนกลุ่มนั้นด้วยอารมณ์เบิกบานเป็นพิเศษ เฮ้อ...





7  มิถุนายน 2564

ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

เชสเตอร์เมืองแห่งความทรงจำ

                                   ผมกับภรรยาก้าวลงจากรถโค้ชเมื่อรถแล่นมาจอดที่หน้าร้านอาหารในเมืองเชสเตอร์ประเทศอังกฤษ สภาพอากาศข้างนอกตัวรถเย็นจนผมรู้สึกหนาวแต่ก็เป็นอากาศที่ทำให้เราทั้งสองมีความสุขกับวันที่สี่ในประเทศอังกฤษที่เราเดินทางมาเที่ยวกับคณะทัวร์ของคุณบี แหลมสิงห์ หลังจากลูกทัวร์ลงมาจากรถหมดทุกคนแล้วก็รับฟังการนัดหมายก่อนที่จะทานข้าวกลางวันกัน  เดี๋ยวทุกท่านเข้าไปซื้อของในร้านลิเวอร์พูลที่อยู่เลยไปทางด้านขวามือตรงโน้นนะครับ   ผมให้เวลาทุกท่านซื้อของและเดินเที่ยวถึงบ่ายโมง  แล้วเรามาทานอาหารกันที่ร้านนี้กันเวลาบ่ายโมงครึ่ง ร้านนี้เป็นอาหารพื้นเมืองของอังกฤษ ฟิชแอนด์ชิพ  เสียงเจื้อยแจ้วจากชายร่างสูงสมาร์ทใส่แว่นที่เป็นหัวหน้าทัวร์พร้อมรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีทำให้ผมนึกขำได้ทุกที จาก DJ  ฟุตบอลที่เคยได้ยินแต่เสียงทางคลื่นวิทยุ FM99  วันนี้มาเป็นหัวหน้าทัวร์เที่ยวเมืองลิเวอร์พูลที่ผมและภรรยาได้มีโอกาสเดินตามความฝันในการมาเที่ยวยังดินแดนห่างไกลอย่างประเทศอังกฤษ

                            ผมพาภรรยาเดินรับบรรยากาศในเมืองเชสเตอร์ที่เมฆเริ่มก่อตัวด้านบน ฝนเริ่มปรอยลงมาและก่อนที่เราจะเจอฝนหนักไปกว่านั้นผมกับภรรยาและคณะลูกทัวร์คนอื่น ๆ ก็เดินเข้าไปในร้านขายของที่ระลึกของทีมลิเวอร์พูล มันเหมือนกับเราสองคนหลุดไปอีกโลกหนึ่ง ภายในร้านขายสินค้าเป็นร้านขนาดเล็กจัดแถวไว้สำหรับวางสินค้าให้ลูกค้าเดินไว้สองช่องทางซึ่งจะมีสินค้าอย่างเสื้อผ้าและของที่ระลึกเล็ก ๆ น่ารักแขวนไว้ให้ลูกค้าเลือกซื้อ ผมเดินสำรวจสินค้าภายในร้านอย่างตื่นตาตื่นใจ ถึงร้านนี้จะมีขนาดเล็กกว่าร้านขายสินค้าที่ตั้งอยู่ข้างสนามแอนฟิลด์ที่เราไปเยือนกันมาเมื่อวานนี้ แต่ร้านนี้ก็ให้บรรยากาศที่อบอุ่นเหมาะกับเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เป็นอย่างมาก สินค้าชิ้นแรกที่ผมตั้งใจซื้อคือเสื้อทีมเยือนสีดำของลิเวอร์พูลที่เมื่อวานยังลังเลเลยได้เฉพาะเสื้อสีแดงมาตัวเดียว จากนั้นก็เดินดูสินค้าอื่น ๆ ภายในร้านและเลือกสินค้าอื่น ๆ ที่ถูกใจจนเรียบร้อย จากนั้นจึงนำเสื้อทีมเยือนไปให้ทางร้านติดเบอร์เสื้อซึ่งแน่นอนว่ามาถึงเมืองเชสเตอร์แล้วชื่อและเบอร์ของนักฟุตบอลที่ผมติดที่จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก  Ian Rush นักเตะกองหน้าหมายเลข 9 ซึ่งเป็นขวัญใจผมตั้งแต่ผมเริ่มเป็นกองเชียร์ The KOP  หลังจากแจ้งความประสงค์กับพนักงานขายและชำระเงินค่าสินค้าเรียบร้อยแล้ว ภรรยาผมก็เดินมาหาผมพร้อมเสื้อเชิ้ตที่เธอเห็นแล้วถูกใจซึ่งราคาก็ไม่สูงมาก ผมเลยบอกให้เธอซื้อโดยไม่ต้องลังเลเพราะมากันไกลมากและไม่มีโอกาสที่จะซื้อสินค้านี้อีก ระหว่างที่ผมรอให้จนท.ร้านติดเบอร์เสื้อและชื่อนักเตะ ผมก็เดินดูสินค้าที่สนใจอื่น ๆ จนภรรยาได้สินค้าครบถ้วนและไปชำระเงิน ผมเลยเดินไปดูสินค้าที่ภรรยาเลือกซื้อและถามขึ้นว่าทำไมไม่ซื้อเสื้อทีมเยือนสีขาวเพราะเธอถามผมตั้งแต่เมื่อวานแต่สินค้าที่ร้านขายของที่สนามแอนฟิลด์ไม่มี เธอก็ให้เหตุผลว่าซื้อสินค้ามามากแล้วเลยตัดสินใจไม่ซื้อเพิ่มผมก็ไม่ได้ว่าอะไรและรอให้ภรรยาชำระเงินให้เรียบร้อยและรอรับสินค้าทีติดเบอร์เสื้อและชื่อนักเตะ จากนั้นเราจึงเดินดูสินค้าภายในร้านต่อไปทั้ง ๆ  ที่ร้านก็ไม่ใหญ่ แต่เราก็เดินดูสินค้าราวกับว่าของที่ระลึกทั้งโลกของลิเวอร์พูลมารวมกันอยู่ในร้านนี้

                           เราใช้เวลาในร้านกันอยู่เกือบสองชั่วโมงแต่ก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อใกล้เวลานัดหมายเราก็เดินออกจากร้านขายสินค้าลิเวอร์พูลเพื่อกลับไปยังร้านอาหารที่คุณบีได้แจ้งไว้ แต่ก่อนจะเดินพ้นหน้าร้านผมหันไปเห็นวิวของเมืองที่เรายังไม่ได้ชื่นชม ทั้งหอนาฬิกาบอกเวลาที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหลังจึงชวนภรรยาถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก ผมถ่ายรูปให้ครับพี่เสียงน้องต้นเพื่อร่วมกลุ่มทัวร์ยิ้มอย่างใจดีและบอกให้เราสองสามีภรรยายืนจรงจุดกลางทางเดินซึ่งด้านหลังเป็นหอนาฬิกา น้องต้นถ่ายภาพให้เรียบร้อยแล้วกลุ่มพวกเราก็เดินกลับไปยังร้านอาหารต่อไปในขณะที่สายฝนที่เราทั่งคู่เจอก่อนเดินเข้าร้านขายสินค้าก็ยังโปรยปรายแบบละอองและหยุดในที่สุดซึ่งช่วยตอกย้ำความเป็นอากาศแบบอังกฤษได้เป็นอย่างดี




                            ภายในร้านอาหาร เราเข้าไปนั่งรออาหารที่โต๊ะซึ่งกรุ๊ปทัวร์ได้จองกับทางร้านไว้แล้ว เมื่ออาหารมาเสิร์ฟผมก็นั่งมองพิจารณา ฟิชแอนด์ชิพเป็นแบบนี้เองอาหารที่เสิร์ฟเป็นปลาทอดที่มาพร้อมเฟรนช์ฟรายส์และปีกไก่ทอดโดยมีของหวานเป็นบราวนี่ที่มีไอศครีมรสวนิลาวางมาด้วย 1 ก้อน ทุกคนรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยและถ่ายรูปอาหาร ถ่ายรูปเซลฟี่ในร้านอย่างสนุกสนานและเมื่ออาหารจานสุดท้ายหมดลงก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเดินทางต่อไปยัง Outlet ขายสินค้าในเมืองถัดไป ผมกับภรรยาและลูกทัวร์คนอื่น ๆ ทยอยเดินออกไปรอรถโค้ชบริเวณที่ถัดเลยจากร้านไป ก่อนที่รถจะมารับกลุ่มทัวร์เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกบริเวณที่เรารอรถ เมืองเชสเตอร์เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ผมได้ยินชื่อมาตั้งแต่เป็นเด็กเพราะ Ian Rush มาเริ่มอาชีพนักฟุตบอลครั้งแรกที่สโมสรเชสเตอร์ในเมืองนี้ วันนี้ได้มีโอกาสมาเยือนและใช้เวลาช่วงสั้น ๆ เพียงครึ่งวันแต่ก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดและเกิดเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจ ก่อนที่รถโค้ชจะเคลื่อนตัวออกไปจากเมืองผมหันไปมองตึกรามบ้านช่องเป็นครั้งสุดท้ายพลางนึกในใจว่าผมจะพาภรรยากลับมาเยือนเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อีกครั้งหนึ่งแน่นอน

 



5 กรกฎาคม 2564

ต้นจำปูนหลังบ้าน

 

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ถีงวันหนึ่งผมก็ต้องจากโลกใบนี้ไป

มองภาพถ่ายใบเก่าด้วยความรู้สึกคิดถึงคนในภาพ คุณทวดที่ผมได้มีโอกาสอาบน้ำให้ในวันสงกรานต์และมีอายุยืนถึง 100 ปีจนจากไปในปี 2526 ยืนถ่ายภาพคู่กับลูกสาวสองคน คนหนึ่งเป็นคุณแม่ของพ่อผมหรือคุณย่าผม ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นน้องสาวของคุณย่า คุณปู่ที่มีสถานะเป็นลูกเขยของคุณทวดยืนข้างคุณย่า ส่วนคนที่เหลือทั้งหมดเป็นรุ่นหลานของคุณทวดแต่เป็นลูกของคุณย่าทั้งสองคน วัดชากลูกหญ้าที่เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของคนในตระกูลคุณทวดทำให้ผมยิ้มภูมิใจทุกครั้งที่เดินเข้ามาบริเวณวัดและรู้สึกชื่นชมคุณทวด คุณปู่ คุณย่าที่ได้เสียสละที่ดินและแรงกายในการสร้างวัดให้เกิดขึ้นมา คุณทวดมุ่งมั่นและศรัทธาในพระพุทธศาสนามากจนถ่ายทอดมาถึงลูกและหลานและมันคงส่งผลมาถึงผมที่เป็นรุ่นเหลน สิ่งที่เป็นเสมือนตัวแทนคุณทวด คุณปู่ คุณย่าเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้ผมระลึกอยู่เสมอว่าถ้าจะทำอะไรก็ขอให้นึกถึงสิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นความภูมิใจของตระกูลที่ร่วมกันสร้างขึ้นมา อย่าทำตัวเหลวไหลจนคนทั่วไปตราหน้าว่าเป็นลูกหลานของทวดและปู่ย่าที่ทำตัวไม่ได้เรื่อง ไม่สมกับที่ได้เกิดมาในตระกูลนึ้

สมัยนั้นคุณพ่อผมแต่งงานแล้วและมีลูกชายคือพี่ชายผมส่วนผมยังไม่เกิด ส่วนอาโต๊งและอาฟุ้งยังเป็นหนุ่มน้อยลูกหลานคุณย่าที่ยังไม่มีครอบครัว ถึงวันนี้ทั้งสามคนจากไปแล้วในเวลาไม่ถึงปีนับจากวันที่พ่อผมจากไป เหลือไว้เพียงความทรงจำในภาพถ่ายและสิ่งดีๆ ที่สร้างไว้คือโบสถ์ด้านหลังของทุกคน ถึงวันหนึ่งผมก็ต้องจากไปเช่นเดียวกับคุณพ่อและการได้เห็นภาพถ่ายใบนี้ก็ช่วยตอกย้ำให้ตระหนักอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าจะทำอะไรก็ให้รีบทำ เวลาบนโลกมันผ่านไปเร็วมาก มากเสียจนวันหนึ่งเราตื่นขึ้นมาแล้วกลายเป็นคนแก่ที่ไม่มีประโยชน์ต่อสังคมนี้อีกต่อไป หรืออาจจะไม่มีโอกาสตื่นขึ้นมาอีกก็ได้



1 กรกฎาคม 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน