วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559

The Young Ones

                วันที่ผมพาพ่อ แม่และหลานสาวไปเดินที่ถนนคนเดินในตัวเมืองภูเก็ตตอนหัวค่ำ และได้นั่งฟังเพลงจากนักดนตรีที่มาเปิดการแสดงโดยมีดนตรี Karaoke เป็นแบ๊คอัพ อยู่ ๆ คุณพ่อก็พูดขึ้นมาว่า ขอเพลง The Young Ones ของ Cliff Richard ผมฟังพ่อพูดแล้วก็คิดไปว่า คุณพ่อรู้จักเพลงสากลด้วยหรือ เพลง The Young Ones ของ Cliff Richard นักดนตรีป๊อปชาวอังกฤษ เพลงนี้ถูกเปิดตัวในต้นยุค 60 (ตอนนั้นคุณพ่อผมอยู่ในวัย 20 ต้น ๆ เท่านั้นเอง) 
                 
                 สำหรับเนื้อเพลง The Young Ones จะมีความหมายโดยสรุปว่า พวกเราที่ยังเป็นหนุ่ม เป็นสาว มีพละกำลังแข็งแรง หากจะทำอะไร ก็ขอให้ทำ อย่ารอไปจนถึงวันพรุ่งนี้ เพราะเราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะมาถึงอีกหรือเปล่า อยากจะใช้ชีวิต อยากจะมีความรัก ก็อย่ารอเวลา วัยหนุ่มสาวของพวกเราไม่ได้ยืนนานตลอดไปหรอก”  หากหวนคิดไปถึงที่คุณพ่อผมยังหนุ่มแน่นในต้นยุค 60 เด็กหนุ่มอย่างคุณพ่อคงได้ฟังเพลงจากสถานีวิทยุ เพลงตามงานวัด ดูภาพยนตร์หนังกลางแปลง ไม่มี You Tube ให้ดู มีเสียงบรรเลงจากวงดนตรี The Shadows อันโด่งดังที่บรรเลงดนตรีด้วยเสียงกีร์ต้าหนักแน่นและเบสทุ้มลึก ตกเย็นคงอาบน้ำแต่งตัว เดินไปแอ่วสาวตามหมู่บ้านใกล้ ๆ คุณพ่อผมหัวใจยังเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอจนถึงวันที่ผมพาไปเดินที่ตัวเมืองภูเก็ต ส่วนผมก็ยังเป็นเด็กน้อยในสายตาพ่ออยู่ตั้งแต่วันที่ผมเกิดจนถึงวันนี้


10 ธันวาคม 2559
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

เรื่องเก่าที่ไม่เคยหายไปจากสังคมไทย


หลังจากอดทนลอกลายหนุมานที่กำลังทะยานกาย หน้าแหงนมองฟ้า อ้าปากหาวเป็นดาวเป็นเดือน จากหนังสือเรียนของชั้น ป. 4 เมื่อปี 2524 จนเสร็จ หัวใจที่พองโตเพราะภูมิใจในฝีมือตนเองจนพาให้เด็กน้อยคนนั้นเอาภาพที่ตั้งใจลอกลายดังกล่าวไปอวดพ่อ ลุงและญาติ ๆ ด้วยหวังจะได้รับคำชมเชยว่าภาพนั้นสวยงามสมกับความตั้งใจของเด็ก 10 ขวบคนหนึ่ง แต่คำพูดจากปากผู้ใหญ่กลับเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับที่เด็กน้อยคาดหวังไว้ “วาดทำไม ของมันมีครู ไม่ดีอย่าทำเลย เดี๋ยวของจะเข้าตัว” “เราไม่ได้เรียนมา วาดไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นอะไรไป” “ของมีครู เราทำไม่ถูกเดี๋ยวมันจะเป็นบ้าได้” หลากหลายความคิดเห็นที่ประเดประดังจากปากญาติมันมากพอที่จะทำให้เด็กคนนั้นเก็บภาพดังกล่าวกลับบ้าน และทำมันสูญหายไปในที่สุด 

หากมองย้อนกลับไป ผมไม่เคยคิดโทษบรรดาญาติๆ ที่ทำให้แรงบันดาลใจ ความฝันวัยเยาว์ที่อาจจะจุดประกายความคิดของเด็กคนหนึ่งหายไป เพราะท่านเหล่าเกิดและเติบโตมากับสังคมเกษตรกรรม การศึกษาระดับประถมศึกษาชั้นปีที่ 4 รวมทั้งความเชื่อ จารีตประเพณีที่ถ่ายทอดกันมาจนทำให้ไม่รู้ว่าต้องสอนอะไรกับเด็กน้อยในวันนั้น แต่กับคนอีกหลาย ๆ คนที่มีโอกาสได้ดูแล พัฒนาคน พัฒนากระบวนการเติบโตของสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะศิลปวัฒนธรรมไทย ทำไมคนเหล่านั้นไม่ปรับตัว ปรับความคิดและต่อยอดของที่เราเรียกกันว่าของชั้นสูงให้สามารถก้าวเดินไปด้วยกันกับวัฒนธรรมที่หลากหลายซึ่งถาโถมเข้ามาสู่สังคมไทยทุกทิศทุกทาง ในขณะที่คนรุ่นใหม่เริ่มถอยห่างออกไปจากความเป็นชาติไทยมากขึ้นทุกที 

"น้องปูนจะเรียนรำไทยนะพี่หน่อง อ้อยไปจ่ายเงินมาแล้ว อ้อยเห็นว่าปูนตั้งใจจริงจังเลยสนับสนุน" คำพูดของน้องสาวดังมาตามสายโทรศัพท์เมื่อหลายเดือนก่อนทำให้ผมอมยิ้มแต่ก็อดแปลกใจในความคิดของหลานตัวน้อยที่วิธีคิดดูจะแตกต่างไปจากคุณแม่และตัวผมเองไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไรเพียงแต่กำชับให้เขาตั้งใจทำสิ่งดังกล่าวอย่างเต็มที่ ถึงวันนี้พอมองไปเห็นอะไร ๆ ที่มันดูแตกต่าง จุดเชื่อมในชีวิตของคนแต่ละรุ่นมันดูจะหายากเข้าทุกทีโดยเฉพาจุดเชื่อมทางวัฒนธรรมที่ต้องส่งผ่านจากคนแต่ละรุ่น แต่สิ่งที่ผมจะไม่ทำเหมือนกับที่โดนกระทำเมื่อยังเด็กก็คือผมจะไม่ไปปิดกั้นความคิดของเด็กน้อยที่ฝันในสิ่งที่สวยงาม และจะปล่อยให้ฝันนั้นเติบโตขึ้นในใจของเด็กน้อยต่อไปจนกว่าเขาจะหาตัวของเขาเจอได้ด้วยตนเอง

23 กันยายน 2559
ต้นจำปูนหลังบ้าน

ระลึกถึงอาจารย์ผู้เป็นที่รักและเป็นผู้ให้ตลอดมา

                    สมัยเรียนชั้น มันธยมศึกษาตอนปลาย ผมมีอาจารย์สอนภาษาอังกฤษท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ผู้หญิงชื่อ  ปันหยี ท่านเป็นคนมีจิตใจดีและเป็นครูในแบบที่เรียกว่าเต็มที่กับการสอนลูกศิษย์ในทุก ๆ ครั้ง  แต่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยรับรู้ความหวังดีของท่านเท่าใดนัก  บางคนเรียนบ้าง ไม่เรียนบ้างไปตามเรื่องและแทบจะไม่เห็นคุณค่าในการสอนภาษาอังกฤษของท่านเลย    ส่วนตัวผมเองพยายามเรียนแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ดีซักที อาจจะเป็นเพราะผมพยายามไม่มากพอหรือเรียนผิดวิธี จนบางครั้งก็คิดไปเองว่า ทำไมมันภาษาอังกฤษมันยากเย็นนักหนา แต่ก็พยายามไม่ทิ้ง วันหนึ่งท่านก็สอนให้พวกผมฟังเพลงต่างประเทศ(ที่พวกเราๆ ท่าน ๆ เรียกกันว่า เพลงฝรั่งนั่นแหละ) และแปลเนื้อหาในเพลงให้ฟัง   ตั้งแต่นั้นมาผมก็ชอบฟังเพลงภาษาอังกฤษ  และพยายามหัดแปล ความหมายจากเพลง ทั้งค้นจากหนังสือ ตั้งใจฟังผ่านเทปคลาสเซ็ท ซึ่งหลาย ๆ เพลงที่ฟังมีความหมายดีมาก  จวบจนวันหนึ่งก่อนจะเรียนจบ ชั้นม. 6  อาจารย์ปันหยีท่านก็เมตตาอวยพรพวกผมด้วยน้ำเสียงแจ่มใสเต็มไปด้วยความรัก ซึ่งผมยังจำน้ำเสียงของ อาจารย์ซึ่งยังคงก้องอยู่ในหูจนถึงทุกวันนี้ว่า นักเรียนคะ ขอให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิตนะคะ ตั้งใจทำทุก ๆ สิ่งให้ดีที่สุด ใครไม่ได้เรียนต่อก็ขอให้ตั้งใจทำงาน ส่วนใครถ้าได้เรียนต่อและไม่รู้จะเขียนจดหมายไปหาใคร ขอให้เขียนจดหมาย และจะเขียนอะไรมาเล่าให้ครูฟังก็ได้นะคะ ครูจะรออ่านค่ะ
                          เวลาผ่านไปปีที่ 1  ปีที่ 2  ในการเรียนในรั้วมหาลัย ผมก็ยังจำคำอาจารย์ได้ไม่ลืม แต่ก็ไม่ได้คิดจะเขียนจดหมายไปเล่าให้อาจารย์ฟังถึงชีวิตความเป็นอยู่อะไร  วันวันก็เรียนบ้าง เล่นบ้าง ไม่ได้จริงจังกับชีวิตนัก เหมือนกับว่าเรียนให้จบๆไป เท่านั้นเอง และใช้เงินก้อนจำนวน  20,000  บาทที่แม่ให้และนำไปฝากธนาคารออมสินตั้งแต่ยังเรียนมัธยมอย่างจำกัด แพราะรู้ว่าจะต้องใช้ถึง  4  ปี  พอกลับมาบ้านก็ไม่ได้คุยกับน้องสาวซึ่งยังเรียนอยู่ที่ ร.ร. มัธยมที่อาจารย์ท่านสอนอยู่  ไม่ได้ถามถึงโรงเรียนเก่า ไม่ได้ถามถึงอาจารย์ ท่านใดเลย ปิดเทอมก็กลับไปอยู่บ้าน พยายามทำงานเก็บเงินเพื่อมาเป็นทุนเรียนต่อในเทอมถัดไป โดยตั้งใจจะขอพ่อแม่ให้น้อยที่สุดบางครั้งพี่ชายผมก็ให้เงินใช้บ้าง จนจบมหาวิทยาลัยออกมาและเข้ามาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ แต่ผมยังจำ อาจารย์ ปันหยีได้ไม่มีลืมและตั้งใจว่าถ้าผ่านไป 10  ปี ผมพอจะมีเงินมีทอง มีอะไรบ้าง จะได้เขียนจดหมายไปหา อาจารย์ พร้อมทั้งอวดถึงความสำเร็จของตัวเอง เท่าที่จะหามาได้ให้ท่านรับรู้  จนกระทั่งวันหนึ่งในปีที่ 10 (2543) หลังจากเรียนจบ ม. ปลายผมจึงเอ่ยปากถามเพื่อนคนหนึ่งว่าอาจารย์ปันหยี ที่เคยสอน ภาษาอังกฤษยังสอนอยู่ที่บ้านฉางหรือเปล่า  เพราะตั้งใจจะเขียนจดหมายไปหา และเล่าเรื่องราว 10  ปีที่ผ่านมา  คำตอบจากเพื่อนทำให้ผมอึ้งไปหมด  เพื่อนบอกว่า อาจารย์ ท่านเป็น มะเร็ง เสียชีวิตไปเมื่อ  2 ปีก่อน
                          ผมใจหายนะ คิดอยู่เสมอว่าถ้าเราเขียนจดหมายไปคุยกับอาจารย์บ้าง ผมอาจจะรู้ว่าท่านเป็นอย่างไร รู้ว่าท่านมีความสุขมั้ยและจะได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมท่านบ้าง (อาจารย์ เป็นคนที่ผมเลือกให้มาแทนคนรับมาลัยในวันแม่แทนแม่ผมในปี 2532 ตอน นั้นแม่ผมป่วยเพราะตกต้นมะม่วง กระดูสันหลังร้าว)    ระยะหลังมาผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ไปนานแล้ว แต่บางทีพอมีเวลามานั่งคิดทบทวนเรื่องของตัวเอง มันก็มักจะผุดขึ้นมาในหัวเป็นเรื่องแรก ๆ  เดี๋ยวนี้เวลาฟังเพลงหรือร้องเพลงสากล ผมจะนึกถึงอาจารย์ปันหยีทุกครั้งเพราะเนื้อหาและถ้อยคำในเพลงที่เราเข้าใจมันมาจากท่านได้เป็นผู้เริ่มให้ตั้งแต่สมัยเรียน
                         เพลงหนึ่งที่ผมชอบฟังและร้องตามไปด้วยคือเพลง  Every time you go away  ของ  Paul young  ซึ่งเนื้อหาหลัก ๆ  ของเพลง เป็นท่อนคอรัสซึ่งเป็นส่วนที่ผมประทับใจมากที่สุด ที่ร้องว่า
Every time you go away
You take a piece of me with you
Every time you go away
You take a piece of me with you

ผมรักอาจารย์ครับ
Everything must pass… away.

29  กันยายน  2559
ต้นจำปูนหลังบ้าน



วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2559

คุณไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินชีวิตใคร

               ตุลาคม 2535 ผมร่วมคณะออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทของมหาวิทยาลัยไปยังจังหวัดชายทะเลภาคตะวันออก การเดินทางไปครั้งนี้ความรู้สึกหลาย ๆ อย่างแตกต่างไปจากเดิม ด้วยวัยที่โตขึ้น คนมากหน้าหลายตาเข้ามาร่วมกันมากกว่าปีก่อน ๆ ความรู้สึกห่างเหินกับคนใหม่ ๆ ที่เข้ามาหรือแม้แต่คนในกลุ่มเดียวกัน การที่ถูกจำกัดเขตการทำงานให้อยู่ภายในภาคของที่ตั้งมหาวิทยาลัย ผมรู้สึกเหมือนการออกไปทำในสิ่งที่เคยทำไปให้เสร็จ ๆ เท่านั้น ถึงตัวจะไปแต่ใจมันล่อยลอยไปไหนก็ไม่รู้
            
                               กิจกรรมที่ทำก็คือการก่อสร้างอาคาร งานก่อสร้างนั้นไม่ยากนัก แต่สิ่งที่ยากในการทำงานนั้นคือไม้ที่เราจัดหาไว้เพื่อนำมาทำเป็นโครงหลังคามีไม่พอ แล้วเราจะหาไม้มาจากไหน เงินทุนก็ไม่เพียงพอ การตัดสินใจที่สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตก็มาถึง ในที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่า เราจะไปหาไม้บนเขาใกล้ ๆ โรงเรียนมาแปรรูปเพื่อทำหลังคา โดยมีชาวบ้านที่มีความชำนาญมาคอยช่วย

                               ผมและเพื่อนๆ รวมทั้งชาวบ้านเดินทางขึ้นไปบนเขา เมื่อไปถึง เราเดินสำรวจเพื่อมองหาต้นไม้ที่ต้องการ สุดท้ายได้ไม้ต้นหนึ่งที่โคนต้นนั้นถูกปลวกแทะจนกินเนื้อไม้ไปถึง 3 ใน 4 ส่วน อาการของต้นไม้หากปล่อยไปไม่ถึงปีก็อาจจะยืนต้นตาย หลังจากปรึกษาและพิจารณากันถี่ถ้วยแล้วจึงตัดสินใจโค่นต้นไม้ต้นนั้นลงมา ขณะที่ชาวบ้านลงเลื่อยยนต์ไปที่โคนต้นไม้นั้น คำถามลอยมาอยู่เต็มหัว เราไปโค่นต้นไม้นั้นทำไม แล้วเราทำถกแล้วหรือ หลังชาวบ้านใช้เลื่อยยนต์เลื่อยที่โคนไม้ไม่ถึง 5 นาที ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นก็ล้มลงไปต่อหน้าต่อตา ความรู้สึกของผมขณะนั้นคือใจหาย เสียดาย สูญเสีย เหมือนมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ในลำคอ พูดไม่ออก ผมไม่รู้ว่าผมและคณะเดินกลับมาถึงที่โรงเรียนเมื่อไหร่ และเย็นนั้นในที่ประชุม ผมเป็นคนหนึ่งที่ร่วมให้ข้อมูลการทำงานกับทีมงาน เหตุผลและเงื่อนไขในการโค่นต้นไม้ หลังจากผมพูดจบ เสียงพี่แก้วนิสิตพยาบาลปี 4 ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบผมเป็นคนที่เรียนวิชาพยาบาล ผมถูกสอนอยู่เสมอว่า คุณไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินว่าคนไข้จะอยู่หรือจะไป หน้าที่ของคุณคือรักษาชีวิตของคนไข้ให้สุดความสามารถ ไม่ใช่ไปตัดสินชีวิตของเขาแทนตัวเขาเอง” ผมฟังพี่แก้วพูดแล้วนิ่งไปนาน ไม่มีเสียงตอบโต้เพราะจำนนในเหตุผลของพี่แก้ว ใช่ ผมไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินชีวิตใคร ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือแม้แต่ต้นไม้ใกล้ตายที่ผมไปโค่นเขาลงมา ถึงจะเพื่อการพัฒนาตามที่ผมคิดว่าดีแล้วก็ตาม


10 กันยายน 2559
ต้นจำปูนหลังบ้าน


วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559

ยากแท้ แต่ไม่เคย


ยากแท้ แต่ไม่เคย
          ผมเขียน ก.ไก่ไม่ได้ครับคุณครู มันยาก  ผมตอบคุณครูประจำชั้นอนุบาลไปอย่างซื่อ ๆ  หลังจากคุณครูสอบถามว่าทำไมไม่ยอมหัดเขียน ก.ไก่ ตามที่คุณครูบอก  คุณครูท่านใจเย็นและตอบกลับมาว่า มณเฑียร ประยงค์เขายังเขียนได้เลย แล้วทำไมมณเฑียรจะเขียนไม่ได้หลังจากพูดจบคุณครูก็เรียกให้ประยงค์เอาสมุดคัดลายมือมาให้ผมดู สิ่งที่ผมเห็นก็คือ ก.ไก่ ตัวโตและโย้ไปโย้มาเขียนอยู่ในบรรทัดเต็มหน้าสมุด ถึงจะดูไม่สวยงาม แต่ก็มองออกว่าเป็นตัว ก.ไก่  ที่ประยงค์เขียนจริง ๆ จากนั้นคุณครูก็ให้ประยงค์เขียน ก.ไก่ ให้ผมดูกับตา  ผมนิ่งไปอึดใจหนึ่งด้วยคิดไม่ถึงว่าเด็กผู้ชายหน้าตาสะลึมสะลือตัวผอมแกรนและดูไม่มีอะไรโดเด่นจะสามารถทำในสิ่งที่ผมคิดว่ายากออกมาได้  ผมเดินกลับมาที่โต๊ะนั่งและหยิบดินสอออกมา พยายามตั้งใจเขียน ก.ไก่ โดยดูรูปแบบจากหนังสือ สุดท้ายผมก็ เขียน ก.ไก่ได้ มันดูไม่ค่อยสวยงามแต่ในใจผมลิงโลดและคิดไปว่า ไม่เห็นจะยากเลย และตัวหนังสือที่ผมเขียนออกมานั้นสวยกว่าของประยงค์ที่ผมไปดูแบบมาซะอีก 
          ผ่านไปหลายปีจนผมลืมเรื่องเขียน ก.ไก่ไปแล้ว  จนวันหนึ่งเพื่อนชื่อประยงค์ก็ขอ Add Friend ใน Facebook เข้ามา ความทรงจำต่าง ๆ สมัยเด็กไหลมาเป็นสายน้ำ ตำแหน่งหัวหน้าห้องสมัยชั้นอนุบาลที่ได้รับมอบหมายจากคุณครูหลังจากหัวหน้าคนแรกที่นั่งข้าง ๆ ผมมาเรียนวันเดียวแล้วก็หยุดยาวไปหลายวันเพราะป่วยจนคุณครูมอบหมายให้ผมเป็นหัวหน้าห้องแทน หลาย ๆ เรื่องที่ผมต้องทำเป็นตัวอย่างให้ลูกน้องดูเพราะไม่มีใครกล้า เรื่องยาก ๆ สมัยเด็กที่ไม่เคยรู้ไม่เคยทำก็ยังผ่านมาตั้งมากมาย จะกลัวอะไรกับสิ่งที่รอเราอยู่ข้างหน้า ขอแต่ตั้งใจทำเถอะ อะไร ๆ ก็คงไม่ยากจนเกินมือ มองเห็นงานที่รออยู่ข้างหน้าแล้วก็ได้แต่นึกขำในความกังวลของตัวเองที่เคยเกิดขึ้น หลวงพ่อจรัญท่านยังเคยบอกไว้เลยว่า ยากแท้ แต่ไม่เคยมันไม่มีอะไรยากจนเกินความสามารถของพวกเราทุกคนหรอก แค่เราไม่เคยทำมันเท่านั้นเอง

4 กันยายน 2559
ต้นจำปูนหลังบ้าน
 


วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ของขวัญ

              พี่ชายผมบวชพระก่อนเข้าพรรษาปี  2531 ปีนั้นผมอายุ 17 ปีแล้ว ถ้าจะบอกว่าอายุย่างเข้าสู่วัยรุ่นเต็มตัวก็ไม่น่าจะผิดนัก สมัยนั้นมีรถจักรยานยนต์ยนต์รุ่นใหม่ ๆ อย่าง Honda Nova, Yamaha Bell R หรือ Suzuki Sprinter  ออกมาวาดลวดลายบนท้องถนนและถูกขับขี่โดยวัยรุ่นที่พ่อแม่พอจะมีเงินซื้อรถให้ลูก ทุกครั้งที่เห็นรถมอเตอร์ไซด์วิ่งผ่าน ความรู้สึกของผม ดูจะล่องลอยไปกับรถจักรายนต์เหล่านั้นจนลับตา และในความเป็นจริงอย่าว่าแต่รถมอเตอร์ไซด์เลย แค่กางเกงยีนส์สวย ๆ สำหรับใส่อวดสาวก็ดูจะเกินเอื้อมเกินไปสำหรับเด็กม.ปลายที่ต้องตั้งใจเรียนและหาทางเข้าไปเรียนในระดับอุดมศึกษาอย่างผม

          วันหนึ่งพระพี่ชายเดินมาหาโยมแม่ที่บ้าน พร้อมสิ่งของในถุงกระดาษ ผมแอบได้ยินพระพี่ชายพูดกับแม่ว่า เด็กมันเป็นวัยรุ่นแล้ว ทำไมไม่หากางเกงยีนส์ให้มันใส่บ้าง ไม่มีเสียงตอบจากแม่ และหากจะให้ผมเดาสิ่งที่แม่คิดและเป็นห่วงก่อนเรื่องอื่น ๆ ก็คือการหาเงินมาเป็นค่าเล่าเรียนให้ลูก ๆ มากกว่าจะหาเสื้อผ้าสวย ๆ ให้ลูกใส่  และจะหาข้าวมาให้ลูกกินอิ่ม ก่อนที่จะหาขนมตามท้องตลาดที่ต้องเสียเงินซื้อมาให้ลูกกินอย่างฟุ้งเฟ้อ ผมได้ฟังเสียงพระพี่ชายแล้วก็นิ่งคิด นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ชายกล่าวถึงผมหลังจากโตกันมาคนทิศละทางตั้งแต่สมัยยังเด็ก 

ก่อนที่พระพี่ชายจะกลับวัด ท่านมอบของขวัญวัยรุ่นชิ้นเดียวในชีวิตให้ผม   เป็นกางเกงยีนส์ยี่ห้อ Lee  สีน้ำเงิน ผมไม่รู้ว่าท่านคิดอะไรในวันนั้น แต่สิ่งที่ทำให้ท่านตัดสินใจซื้อให้อาจจะเป็นสิ่งที่ท่านขาดไปในตอนเป็นวัยรุ่น กางเกงยีนส์ตัวนี้ผมใช้และเก็บรักษาเป็นอย่างดี จนถึงวันที่ได้เข้าเรียนที่บางแสน ก็ยังเอาไปใส่รับน้องจนขาดรุ่งริ่ง เพราะรุ่นพี่สั่งลงน้ำ กลิ้ง วิ่ง ยึดพื้น แทงปลาไหล สุดแล้วแต่จะถูกสั่งให้ทำอะไรในสมัยเรียนอยู่ชั้นปีที่ 1  สุดท้ายเมื่อสภาพยีนส์ขาดจนเกินจะเยีวยา เราจึงแยกจากกันหลังจากใช้ชีวิตร่วมกันมาเกือบ 3 ปี

เวลาผ่านไปหลายปีแล้ว ถึงจะมีงานทำและสามารถหาซื้อกางเกงยีนส์มาเป็นเจ้าของได้มากมาย แต่ผมก็ไม่เคยหวนกลับไปซื้อกางเกงยีนส์ Lee เลยซักครั้ง ไม่ใช่เพราะสินค้าไม่ดี หากแต่อยากจะเก็บความทรงจำดี ๆ ที่ครั้งหนึ่งพี่ชายให้กางเกงยีนส์  Lee  เป็นของขวัญไว้ในใจตลอดไป

28 สิงหาคม 2559
ต้นจำปูนหลังบ้าน



วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ครั้งหนึ่งยังจำได้ที่ B100 – โต้งเป็นเหตุ

ครั้งหนึ่งยังจำได้ที่ B100 – โต้งเป็นเหตุ
ปีที่พวกเรา Quarter Science เริ่มเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒชั้นปีที่ 1 กลุ่มวิชาหนึ่งที่ทุกคนจะต้องเรียนร่วมกันทั้งชั้นปี ก็คือการเรียนวิชาพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ เป็นต้นว่าเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา เพื่อจะเป็นการปูพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ให้แน่นหนา แข็งแรง ขยัน อดทน และในขณะเดียวกันก็เป็นการคัดเลือกนักศึกษาเข้าเรียนในภาควิชาสาขาต่าง ในชั้นปีที่ 2 ต่อไป โดยดูจากเกรดที่แต่ละคนทำได้ในแต่ละวิชาเพื่อนำไปเทียบกับคณะที่เลือก ซึ่งนักศึกษาชั้นปีที่ 1 เกือบ 200 คนต้องมาเข้าเรียนพร้อม ๆ กันในแต่ละวัน เมื่อคนมากห้องที่ใช้สอนนั้นก็ต้องมีขนาดค่อนข้างใหญ่พอจะรองรับนักศึกษาจำนวนดังกล่าวตามไปด้วย ปีที่ผมเรียนปี 1 ห้องที่ใช้ก็คือห้อง B100 ห้อง B100 ที่ว่าเป็นห้องที่ตั้งอยู่ทางหัวตึกชีววิทยา ด้านหลังห้องบริเวณนอกอาคารซึ่งอยู่ใกล้ถนนบริเวณคณะวาริชศาสตร์ จะเป็นสระบัวล้อมรอบไปด้วยดอกไม้ มีต้นหมาก 2- 3 ต้น ลักษณะห้องจะเป็นห้องเดี่ยวและตั้งฉากกับตัวตึก การจัดเรียงโต๊ะนั่ง จะคล้าย ๆ โรงหนัง คือมีที่ว่างหน้าห้อง กระดานดำ และที่นั่งจะค่อย ๆ สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ลักษณะคล้ายกับอัฒจันทร์ไล่ระดับไปยังหลังห้อง สมัยผมเรียน ผมมักจะไปจองเก้าอี้แถวหน้าสุด เพื่อจะได้เห็นกระดานชัด ๆ โดยคู่ซี้ที่ผมไปไหนมาไหนตลอดในปี 1 คือสมโภชน์เอกเคมี โภชน์เป็นเด็กจากแกลง จ.ระยองเหมือนกัน เลยเข้ากันได้ดี เพียงแต่โภชน์จะค่อนข้างเจ้าชู้ ชอบจีบหญิงอื่น ๆ ไปเรื่อยแล้วก็ชอบแกล้งผมโดยการพูดหน้าตายว่าผมไปชอบคนโน้น ชอบคนนี้จนผมเสียหายไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรจริงจังเพราะรู้ว่าเป็นนิสัยขี้แกล้งของเพื่อน

วันหนึ่ง ผมเดินเข้าไปเรียนตามปกติกับโภชน์ที่ห้อง B100 วันนั้นเป็นการสอนวิชาฟิสิกส์ ผมเข้าไปก็เหลือบไปเห็นเด็กหอ 7 โต้งกับชิดซุบซิบอะไรกันอยู่ไม่รู้ คนอื่น ๆ ก็ค่อยๆ ทะยอยเข้ามากันเรื่อย ๆ เพราะใกล้เวลาที่อาจารย์จะเข้าสอน ผมเลือกนั่งบริเวณด้านขวามือของอาจารย์แถวหน้าสุด ซักพักก็มีกลุ่มหนุ่มหน้าสวยเดินตามกันเข้ามา จำได้ชัด ๆ ก็นังเด่น,นังปู พอพวกเจ้าหล่อนเข้ามาถึง ก็จับจองที่นั่งบริเวณตรงกลางห้องประมาณแถวที่ 3 จากหน้าห้อง เมื่ออาจารย์มาถึงเราก็เริ่มเรียนไปตามปกติ ช่วงที่เรียนใกล้จะหมดชั่วโมง มีกระดาษขนาด A4 ถ่ายเอกสารมีข้อความบางอย่างหลายใบ ถูกส่งไปทั่วห้อง โดยเริ่มส่งมาจากกลุ่มที่นั่งหลังห้องสุดด้านหลังผมกับโภชน์ ระหว่างส่งไปเก้าอี้เพื่อน ก็จะเกิดเสียงหัวเราะ คิก ๆ เบา ๆ ผมได้ยินก็เลยหันหลังไปมองด้านหลัง เห็นกลุ่มเด็กแปดริ้ว กอล์ฟ เอกำลังดูเอกสารดังกล่าว โดยเฉพาะกอล์ฟที่อ้าปากเฮฮาตามประสาคนนิสัยร่าเริงไปตามเรื่อง (ผมรู้สึกเลยว่าหน้ากอล์ฟตอนนั้นกวนโอ๊ยสุดๆ) มันทำให้ผมสงสัยว่า มีข้อความอะไรอยู่ในกระดาษใบนั้น ไม่นานเกินรอ กระดาษก็ถูกส่งมาถึงผมกับโภชน์ ผมรีบเอากระดาษดังกล่าวมาวางไว้ที่หนังสือเรียนแล้วแง้มดู สิ่งที่ปรากฏในกระดาษทำเอาผมอดยิ้มไม่ได้ มันเป็นรูปวาดล้อเลียนหน้าคน อดชื่นชมคนวาดไม่ได้ว่า ช่างทำงานชิ้นนี้ได้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน ภาพดังกล่าว มันเป็นภาพหน้านังปู ภาพร่างมีใบหน้าอ้วน ๆ ผมบ๊อบปรกแบบรองทรง ผิวหน้ามีรอยแต้มคล้าย ๆ สิว เป็นจุดใหญ่ ๆ ฟันแสยะนิด ๆ และมีข้อความกำกับในภาพ (ช่างวาดได้เหมือนตัวจริงมาก ๆ ) ซักพักพออาจารย์สอนหนังสือเสร็จก็เดินออกจากห้องไป เท่านั้นแหละเสียงโห่ร้องดังกันสนั่นหวั่นไหว พร้อมทั้งเสียงหัวเราะครื้นเครงดังไปทั่วห้อง B100 ผมก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย โต้งปรบมือเป่าปาก เพราะมันเป็นคนเอาเอกสารต้นแบบไปถ่ายเอกสารมาแจกเอง นานพอสมควรหลังจากพวกเราหัวเราะกัน ผมมองไปยังคนที่ปรากฏในกระดาษ สิ่งที่ผมเห็นมันผิดคาดไปจากความคิด นังปูที่ปกติปากร้าย และด่าไม่ไว้หน้า ก้มหน้าร้องไห้กระซิก กระซิก โดยมีนังเด่นปลอบอยู่ใกล้ ๆ ไม่มีเสียงด่าออกมา ไม่มีคำหยาบคายหลุดออกจากปาก มีแต่น้ำตาจากเพื่อน Sc#15 เราคนหนึ่ง นี่พวกเราทำอะไรกันเกินเลยไปหรือเปล่า ? โต้งที่เมื่อกี้ปรบมือโห่ฮาอยู่ค่อย ๆ เงียบเสียงลง ความเงียบค่อย ๆ ปกคลุมไปทั่ว พวกเพื่อน ๆ ปูก็ค่อย ๆ เข้าไปปลอบให้ปูหายร้องไห้ กระดาษเมื่อสักครู่ค่อย ๆ ถูกรวบรวมไปทิ้ง แต่บางคนก็เอาออกไปนอกห้องแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องบอกหรอกว่าผมเองก็ รู้สึกผิดไปด้วย สอบถามที่มาว่าใครวาด ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากความคาดหมายของผมนัก เดชิด เด็กหอ 7 คือคนสร้างสรรค์งานสุดฮานี้ แต่คนเอามาขยายต่อเป็นโต้งตัวการใหญ่ ข้างนอกห้องพวกเราก็ยังมีคนหัวเราะเฮฮากันทั่ว ๆ ไป ผมกับโภชน์เก็บของออกจากห้อง B100 เพื่อกลับไปยังหอ ระหว่างเดินผ่านกลุ่มเพื่อนด้านนอกก็ยังหัวเราะขบขันไปกับเค้าด้วย ถึงจะผ่านมา 20 ปีแล้ว สิ่งที่ผมเสียดายมากที่สุดคือ ทำไมผมไม่เก็บ Copy นั้นไว้ซักแผ่นนะ เพราะมันทำให้ผมนึกไปถึงวันเวลาที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันนังปูคนในภาพวาดสุดแสนจะคลาสสิคใบนั้น กลายเป็น ดร.ปู อาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยและใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ อยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย

 27 สิงหาคม 2559
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ถ้าครึ่งโลกร้ายที่ฉันถางถาก เป็นครึ่งโลกสวย ขอมอบให้เธอ

                                เช้าวันศุกร์สิ้นเดือนในเดือนที่ดูเหมือนจะยาวนาน ผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตี 5  หลังจากภรรยาปล่อยให้นอนตากยุงอยู่หน้าจอโทรทัศน์ตั้งแต่ 3 ทุ่มคืนวันพฤหัสบดี ผมเดินมาเปิด Notebook  ดูข่าวผ่านหน้า Facebook  สายตาเหลือบไปเห็นซองจดหมายจากธนาคาร 2  ธนาคารบนโต๊ะเลยเปิดดูถึงรู้ว่าเป็นใบแจ้งเงินปันผลจากกองทุนของธนาคารที่ซื้อไว้ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกคิดว่าเป็นใบแจ้งหนี้ ถึงจำนวนเงินที่ทางธนาคารแจ้งจะไม่มากนักเมื่อเทียบกับนิสัยใช้จ่ายแบบไม่ค่อยคิดของผมเองแต่ระหว่างดูรายการเหล่านั้นทำไมผมนึกไปถึงคุณแม่ก็ไม่รู้ ภาพคุณแม่หาบของขาย หาซื้อมะม่วงจากสวนต่าง ๆ เพื่อไปขายส่งให้แม่ค้าที่ตลาดแม่แดงในตัวเมืองระยอง หรือเตรียมของในสวนไปวางขายในตลาดนัดเพื่อเก็บเงินสะสมมาให้ลูกใช้จ่ายเป็นเงินเพื่อศึกษาเล่าเรียนตั้งแต่สมัยที่ลูก ๆ ของแม่ยังเรียนหนังสือกันทั้ง 4  คนลอยมาเต็มหัวไปหมด สิ่งที่น้อยใจในอดีตที่ไม่มีเสื้อผ้าสวย ๆ ไว้สวมใส่ไปอวดเพื่อน ๆ พลอยทำให้น้ำตาไหลมาด้วยความเสียใจ เสียใจที่โง่เขลาว่าอะไรบ้างที่แม่ทำไว้ให้ อะไรบ้างที่แม่หาให้ไม่ได้เพราะต้องเลือกสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตให้กับลูกก่อนนั่นคือการศึกษาและเพิ่งมาเข้าใจเมื่อผ่านชีวิตการทำงานที่ยากลำบากและพบเจอผู้คนหลากหลายที่เวียนผ่านเข้ามาในชีวิต

                     ทุกวันเสาร์หลังจากแม่ขายของเสร็จแล้วจะเป็นวันที่แม่มีความสุขที่สุดในอาทิตย์นั้นเพราะเป็นวันที่แม่ขายของได้เงินมากที่สุด  ภาพคุณแม่นับเงินและแสดงความยินดีออกมาจากแววตาทำให้รู้สึกถึงความสุขที่แม่ได้รับ จนหลาย ๆ ครั้งยังอดแซวแม่ไม่ได้ว่าแม่นั้นรักเงินมากกว่ารักลูก ความมั่นคงปลอดภัยด้านการเงินน่าจะเป็นสิ่งที่แม่นึกถึงหลังจากแต่งงานกับพ่อเพราะแม่เกิดมาในครอบครัวที่ฐานะยากจนทางอิสานที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าวัยเด็กนั้นต้องเจอปัญหาอะไรมาบ้างและต้องอยู่อย่างเจียมตัว แม่ขยันทำมาหากินจนไม่ต้องไปเป็นลูกหนี้ของใคร ทำไมมันช่างแตกต่างจากลูกชายอย่างผมก็ไม่รู้     "เรียนๆ เข้าไป แม่ไม่มีโอกาสเรียน ต้องออกมาเลี้ยงควายให้กับตากับยายตั้งแต่จบชั้น  ป.2"  คำพูดนี้ผมได้ยินตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเรียนจบและมีงานทำและเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คอยดึงตัวผมให้อยู่กับความเป็นจริงที่ว่าผมจะทำให้แม่เหนื่อยเปล่าไม่ได้

                     ผมตรวจดูรายการตามที่แจ้งตามเอกสารและเก็บเอกสารทั้งหมดใส่ซองพลาสติก  ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีและดำเนินไปอย่างที่เป็นได้ทุกวันนี้มันมีจุดเริ่มขึ้นมาตั้งแต่แม่อุ้มท้องผมเมื่อ 46 ปีก่อน  ผมขอบคุณคุณแม่ที่สู้อุตส่าห์ทำงานหนัก เลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ สะสมเงินไว้เพื่อส่งลูกเรียนหนังสือ จนทำให้ผมและน้อง ๆ  ได้มีที่ยืนในสังคมโดยไม่ต้องไปอายใครเขา  วันแม่จะมาถึงอีกปีแล้ว ผมขอให้คุณแม่แข็งแรงสุขภาพดีและเข้าถึงธรรมมะของพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้ง เพื่อเป็นแสงสว่างนำทางชีวิตของแม่ตลอดไป


6 สิงหาคม 2559

ต้นจำปูนหลังบ้าน