วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

ระลึกถึงอาจารย์ผู้เป็นที่รักและเป็นผู้ให้ตลอดมา

                    สมัยเรียนชั้น มันธยมศึกษาตอนปลาย ผมมีอาจารย์สอนภาษาอังกฤษท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ผู้หญิงชื่อ  ปันหยี ท่านเป็นคนมีจิตใจดีและเป็นครูในแบบที่เรียกว่าเต็มที่กับการสอนลูกศิษย์ในทุก ๆ ครั้ง  แต่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยรับรู้ความหวังดีของท่านเท่าใดนัก  บางคนเรียนบ้าง ไม่เรียนบ้างไปตามเรื่องและแทบจะไม่เห็นคุณค่าในการสอนภาษาอังกฤษของท่านเลย    ส่วนตัวผมเองพยายามเรียนแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ดีซักที อาจจะเป็นเพราะผมพยายามไม่มากพอหรือเรียนผิดวิธี จนบางครั้งก็คิดไปเองว่า ทำไมมันภาษาอังกฤษมันยากเย็นนักหนา แต่ก็พยายามไม่ทิ้ง วันหนึ่งท่านก็สอนให้พวกผมฟังเพลงต่างประเทศ(ที่พวกเราๆ ท่าน ๆ เรียกกันว่า เพลงฝรั่งนั่นแหละ) และแปลเนื้อหาในเพลงให้ฟัง   ตั้งแต่นั้นมาผมก็ชอบฟังเพลงภาษาอังกฤษ  และพยายามหัดแปล ความหมายจากเพลง ทั้งค้นจากหนังสือ ตั้งใจฟังผ่านเทปคลาสเซ็ท ซึ่งหลาย ๆ เพลงที่ฟังมีความหมายดีมาก  จวบจนวันหนึ่งก่อนจะเรียนจบ ชั้นม. 6  อาจารย์ปันหยีท่านก็เมตตาอวยพรพวกผมด้วยน้ำเสียงแจ่มใสเต็มไปด้วยความรัก ซึ่งผมยังจำน้ำเสียงของ อาจารย์ซึ่งยังคงก้องอยู่ในหูจนถึงทุกวันนี้ว่า นักเรียนคะ ขอให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิตนะคะ ตั้งใจทำทุก ๆ สิ่งให้ดีที่สุด ใครไม่ได้เรียนต่อก็ขอให้ตั้งใจทำงาน ส่วนใครถ้าได้เรียนต่อและไม่รู้จะเขียนจดหมายไปหาใคร ขอให้เขียนจดหมาย และจะเขียนอะไรมาเล่าให้ครูฟังก็ได้นะคะ ครูจะรออ่านค่ะ
                          เวลาผ่านไปปีที่ 1  ปีที่ 2  ในการเรียนในรั้วมหาลัย ผมก็ยังจำคำอาจารย์ได้ไม่ลืม แต่ก็ไม่ได้คิดจะเขียนจดหมายไปเล่าให้อาจารย์ฟังถึงชีวิตความเป็นอยู่อะไร  วันวันก็เรียนบ้าง เล่นบ้าง ไม่ได้จริงจังกับชีวิตนัก เหมือนกับว่าเรียนให้จบๆไป เท่านั้นเอง และใช้เงินก้อนจำนวน  20,000  บาทที่แม่ให้และนำไปฝากธนาคารออมสินตั้งแต่ยังเรียนมัธยมอย่างจำกัด แพราะรู้ว่าจะต้องใช้ถึง  4  ปี  พอกลับมาบ้านก็ไม่ได้คุยกับน้องสาวซึ่งยังเรียนอยู่ที่ ร.ร. มัธยมที่อาจารย์ท่านสอนอยู่  ไม่ได้ถามถึงโรงเรียนเก่า ไม่ได้ถามถึงอาจารย์ ท่านใดเลย ปิดเทอมก็กลับไปอยู่บ้าน พยายามทำงานเก็บเงินเพื่อมาเป็นทุนเรียนต่อในเทอมถัดไป โดยตั้งใจจะขอพ่อแม่ให้น้อยที่สุดบางครั้งพี่ชายผมก็ให้เงินใช้บ้าง จนจบมหาวิทยาลัยออกมาและเข้ามาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ แต่ผมยังจำ อาจารย์ ปันหยีได้ไม่มีลืมและตั้งใจว่าถ้าผ่านไป 10  ปี ผมพอจะมีเงินมีทอง มีอะไรบ้าง จะได้เขียนจดหมายไปหา อาจารย์ พร้อมทั้งอวดถึงความสำเร็จของตัวเอง เท่าที่จะหามาได้ให้ท่านรับรู้  จนกระทั่งวันหนึ่งในปีที่ 10 (2543) หลังจากเรียนจบ ม. ปลายผมจึงเอ่ยปากถามเพื่อนคนหนึ่งว่าอาจารย์ปันหยี ที่เคยสอน ภาษาอังกฤษยังสอนอยู่ที่บ้านฉางหรือเปล่า  เพราะตั้งใจจะเขียนจดหมายไปหา และเล่าเรื่องราว 10  ปีที่ผ่านมา  คำตอบจากเพื่อนทำให้ผมอึ้งไปหมด  เพื่อนบอกว่า อาจารย์ ท่านเป็น มะเร็ง เสียชีวิตไปเมื่อ  2 ปีก่อน
                          ผมใจหายนะ คิดอยู่เสมอว่าถ้าเราเขียนจดหมายไปคุยกับอาจารย์บ้าง ผมอาจจะรู้ว่าท่านเป็นอย่างไร รู้ว่าท่านมีความสุขมั้ยและจะได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมท่านบ้าง (อาจารย์ เป็นคนที่ผมเลือกให้มาแทนคนรับมาลัยในวันแม่แทนแม่ผมในปี 2532 ตอน นั้นแม่ผมป่วยเพราะตกต้นมะม่วง กระดูสันหลังร้าว)    ระยะหลังมาผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ไปนานแล้ว แต่บางทีพอมีเวลามานั่งคิดทบทวนเรื่องของตัวเอง มันก็มักจะผุดขึ้นมาในหัวเป็นเรื่องแรก ๆ  เดี๋ยวนี้เวลาฟังเพลงหรือร้องเพลงสากล ผมจะนึกถึงอาจารย์ปันหยีทุกครั้งเพราะเนื้อหาและถ้อยคำในเพลงที่เราเข้าใจมันมาจากท่านได้เป็นผู้เริ่มให้ตั้งแต่สมัยเรียน
                         เพลงหนึ่งที่ผมชอบฟังและร้องตามไปด้วยคือเพลง  Every time you go away  ของ  Paul young  ซึ่งเนื้อหาหลัก ๆ  ของเพลง เป็นท่อนคอรัสซึ่งเป็นส่วนที่ผมประทับใจมากที่สุด ที่ร้องว่า
Every time you go away
You take a piece of me with you
Every time you go away
You take a piece of me with you

ผมรักอาจารย์ครับ
Everything must pass… away.

29  กันยายน  2559
ต้นจำปูนหลังบ้าน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น