วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ทรายคืนถิ่น 2556 Part II

               บริเวณจัดงานทรายคืนถิ่นจะเป็นสถานที่ด้านข้างของตึกวิทยาศาสตร์ ซึ่งที่ดินเดิมตรงนี้ สมัยเมื่อ 20  ปีก่อน จะเป็นหนองน้ำที่พวกเราถูกต้อนมาแช่น้ำโดยพวกรุ่นพี่ในเทศกาลรับน้อง ตอนนี้กลายเป็นตึกรูปทรงทันสมัยไปหมดแล้ว  รอบ ๆ บริเวณที่จัดงานจะจัดเป็นซุ้มอาหาร ให้แต่ละคนเดินไปเลือกมาทานที่โต๊ะ  โดยที่ทางเข้าซึ่งเป็นด้านท้ายของงานจะเป็นโต๊ะสำหรับลงทะเบียน คนที่นั่งอยู่ที่ผมจำได้ก็คือพี่แอน Science#13 ซึ่งสมัยนั้นเป็นลีดเดอร์ ของคณะ ผ่านไป 20 ปี พี่แอนก็ยังสวยอยู่เสมอ ไม่เปลี่ยนไปมาก 
หลังจากผม หน่อง พลลงทะเบียนเสร็จ พวกเราเดินไปรวมกลุ่มกับพวกเพื่อน ๆ  ซึ่งรวมกลุ่มอยู่ด้านท้ายของสถานที่จัดงานใกล้ ๆ กับโต๊ะลงทะเบียน  เพราะพวกเรามากันค่อนข้างมาก เลยเอาโต๊ะกลม 4 ตัวมาต่อกันเป็นโต๊ะใหญ่และนั่งล้อมวงคุย ดื่มกินอาหารกัน ผมจำไม่ได้แล้วว่าได้เหล้ามาสมทบจากไหน เพราะคืนนั้นผมรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยและคอยฟังเพื่อน ๆ เล่าเรื่องอำกันไปมา คนที่มาร่วมงานเมื่อเริ่มทยอยมา ผมก็พยายามมองหาและนึกหน้าเทียบกับสมัยเรียน โชคดีที่เพื่อน ๆ หน้าตาไม่เปลี่ยนไปมากนักและส่วนใหญ่จะดูสมบูรณ์พูนสุขกันทุกคน   แอ๊บเตรียมเสื้อที่ทำขึ้นเป็นที่ระลึกเมื่อสมัยเราเป็นเฟรชชี่มาใส่ในงานด้วย   เป็นเสื้อสีขาว ด้านหลังสกรีนคำว่า Quarter Science    ด้านหน้าตรงอกด้านซ้ายเป็นตัวย่อ  SWU อยู่บนลวดลาย ซึ่งผมเคยถามเพื่อนที่ไปให้ร้านเสื้อทำว่าเอาแบบมาจากไหน มีคนบอกว่าเอามาจากสมุดรายงานที่ขายที่สหกรณ์ในมหาวิทยาลัย ซึ่งก็คงจะจริงเพราะเป็นลวดลายเดียวกัน  เสื้อตัวนี้ของผมถูกขโมยไปจากราวตากผ้าหอชายสิบ ตอนเรียนอยู่เทอมสอง ปีหนึ่ง ยังเสียดายมาจนถึงทุกวันนี้ 
คนที่ทำให้ผมรู้สึกด้อยไปในคืนนั้นก็คืออนันต์  อนันต์หน้าตาดีจนเวอร์แล้วก็อ่อนวัยมากจนดูเหมือนกับคนละรุ่นกับผม   ส่วนใหม่ก็มางานทั้ง ๆ ที่เพิ่งกลับจากน่าน แววตามีความสุข แต่ก็ฉ่ำ ๆ เพราะฤทธิ์เหล้าพอสมควร สมโภชน์ รัตน์ มาพร้อมครอบครัว ส่วนคนที่ผมเห็นแล้วทึ่งเพราะกาลเวลาทำร้ายหน้าตาไม่ได้ก็คือเปา ภาพเมื่อ 20  ปีก่อนที่เปาเดินตามสาวพยาบาลยังเหมือนกับเปาที่ผมเจอตัวเป็น ๆ คืนนั้น อาจจะเป็นเพราะโดยนิสัย เปาเป็นคนอารมณ์ดี มีรอยยิ้มอยู่เป็นนิจก็ได้  หน่อง โดม และติ๊กก็เป็นอีก คนที่ผมเจองานรวมกลุ่มกันทุกครั้ง จนคิดไม่ออกว่าหากไม่มี คนนี้งานจะยังสนุกและสมบูรณ์เหมือนที่เคยเป็นมาหรือเปล่า  หน่อยเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่บางแสน หน่อยคืนนั้นดูสวยเหมือนสมัยเรียนผมยังนึกถึงคำพูดที่เต้าเจี้ยวชมว่าหน่อยเป็นคนที่สวยคนหนึ่งในรุ่นก็เลยยิ้มและบอกตัวเองว่าจริงแฮะ ส่วนแก้มซึ่งก็เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเช่นกันก็มาร่วมโต๊ะกับพวกเราด้วย ผมไม่ค่อยกล้าพูดแซวแก้มนักเพราะเริ่มเมานิด ๆ กลัวจะพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป  ส่วนเพื่อนๆ ที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านอื่น ๆ คงติดธุระกัน เลยไม่ได้มาร่วมงานด้วย 
   ระหว่างงานกำลังดำเนินไป ก็มีการเลือกประธานศิษย์เก่าคณะวิทยาศาสตร์คนใหม่ ซึ่งเป็นพี่โรงที่เป็นประธานศิษย์เก่าที่ได้รับเลือก  ผมตระเวนเดินไปสวัสดีรุ่นพี่หลาย ๆ ท่านที่ได้เป็นเพื่อนกันทาง Facebook  บางท่านก็จำผมได้ บางท่านก็จำไม่ได้ แต่คนที่จำได้แน่ ๆ ก็คือพี่แอน เพราะผมถูกพี่แอนแดกดันผ่าน Facebook  เป็นประจำอยู่แล้ว    บรรยากาศคืนนั้นสนุกสนาน ผัดไทก็อร่อยจนผมเวียนไปดูหน้าน้องคณะคนสวยเสียหลายรอบ ฉัตรชัยจะแซวยังไงผมก็เฉยๆ เพราะความสุขของหนุ่มวัยกลางคนหากไม่ชอบมองเด็กสาวสวย ๆ  มันเหมือนขาดอะไรไปอยู่นะ
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา คำกล่าวนี้ออกจะเชย ๆ และเก่าคร่ำครึ แต่มันก็ต้องมาถึงจนได้ในเวลาหนึ่งของคืนนั้น เพื่อน ๆ เริ่มทยอยกลับบ้าน ส่วนผมกว่าจะร่ำลาจากเพื่อน ๆ และจากงานก็ดึกโข ใจจริงผมอยากจะค้างที่บางแสนและไปทานข้าวต้มกับหน่องหญิงนะ แต่ก็ห่วงคนที่บ้าน เพราะหากเวลาเนิ่นนานออกไป กลัวอะไร ๆ ที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้นกับชีวิตอันแสนสุขของผมและอาจจะไม่ได้มาร่วมงานที่เต็มไปด้วยความสุข พูดคุยกันถึงความหลังกับเพื่อน ๆ อีกในครั้งต่อไปก็เป็นได้ 


19  พฤศจิกายน  2557
ต้นจำปูนหลังบ้าน



      

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ทรายคืนถิ่น 2556 Part I


พลขับรถเชฟโรเล็ทแวน มาหาผมที่บ้านคลองสองในช่วงสายของวันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม 2556 เพื่อรับผมไปร่วมงานซายน์คืนถิ่นซึ่งจัดขึ้นที่ ม. บูรพา บางแสน  ก่อนวันงานผมได้นัดหมายรวมทั้งช่วยกระตุ้นให้เพื่อน ๆ  ทราบทางเฟซบุ๊ก ในกลุ่ม Quarter Science  ไปบ้างพอสมควร ลึกๆ แล้วผมก็กลัวเหมือนกันว่าพวกเราจะไปกันน้อย อีกทั้งช่วงนี้ก็เป็นหน้าเทศกาลท่องเที่ยวกันแล้ว ลมหนาวก็เริ่มโชยมา บรรยากาศก็น่าออกต่างจังหวัดทางภาคเหนือกัน ยิ่งผมดูความเคลื่อนไหวทางเฟซบุ๊ค ใหม่กับภรรยาคนสวยก็ไปฝังตัวอยู่น่านก่อนวันนี้เป็นอาทิตย์ ซึ่งไม่รู้ว่าจะมาหรือเปล่า แต่อย่างหนึ่งทีทำให้ค่อนข้างใจชื้นขึ้นมาก็คือ ฉัตรพ่อน้องออมสิน รับปากกับผมเมื่อกลางปีว่า จะพาเพื่อน ๆ ที่ทำงานอยู่ที่ระยองมาร่วมงานแน่นอน ครั้งแรกผมกะว่าจะไปรถพล แต่คุณภรรยาใจดี บอกให้ผมเอารถเธอไปใช้แทน อันนี้ไม่รู้ว่ากลัวผมจะไปเมาค้างคืนหรือเปล่า เพราะถ้าเอารถเธอไปใช้ ก็ต้องรีบนำกลับมาคืน เพราะก่อนออกจากบ้าน เธอบอกว่า เค้าจะไปหาแม่วันอาทิตย์ คุณเทียนรีบกลับบ้านนะ
ผมเลือกใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ ในการเดินทางไปบางแสน ระหว่างทางผมโทรศัพท์ไปหานิน เพื่อจะสอบถามว่าจะมาถึงงานกี่โมง นินบอกว่ายังง่วน ๆ เรื่องลูกอยู่ แต่ไม่ต้องห่วงเพราะนินจัดคิวมาเจอกับเพื่อน ๆ อยู่แล้ว จากนั้นก็โทรศัพท์แจ้งหน่องชาย ขณะที่ผมขับรถเข้าไปในมหาวิทยาลัย ผมอดทึ่งไม่ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่แทบจะเรียกว่าหน้ามือเป็นหลังมือ หอชายสิบที่คุ้นเคยถูกรื้อไปนานแล้ว ตึกใหม่ ๆ แปลก  ๆ ถูกสร้างขึ้นบนที่ดินที่เคยเป็นหอชาย ตั้งแต่หอ 10 9  8  ไล่เรื่อย ๆ ผมขับรถพลางพยายามนึกเปรียบเทียบรูปแบบการจัดวางอาคารในปัจจุบันกับรูปแบบการวางในความทรงจำ ปรากฏว่าจำแทบไม่ได้ สุดท้ายเลยขับรถไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงข้าง ๆ สนามเทนนิสใกล้ ๆ กับ ความทรงจำเก่า ๆ ถึงได้แล่นกลับมาอีกครั้ง
หลังจากจอดรถที่ถนนใกล้ ๆ สนามเทนนิส ผมโทรแจ้งให้หน่องทราบ พร้อมทั้งนัดหมายมาทานข้าวกลางวันร่วมกันก่อนแก้หิว โดยเรานัดกันไปทานข้าวที่ร้านโบราณ ร้านอาหารสุดโปรดของพวกเราเมื่อ 20  ปีก่อนและยังเป็นร้านที่ผมกับอ๊อดเคยไปเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ช่วงหนึ่ง  สถานที่ตั้งร้านนั้นจะอยู่บริเวณด้านทิศตะวันตกของมหาวิทยาลัย ซึ่งทางไปร้านหากขับรถออกจากมหาวิทยาลัยจะผ่านโรงเรียน สาธิตพิบูลย์บำเพ็ญ ผมตกลงจะนำรถไปจอดที่หน้าตึกวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน และเราสามคนอาศัยไปกับรถเก๋งของหน่อง
          พล หน่อง และผม สั่งกับแกล้มมาทานพร้อมกับเหล้ารีเจนซี่  เราสามคนคุยกันออกรสเหมือนไม่ได้เจอหน้ากันมานาน จากเวลาบ่าย  4 โมง เวลาล่วงเลย จวนใกล้จะหกโมงเย็น หน่องหญิงก็  Line  เข้ามาถามว่าเมื่อไหร่จะมา ผมอ่าน Line  ให้หน่องกับพลฟังพลางมองหน้ากันแล้วก็ขำ  เพราะตอนนี้เหล้าเข้าปากชักจะติดลม ยังไม่อยากไปที่งาน แต่นั่งไปเดี๋ยวหน่องหญิงจะตามมาเขมือบหัวเอว เลยเรียกเด็กในร้านมาคิดเงินค่าเสียหาย พลใจดีจ่ายค่าอาหารให้ซะด้วย เลยชักจะเกรงใจ หากเรียกพลเฉย ๆ  ขยับปากจะเรียกว่าเสี่ยพลก็กลัวเพื่อนจะโกรธเลยกล่าวขอบคุณและพากันไปที่รถหน่องเพื่อเดินทางไปยังงาน  ก่อนกลับผมสอบถามเด็กในร้านว่าเจ้าของไปไหน เด็ก ๆ ตอบมาว่า พี่เค้าเป็นเบาหวาน และนอนพักตัวอยู่ที่ชั้นสอง ส่วนภรรยานั้นได้แยกกันไปทำธุรกิจร้านอาหารที่บริเวณใกล้เคียงกัน  ผมฟังเสร็จก็พยักหน้ารับทราบพลางนึกในใจถึงความเปลี่ยนแปลงที่มีอยู่คู่โลกจริง      จากนั้นหน่องก็พาเราทั้ง  3  คนมุ่งตรงสู่งานซายน์คืนถิ่น งานที่ผมเคยได้ยินชื่อมาตั้งแต่สมัยเรียน ป.ตรีที่บางแสนนี้  ซึ่งวันนี้เป็นครั้งแรกที่จะเข้าร่วมในฐานะศิษย์เก่า และตื่นเต้นที่จะได้พบหน้าเพื่อน ๆ  ซึ่งบางคนผมไม่ได้เจอหน้ามาเกือบ  20  ปีแล้ว     

ต้นจำปูนหลังบ้าน
13  พฤศจิกายน  2557



      

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

หนึ่งปีที่ล่วงผ่าน


                   ก่อนที่ผมจะไปร่วมงาน ทรายคืนถิ่นเมื่อปลายปี  2556  ที่ ม. บูรพา  นั้น ผมเคยนั่งนึกไปถึงวันที่ไปร่วมงานเผาศพต้องที่แปดริ้วเมื่อเดือน พฤษภาคม  ปีเดียวกัน  สิ่งที่ยังลอยวนอยู่ในหัวก็คือ ต้องไปอยู่ที่ไหนกันนะ  แล้วเรามีกิจกรรมอะไรร่วมกันบ้างหลังจากจบจาก ม. บูรพาเมื่อ  20 ปีก่อน  สิ่งที่ผมนึกออกก็คือ งานแต่งงานผมในปีที่น้ำท่วมใหญ่  2554  ที่ต้องมาร่วมอวยพรถึงบ้านงาน , การเดินทางไปเที่ยวเกาะเสม็ดกับกลุ่มเด็กหอ 5   ในปลายปี  2537  โดยมียุ้ยเป็นผู้นำกลุ่มไป ซึ่งต้องก็ไปด้วยกัน  มีเพียง 2 กิจกรรมเท่านี้จริง ๆ ที่ผมได้ทำร่วมกันกับต้อง แต่วันนี้ต้องไม่อยู่แล้ว เพราะอย่างนั้นผมเลยตั้งใจไปงานทรายคืนถิ่นที่บางแสน การรับปากกับฉัตรชัยด้วยการจับมือกันว่าเราจะไปเจอกันตอนปลายปี ก็เป็นเหมือนสัญญาที่ว่าเราจะหาเวลามาอยู่ร่วมกันอีก และเพราะอยากระลึกถึงความหลัง คิดถึงวันคืนเก่า ๆ ที่เคยเรียนหนังสือด้วยกันมา 
                       เพราะวัยที่เปลี่ยนไป รวมทั้งผ่านการทำงานมาระยะเวลาหนึ่ง ความรู้สึกปัจจุบันกลับกลายไปเป็นว่า เราจะมีชีวิตอยู่ถึงวันไหน เราจะมีคนให้เราพูดคุยในเรื่องเก่า ๆ ซักกี่คน หรือเราจะทำสิ่งต่าง ๆ ให้กับเพื่อน ๆ ได้อย่างไร สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น หากเราจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของมัน เราก็ต้องตัดสินใจที่จะร่วมเดินเข้าไปหา    ผมเชื่อในเรื่องโชคชะตา แต่ก็ไม่เคยละทิ้งการตัดสินที่จะไป หากเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ สิ่งหนึ่งที่เรารับรู้กันมาตลอดก็คือ หากเราออกแรงอะไรออกไป ย่อมมีแรงสะท้อนกลับมา   ซึ่งทางพุทธนั้นอธิบายว่า ผลทั้งหลาย ล้วนมาแต่เหตุ
              หลายครั้งสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มีผลทำให้คนเราตัดสินใจไปคนละอย่าง  มุมมองแต่ละคนออกไปเป็นหลาย ๆ แบบ แต่ส่วนที่สำคัญก็คือ เรายังเคยมีวันเวลาดี ๆ ร่วมกันตั้ง  4  ปี  ในวันนั้นช่วงเวลา ปี 1  เราจะแข่งกันเรียนอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อที่จะเข้าเรียนในวิชาเอกที่ทางเลี้ยงชีพค่อนข้างจะสุกใสหลังเรียนจบ ได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการทำงานซึ่งเป็นสิ่งส่งเสริมให้ชีวิตสะดวกสบาย แต่ผ่านมา 20 ปี สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขก็คือ การได้รับรู้ความเป็นไปของเพื่อน ๆ แต่ละคน  การได้พูดคุยถึงความหลังเมื่อมาเจอหน้ากันอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปนาน  อีกทั้งวัยที่ล่วงเข้าใกล้ 50 ปี ก็ทำให้มองเห็นโลกแห่งความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น โลกของการเกิด แก่  เจ็บ   ส่วนสุดท้ายของชีวิตก็คงไม่ต้องบอกว่าคืออะไร ทุกคนก็คงรู้อยู่แล้ว แต่อาจจะยังไม่ได้คิดถึงมันเท่านั้นเอง 
                      วันที่หน่องหญิงชวนไปทานข้าวใน Line ผมก็ไม่รั้งรอที่จะตอบรับ และรีบชักชวนเพื่อนคนอื่น ๆ เพราะไม่อยากให้ปีที่ล่วงไปอีก 1 ปีอย่างไร้ความหมาย ในใจอยากจะบันทึกเป็น Mile Stone  บันทึกความทรงจำด้วยการกินข้าวร่วมกัน หรือแค่พูดคุยกัน 10  นาทีผมก็ยอม ไม่ใช่ว่าไม่มีเพื่อนหรือไม่มีใครในชีวิต แต่ผมตัดสินใจเลือกที่จะไปหาเพื่อนเก่า ๆ ก่อนที่วันคืนเหล่านั้นจะล่วงไป โดยไม่คิดเสียดายเวลาแม้ซักวินาทีเดียว


11 พฤศจิกายน 2557

ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผมจะเป็นคนดีตลอดไป


ภาพคุณครูศุลีพร คุณครูที่ดีที่สุดคนหนึ่งในชีวิตผมย้อนกลับมาวนอยู่ในหัวหลังจากพบคุณครูครั้งหลังสุดในงานบวชน้องชายลูกอาเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2557  ผมนึกไปถึงเช้าวันหนึ่งในปี  2525  วันที่ผมมาโรงเรียนเช้ากว่าปกติและก็เหมือนเคย มีเพื่อน ๆ ผมหลายคนรอผมอยู่ด้วยใจกระวนกระวาย  ตามประสาเด็ก ๆ สมัยนั้น การบ้านที่ครูให้กลับไปทำที่บ้าน มันแทบจะเป็นยาพิษสำหรับเด็กบ้านนอกที่กิจกรรมโดยส่วนใหญ่จะหมดไปกับการเล่นประจำวัน การออกไปท้องไร่ท้องนา งานบ้านที่ได้รับมอบหมาย และพ่อกับแม่ก็ไม่ได้มีเวลามาดูแลเอาใจใส่พวกเราเหมือนกับเด็กสมัยปัจจุบัน  ใช่แล้วครับเพื่อนผมรอลอกการบ้านผมนั่นเอง วันนั้นด้วยความรีบร้อน พอผมทำการบ้านเลขเสร็จ ก็ไม่ได้ตรวจทานให้ดี มาถึงโรงเรียนก็ให้เพื่อนลอกและรีบออกไปเล่นเตย เหมือนปกติทุกวัน สมเกียรติ สมาน ประสงค์  บรรจง คือเพื่อนในกลุ่มเท่าที่จำได้  ส่วนกลุ่มเพื่อนเด็กผู้หญิงอย่างเรวดี วรรณา เค้าไม่ได้สนใจในกิจกรรมพวกผู้ชายกันหรอก คงเอาแต่เล่นหมากเก็บหรือเอาดอกจำปี ลูกจันทร์มาอวดกันเหมือนปกติ

ตอนสายวันนั้นก็เกิดเรื่อง เรื่องที่ผมจำมาตลอดชีวิต เช้านั้นเมื่อเข้าห้องเรียนแล้วเราก็เรียนหนังสือกันไปตามปกติ จนกระทั่งเวลาประมาณ 10:00 น. คุณครูศุลีพร ก็เรียกเพื่อน ๆ กลุ่มผมออกไปถามทีละคนถึงการทำการบ้าน ซึ่งวันนั้นเป็นการบ้านเลข  แต่ละคนจะถูกถามด้วยคำถามเดียวกันว่า เธอทำการบ้านนี้เองหรือเปล่า ซึ่งแน่นอนไม่มีเด็กคนไหนยอมรับหรอกว่าตัวเองนั้นลอกคนอื่นมา ผมในฐานะหัวหน้าห้องยังนั่งนิ่งยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็มีเพื่อน ๆ มากระซิบให้ทราบแล้วจนกระทั่งถึงคิวผมถูกคุณเรียกออกไปที่โต๊ะหน้าชั้นเรียน และก็ถูกถามอย่างตรงไปตรงมาว่า มณเฑียร เธอให้เพื่อนลอกการบ้านหรือเปล่า ผมตอบปฏิเสธไปในแทบจะทันที  คุณครูจึงเอาสมุดของเพื่อน ๆ มาให้ดู คำตอบในโจทย์การบ้านเป็นการบวกเลขและมันผิด  สาเหตุที่ผิดก็มาจากการบวกกันในหลักสิบแล้วไม่ได้เอาเลขที่ทดไว้ ไปบวกเข้ากับหลักร้อย และที่สำคัญเด็กผู้ชายอย่างประสงค์ สมเกียรติ สมาน ที่ทำโจทย์นั้นดันทำมันผิดเหมือนกันเกือบทุกคนรวมทั้งผมด้วย ผมจนด้วยหลักฐานที่ปรากฏ จึงตอบรับไปว่าครับ ผมให้เพื่อน ๆ ลอกการบ้านเอง

ในวันนั้นคุณครูศุลีพรไม่ได้ลงโทษผมและเพื่อนๆ โดยการตี หรือทำโทษอะไรเลย คุณครูอนุญาตให้ผมเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ ผมได้แต่และนั่งนิ่ง ๆ จากนั้นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นก็เริ่มออกมาจากลำคอของคุณครู  ครูไม่คิดเลยว่าพวกเธอจะทำกันอย่างนี้ เด็กที่ครูหวังวาจะเป็นเด็กดี ขยัน ตั้งใจเรียนจะทุจริตด้วยการลอกการบ้าน ผมเห็นคุณครูร้องไห้ไปเช็ดน้ำตาไป และสะอึกสะอื้น นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นผู้ใหญ่ร้องไห้ และที่สำคัญสาเหตุมาจากพวกผมเอง วันนั้นตาผมลาย หูอื้อไปหมด ความรู้สึกผมยิ่งกว่าถูกหวดด้วยไม้เรียวซะอีก ผมนิ่งเงียบและก้มหน้านิ่ง กว่าเช้าวันนั้นจะผ่านไปได้ ความรู้สึกผมมันช่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน   จากวันเป็นคืน จากคืนเป็นเดือน และจากเดือนเป็นปี เรื่องนี้ก็ยังอยู่ในความทรงจำของผมไม่เคยลบเลือนหายไป ทุกครั้งที่เห็นผู้หญิงร้องไห้ ผมจะคิดถึงน้ำตาของคุณครูอยู่เสมอ ๆ  ถึงวันนี้สิ่งที่คุณครูหวังที่จะให้ผมเป็นคนดี ผมได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เป็นเด็กดีของคุณพ่อคุณคุณแม่ เป็นคนดีของบริษัทที่ตนเองทำงาน เป็นคนดีของประเทศชาติและเป็นข้าราชบริพารที่ดีขององค์พ่อหลวงของเรา ความดีที่ผมได้ยึดถือและปฏิบัติมาตลอดชีวิต ผมหวังว่าจะช่วยลบล้างคราบน้ำตาของคุณครูศุลีพรในวันนั้นให้จางหายไป และมีรอยยิ้มมาให้ลูกศิษย์ที่ทำผิดไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์คนนี้ด้วยนะครับ  



25 พฤษภาคม 2557
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ปื๊ด


             ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมเรียนชั้นเดียวกับปื๊ด หรือในชื่อจริงตามใบแจ้งเกิดว่า ด.ช. สุริยน นามสกุล คำตรงในปีไหนกันแน่  จะเป็นปี 2525 ที่เราเรียนอยู่ชั้นป.  5  หรือปี 2526 ที่เราเรียนชั้น ป.6  ก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่แค่ว่า เค้าเป็นรุ่นพี่ที่สอบตกและรอผมอยู่ในปีดังกล่าวและเรียนจบออกมาพร้อมกับผมในปีการศึกษา 2526  โรงเรียนบ้านชากลูกหญ้า โรงเรียนที่มีการปักตัวอักษรย่อที่อกด้านขวาของเสื้อนักเรียนว่า ป.ร.ย. ๗๓ ซึ่งสมัยเด็ก ๆ พวกเราเดาเอาว่า ป.ร.ย. น่าจะย่อมาจาก  ไประยอง เพราะโรงเรียนเราตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดระยอง
                        ปื๊ดในปีที่ผมรู้จักเป็นเด็กผู้ชายตัวดำ ๆ  ไม่ค่อยพูดอะไร เป็นเด็กในหมู่บ้าน ซึ่งคำว่าเด็กในหมูบ้านก็จะหมายถึงเด็กที่มีถิ่นพำนักพักอาศัยอยู่ในซอยมิตรประชา ซึ่งสภาพแวดล้อมสมัย 30  กว่าปีก่อนนั้นยังธรรมชาติสุด    แวดล้อมไปด้วยท้องไร่ ท้องนา กบ เขียด ปลาในน้ำยังอุดมสมบูรณ์ สภาพแวดล้อมแบบนี้กระมังที่อาจจะเป็นสิ่งดึงดูดใจปื๊ดให้รักในธรรมชาติ รักในการผจญภัยแบบเด็ก ๆ จนอาจจะละเลยในเรื่องการเล่าเรียนขั้นพื้นฐาน และรอเรียนพร้อมผมจากการที่ไม่ผ่านเกณฑ์การขึ้นชั้นในสมัยก่อน
                        ในช่วงประถมศึกษาชั้น ป.5  ขึ้นไปนั้น ด้วยวัยที่ล่วงเข้าไป 11 ขวบและกำลังย่างก้าวเข้าไปเป็นวัยรุ่น ความสนิทสนมของผมกับปื๊ดเลยไม่ได้ก้าวหน้ามากไปกว่าการเป็นเพื่อร่วมชั้นกันเท่านั้น โดยผมเป็นหัวหน้าห้อง หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงชั้น ป.6  และกิจกรรมที่ผมกับปื๊ดทำด้วยกันและดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่จำได้ก็คือ การที่ผมบอกให้เพื่อน ๆ จดรายละเอียดความรู้ในหนังสือเรียนที่เราไม่มีเป็นเล่ม ๆ ไว้อ่าน หนังสือที่คุณครูมอบหมายให้ผมอ่านนำ และลูกน้องในห้องทุกคนจดตาม
                      ด้วยวัย เวลา ที่ผ่านไป ผมได้พบกับปื๊ดเป็นระยะๆ ที่หมู่บ้านชากลูกหญ้า ซึ่งผมได้มีโอกาสกลับไปไม่ค่อยบ่อยครั้งนัก ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงสงกรานต์ ปื๊ดซึ่งหลงใหลในเกมส์กีฬาลูกหนัง ผันตัวเองไปเป็นหัวหน้าทีมฟุตบอลที่มีการเตรียมทีมเพื่อส่งไปแข่งในทัวร์นาเม้นท์เล็ก ๆ ตามหมู่บ้านใกล้เคียงกับหมู่บ้านชากลูกหญ้า ซึ่งผมมักจะสละเวลาไปให้กำลังใจอยู่เสมอ  เพราะช่วงสงกรานต์เป็นช่วงที่มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลโดยเฉพะที่โรงเรียนวัดมาบชลูด ซึ่งการแข่งขัน จะมีไปถึงวันที่  17  เมษายนของทุกปี
                      มณเฑียร เรามีเรื่องให้ช่วยหน่อยสิ  เสียงของปื๊ดดังมาตามสายโทรศัพท์เมื่อผมกลับมาจากระยองในช่วงสงกรานต์ปีหนึ่งซึ่งผมได้เบอร์โทรจากปื๊ดในวันที่ผมไปทำบุญที่วัดชากลูกหญ้า โดยน้ำเสียงของปื๊ด ผมแทบจะเดาออกว่าปื๊ดจะพูดเรื่องอะไร เพราะได้รับปากว่าจะช่วยเหลืองเรื่องทีมฟุตบอลไว้ตั้งแต่บนวัดแล้ว โดยปื๊ดอยากจะได้เสื้อทีมแข่งขันผมเลยโอนเงินตามจำนวนที่ปื๊ดแจ้งมาให้ไป และอวยพรให้ปื๊ดมีโชคในการแข่งขัน
                       สงกรานต์ปี  2557 ขณะที่ผมกำลังยืนคุยกับน้องชายกับน้องสาวที่บริเวณต้นไทยหน้าวัดชากลูกหญ้าในวันสงกรานต์ปีที่ 43  ในชีวิตช่วงวัยกลางคนของผม เสียงโห่ร้อง ปรบมือดังมาจากบริเวณเสาน้ำมันที่มีการนำเงินไปเสียบไว้ด้านบนสุดของยอดเสา ปื๊ดถูกแบกด้วยเพื่อนในหมู่บ้านให้ขึ้นไปถึงจุดที่จะหยิบเงินแบ๊งค์พันได้ ซึ่งผมเห็นแล้วก็ได้แต่ขำ เพราะภาพที่เห็นปื๊ดเหยียบหัวเจ้าจุ่นลูกอาตาขึ้นไป จนสามารถนำเงินรางวัลดังกล่าวลงมาได้พร้อมสียงโห่ร้องยินดีปรีดาของเพื่อน ๆ โดยปื๊ดถูกรายรอบไปด้วยเด็กชากลูกหญ้าที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาในวัยที่ก้าวล่วงไปเป็นชายวัยกลางคนกันทั้งนั้น ความสนุกสนานในวันสงกรานต์ทำให้ทุกคนลืมวัย มีแต่ความสุขและยิ้มสมหวังกันทุกคนรวมทั้งผมไปด้วย
                       ผ่านไปไม่ถึง 2  เดือนจากวันสงกรานต์ที่ผมได้พบปื๊ด ผมได้รับแจ้งข่าวการเสียชีวิตของปื๊ดจากสาธิตเพื่อนร่วมรุ่นประถมศึกษาด้วยกัน มันทำให้ผมครุ่นคิดอย่างหนักว่าอะไรกันหนอที่ทำให้เค้าจากไปในวัยที่ยังไม่สมควร  ในช่วงเวลากลางวันวันนั้น ผมยังได้พูดคุยกับคุณครูบัญชาและเพื่อน ๆ กลุ่มเล็กๆ ที่มีความคิดกันว่าจะจัดเลี้ยงคุณครูและพวกเราที่ได้จบจากโรงเรียนชั้นประถมศึกษาบ้านชากลูกหญ้ามา  30  ปีพอดี   พวกเราพลิกอัลบั้มรูปศิษย์เก่าและไล่ดูหน้าตาใสบ้องแบ๊วของแต่ละคน และอำกันไปมา จนพลิกไปถึงรูปปื๊ด และบอกกันในกลุ่มว่า ปื๊ดอยู่ที่โรงพยาบาล ซึ่งในขณะนั้นยังหวังว่าปื๊ดจะกลับมาได้และเข้ามาร่วมสังสรรค์ด้วยกันในอีก 4 เดือนข้างหน้า แต่สุดท้ายก็อย่างที่รับรู้ปื๊ดจากไปแล้วในช่วงบ่ายวันนั้นเอง  
                     ผมนึกย้อนเวลาที่ผ่านมาของตัวผมเอง ความทรงจำผมวัยเด็กบางอย่างก็แจ่มชัด บางอย่างก็จางลงไปจนแทบจำไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมจำได้และนึกถึงเพื่อนคนนี้ที่ชื่อปื๊ดก็คือ  ชายร่างดำรูปร่างสันทัด ชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ เด็กตัวดำๆ ที่มักจะนั่งอยู่หลังห้องและบางครั้งก็แซวผมที่เป็นหัวหน้าห้อง เด็กดื้อๆที่จิตใจเบิกบาน ขอให้ปื๊ดสงบสุข ณ ดินแดนสัมปรายภพ ผมจะนึกถึงและจดจำเค้าไว้ตลอดไป
Everything must pass …away.

ด้วยความระลึกถึง
มณเฑียร เนินอุไร
24  พฤษภาคม  2557

           

วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชาวนา


                                 สมัยที่ผมยังเป็นเด็กน้อย คุณพ่อกับคุณแม่ผมมีที่นาผืนหนึ่งประมาณ  5  ไร่ ที่นาผืนดังกล่าว คุณย่าได้ให้กรรมสิทธิ์คุณพ่อผมสำหรับทำนาเพื่อผลิตข้าวมาเลี้ยงกันภายในครอบครัวพ่อทุกปี  ครอบครัวของพ่อประกอบไปด้วยพ่อกับแม่ และพี่น้องอีก  4  คน  ทุกครั้งที่ใกล้ถึงช่วงเวลาทำนา จะเป็นช่วงเวลาที่ผมไม่ชอบมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่ว่าผมเป็นเด็กขี้เกียจ แต่เป็นเพราะว่ากว่าจะผ่านไปแต่ละขั้นตอนนั้นมันช่างยากเย็นแสนเข็ญในความรู้สึกของเด็กอายุ 10 ขวบอย่างผมมาก ทั้งการถางนา การเตรียมดิน ซ่อมคันนา การไถนาโดยใช้ควายตัวเดียวประจำบ้านที่ชื่อว่า ล่อม การคราดนาโดยใช้อีถอง  การเตรียมกล้าซึ่งจะเลือกผืนนามาเป็นแปลงที่เพาะกล้า ก่อนจะย้ายไปที่นาดำ  การดำนา การเกี่ยวข้าวและนำไปรวมกันเป็นฟ่อน  ขั้นตอนดังกล่าวข้างต้นผมแทบจะไม่มีส่วนร่วมนัก เพราะยังเด็กเกินกว่าจะไปทำได้ แต่พอเกี่ยวข้าวเสร็จและต้องขนฟ่อนข้าวมาจากนานี่แหละ ที่ทำเอาผมผะอืดผะอมทุกครั้ง เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนแพ้ใบข้าว โดนทีไรต้องมีอาการลมพิษถามหาทุกที และน้ำหนักฟ่อนข้าวที่แบก ซึ่งรวมกับเมล็ดข้าวซึ่งกดลงบนไหล่ทุก ๆ ย่างก้าว ที่ขนจากนา ก็ยิ่งทำให้ผมรู้ซึ้งถึงความลำบากยากเย็น และจำขึ้นใจมาถึงทุกวันนี้  กว่าขั้นตอนขนข้าวมาที่บ้านจะหมด ก็กินเวลาเป็นอาทิตย์  จากนั้นจึงนำฟ่อนข้าวที่ขนมา มาคัดแยกเมล็ดข้าวออกจากต้นข้าว โดยการตีลงบนพื้น เมื่อเหลือแต่ฟางข้าวแล้วนั่นแหละ ก็เป็นอันเสร็จพิธี และขนย้ายเมล็ดข้าวที่ได้ทั้งหมดเข้าสู่ยุ้งฉางต่อไป
                     ผมจำไม่ได้แล้วว่าพ่อกับแม่เลิกทำนาไปช่วงเวลาใด เพราะวัยที่โตขึ้น โลกที่กว้างขึ้น อีกทั้งมีสิ่งที่ผมอยากรู้จักอีกมาก การศึกษาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผลักดันให้ผมมาใช้ชีวิตในกรุงเทพ ฯ ตัวคนเดียว ทิ้งท้องนาที่เคยทำไว้เบื้องหลัง ผมกลับไปดูนาที่ผมเคยทำเมื่อสมัยเด็ก ๆ อีกหลายครั้ง และทุกครั้งจะมีคำถามที่กวนใจผมอยู่ตลอดเวลาว่า นี่คือนาที่ผมเคยทำมันมาจริง ๆ น่ะหรือ ทำไมมันเล็กจัง แล้วความยากลำบากตอนเด็ก ๆ ที่มองไปเห็นข้าวที่มัดเป็นฟ่อนกองรอให้ผมขนสุดลูกหูลูกตามันเคยวางไว้ตรงไหนกันบ้างนะ นาผืนนี้ผมกับน้องสาวเคยช่วยกันคัดค้านไม่ให้พ่อขายแลกกับเงินไม่กี่ล้าน เพราะนึกไม่ออกเลยว่า หากที่นานี้หลุดลอยไป ผมกับน้องสาวจะมีปัญญาหาเงินที่ไหนมาซื้อที่ ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ   และอีกอย่างทุกวันนี้ พ่อก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินอะไร ทำไมจะต้องขาย แต่พอเห็นพ่อนั่งโกรธจนกระดิกเท้าบนโต๊ะยาวแล้ว ผมก็ได้แต่รู้สึกผิดที่ว่า เราจะไปขัดขวางความสุขของพ่อทำไม ความสุขของคนคนหนึ่งที่เกิดมาและอยากจะมีเงินล้านไว้ให้ลูกหลานใช้  ผมคุยกับน้องสาวด้วยความซีเรียสและเห็นพ้องต้องกันว่าจะทำเป็นไม่สนใจในเรื่องที่พ่อจะขายที่นาผืนนั้น เพราะนาเป็นของพ่อ ไม่ใช่ของเราทั้งคู่ แล้วเราจะไปขัดขวางไว้ทำไม แต่สุดท้ายผมกับน้องสาวก็โล่งอก เพราะคนที่มาติดต่อซื้อที่นา ก็แค่มาหลอกว่าจะซื้อ แต่ไม่ได้มีเงินมาซื้อจริง ๆ
                     ชีวิตคนเมืองหลวงของผม ใช่ว่าจะหลีกหนีจากภาพชาวนาพ้น ภาพข่าวที่ชาวนาหลายพันคนปิดถนน เพื่อประท้วงขอเงินที่ขายข้าวไปให้กับโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มันทำให้ผมนึกถึงสมัยเด็ก ๆ ข่าวชาวนาในต่างจังหวัดที่ถูกพ่อค้าคนกลางกดขี่ราคาข้าว ค่าปุ๋ยแพง ฝนแล้ง นาแล้ง นาล่ม จนแต่ละปีที่ผ่านไป ชาวนาทำนาแล้วได้แต่หนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แทบจะไม่มีสามารถลืมตาอ้าปากได้  เรื่องเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาแต่ครั้งไหนไม่รู้ ถึงจะผ่านไปอีกกี่สิบปี ก็คงจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นคู่กับชาวนาอยู่ร่ำไป ผมไม่รู้เหมือนกันว่า เพราะอะไร ทำไม  พวกนักการเมืองท้องถิ่นที่คอยจะวางแผนหากินกับชาวนา    โดยทำกันเป็นขบวนการตั้งแต่การขายพันธุ์ข้าว ขายปุ๋ย ขายสารพัดอย่าง เพื่อให้ชาวนาเป็นลูกหนี้ที่ไม่อาจจะหนีไปพึ่งใครได้ วันที่คิดว่าเหมือนจะมีพระมาโปรด เพราะได้ราคาข้าวดี ก็กลับกลายเป็นถูกปีศาจร้ายยิ่งกว่า เข้ามาทำลายชีวิตชาวนาให้ดับดิ้น ไม่เหลือหนทางไว้ทำมาหากินอีกต่อไป บางคนต้องขายนาออกไป บางคนต้องฆ่าตัวตาย สิ่งต่าง ๆ มันเกิดขึ้นมิใช่เพราะความโลภหรอกหรือ ความโลภที่ต้องการเงินมาจากการขายข้าว โดยที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงว่า มันเป็นคำลวงที่ต้องการจะโกงกินเงินของประเทศ ของคนตระกูลหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามาเกิดแล้วทำร้ายแผ่นดินเกิดให้ย่อยยับไปกับมือหรืออย่างไรกัน
                  ผมไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงตรงไหน จะมีคนเสียชีวิต และสูญเสียที่นาของตนไปอีกมากน้อยแค่ไหน สิ่งเหล่านี้ หากเป็นบทเรียน มันก็ควรถูกเรียนจากการกระจายข้อมูลข่าวสาร มิใช่บทเรียนที่มาพร้อมกับชีวิตและคราบน้ำตาของชาวนาไทย แต่หากเจ็บครั้งนี้แล้วยังไม่จำ หรือยังหลงละเมอเพ้อพกว่าจะมีเงินมาซื้อข้าวด้วยราคาสูง ๆ และต้องการนโยบายแบบนี้ไปอีก โดยไม่สนใจว่าใครจะโกงอะไร ผมก็คงจะยึดคำพระท่านว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม โดยเฉพาะกรรมหนักของนักการเมืองตระกูลดัง ที่คงมีนรกชั้นต่ำสุดเป็นทางไป หลังจากสิ้นชีวิตแน่นอน  
11 กุมภาพันธ์ 2557
ต้นจำปูนหลังบ้าน