วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

กลับไปทำบุญกฐิน 2564 ที่ระยอง

เช้าวันเสาร์ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงในห้องพ่อซึ่งน้องสาวบอกให้เข้าไปนอนหลังจากขับรถมาจากปทุมธานีมาถึงบ้านแม่เมื่อคืนเพราะตั้งแต่พ่อเสียชีวิตก็ไม่มีใครเข้ามานอนนอกจากคุณแม่ที่มักจะเข้ามานอนในบางครั้ง แต่แม่ก็สมัครใจจะกางมุ้งหน้าโทรทัศน์เพื่อดูละครในช่วงไพรม์ไทม์ของช่องเจ็ดแล้วก็หลับไปทั้ง ๆ ที่โทรทัศน์เปิดอยู่บ่อยครั้ง ภายในห้องมีภาพคุณปู่คุณย่านั่งถ่ายรูปด้วยกันบนเก้าอี้ไม้ในสวนที่บ้านในซึ่งเป็นบ้านสวนของคุณปู่ ข้างๆ กันเป็นรูปพี่ชายผมที่เสียชีวิตไปเมื่อ 18 ปีก่อน พี่ชายเป็นลูกชายคนหัวปีของครอบครัวและเป็นลูกที่คุณพ่อคุณแม่รักมากที่สุด ส่วนรูปคุณพ่อตั้งอยู่เลยไปทางผนังห้องถัดจากหัวเตียง ในรูปยังมีรอยยิ้มจาง ๆ ของคุณพ่อโดยเป็นรูปที่ผมถ่ายคุณพ่อที่บริเวณถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา

ผมกลับมาที่บ้านคราวนี้เพื่อร่วมทำบุญกฐินกับแม่ที่วัดข้างบ้านหลังจากหลาย ๆ ปีที่ผ่านมากฐินที่วัดชากลูกหญ้าถูกจับจองโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ในจังหวัดและจะมีการทอดกฐินในวันธรรมดาทำให้ผมไม่ได้ไปร่วมงาน รวมทั้งชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็ไม่ค่อยได้ไปร่วมมากนักเพราะความรู้สึกว่ามันไม่ใช่งานของพวกเขาถึงจะเป็นงานที่วัดก็เถอะแต่เป็นงานของคนอื่น ๆ ที่เข้ามาทำมาหากินในจังหวัดระยองและร่วมกันทำตามประเพณีให้พ้นปีไปเท่านั้นแต่ปีนี้เป็นกฐินสามัคคีของชาวบ้านชากลูกหญ้าทำให้ผมตัดสินใจกลับมาร่วมทำบุญ
หลังจากทานข้าวเช้ากับคุณแม่ หลานสาว น้องสาวและน้องเขยแล้วผมก็ขับรถพาคุณแม่ไปที่วัดแทนการเดินกันไปเหมือนที่ผ่าน ๆ มาเนื่องจากระยะหลังมานี่คุณแม่บ่นอยู่เสมอว่าเดินไม่ค่อยไหว จะเพราะหมดกำลังใจหลังจากคุณพ่อจากไปหรือเพราะร่างกายที่เริ่มเสื่อมถอยผมก็ไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว กลับรู้สึกดีที่มีโอกาสพาแม่เข้าวัดเพื่อไปทำบุญตามที่ท่านตั้งใจ เมื่อมาถึงวัดผมส่งคุณแม่ลงจากรถ นำรถไปจอดในที่ที่ทางวัดจัดเตรียมไว้และเดินมาด้านหลังสุดนอกอาคารและหาเก้าอี้นั่งใต้ต้นไม้เพื่อหลีกเลี่ยงผู้คนแออัดเพราะยังต้องคำนึงอยู่เสมอว่าต้องระวังตัวในการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ถึงแม้จะป้องกันตัวจาก COVID-19 อย่างเต็มที่แล้วก็ตาม
เมื่อการทอดกฐินเสร็จทางโฆษกก็ได้ประกาศยอดเงินทำบุญกฐินซึ่งปีนี้เงินที่ทางวัดได้รับมีมูลค่ามากกว่า 2 ล้านบาท ผมประหลาดใจในยอดเงินเพราะมันมากกว่าที่ผมคิดไว้มากจนน้องสาวเดินมาหาและบอกว่าวันนี้พี่ตุ๋ยมาร่วมทำบุญกฐินซึ่งเงินสองในสามส่วนที่ได้นั้นพี่ตุ๋ยลูกป้าเบียร์ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อและพี่น้องจากท่าบรรทุกได้นำเงินที่ป้าเบียร์ได้ตั้งใจทำบุญให้กับทางวัดชากลูกหญ้าเพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับคุณปู่คุณย่าของผมก่อนที่ป้าเบียร์จะเสียชีวิต จนกระทั่งท่านเสียชีวิตไปลูกหลานก็ได้ทำตามที่ป้าเบียร์ได้บอกกล่าวไว้ไม่ขาดตกบกพร่อง ผมได้ฟังแล้วก็ดีใจและสอบถามน้องสาวเพื่อจะไปทำความเคารพพี่ตุ๋ยและพี่น้องที่มาด้วยกันและเมื่อเสร็จธุระจากการทอดกฐินผมก็ไปขับรถมารับแม่กลับบ้าน




งานกฐินผ่านไปอีกปี งานต่อไปก็ลอยกระทง ต่อไปก็วันพ่อ ปีใหม่ งานบุญต่างๆ ที่เวียนกันเข้ามาในชีวิตเหมือนกงล้อเกวียนที่หมุนไปตามแรงโคที่ลากจูง ทุกคนอายุมากขึ้น บางคนมีชีวิตที่ดีขึ้นบางคนชีวิตแย่ลงลำบากในการหาเงินมาจุนเจือครอบครัวแต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนหลีกหนีไม่พ้นคือความแก่ชราของสังขาร และถึงแก่ความตายในวันหนึ่ง หากวันนี้ยังมีโอกาสขอให้มองสิ่งเหล่านี้อย่างเข้าใจและเลือกทำในสิ่งที่สมควรทำก่อนที่แต่ละคนจะถึงวันสุดท้ายของชีวิต




9 พฤศจิกายน 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2564

วันเกิดคุณพ่อ

                                                วันนี้วันเกิดพ่อนะ พ่อจำได้หรือเปล่า หน่องยังคิดถึงพ่ออยู่เสมอ วันนี้วันออกพรรษานะพ่อ เสียดายจังไม่ได้นั่งคุยแล้วก็ดื่มเบียร์ที่พ่อชอบกับพ่อเหมือนเมื่อก่อน ปีนี้หน่องอายุ 50 ปีแล้วกำลังปรับตัวเข้าสู่วัยชราอย่างมีสติ แม่ยังสบายดียังมีความสุขกับการขายของที่ตลาดนัด ฝนที่บ้านพ่อไม่ค่อยตกแล้วไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะท่วมบ้าน ต้นองุ่นที่หน่องซื้อไปให้พ่อปลูกตายหมดแล้วนะแต่ไม่เป็นไร ตายได้ก็ปลูกใหม่ได้พ่อไม่ต้องเป็นกังวล หญ้าในสวนหลังบ้านขึ้นรกมาก หน่องว่ามันคงเหงาเหมือนกันแหละเพราะไม่มีพ่อคอยไปฉีดยาฆ่าหญ้า รถไฟฟ้าคันสีส้มของพ่อถูกจอดทิ้งไว้นานแล้ว กลับไประยองคราวหน้าหน่องจะเอาออกมาวิ่งให้เจ้าเหม็นหมาตัวที่ชอบวิ่งไล่คนที่เดินผ่านบ้านเรามันวิ่งตามนะครับ พ่อไม่ต้องห่วงแม่นะ หน่องบอกให้แม่ทำบุญมากๆ แล้ววันหนึ่งพวกเราจะกลับมาเจอกันอีก หน่องสัญญา



21 ตุลาคม 2564

ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2564

คิดถึงคุณย่า

                                  อาการปวดท้องเหมือนอาหารเป็นพิษและมีอาการถ่ายเป็นมาตั้งแต่ช่วงสายของวันอาทิตย์จนถึงเย็นก็ยังไม่ค่อยทุเลา ช่วง 3 ทุ่มกว่าภรรยาจึงไปค้นยาในบ้านได้ยาหอมมาชงให้ดื่ม ขณะรับถ้วยเล็กๆ จากมือภรรยาที่มียาหอมที่ชงแล้วอยู่ 1/4 ถ้วย ภาพในอดีตพร้อมเสียงแห่งความเมตตาปราณีของคุณย่าก็ดังขึ้นมาในห้วงความคิด “ไอ้คนแก่ กินยาหอมซะให้หมดแก้ว จะได้หายปวดท้อง” ด้วยความเป็นเด็ก กลิ่นยาหอมตรา 5 เจดีย์ลอยขึ้นมาเตะจมูกรวมไปถึงปริมาณยาหอมที่ถูกชงด้วยน้ำร้อนมันมากพอจะทำให้ผมลอบกลืนน้ำลายและคิดที่จะปฏิเสธ แต่สายตาของคุณย่าผู้มีความห่วงใยในตัวหลานก็ทำให้ผมหลับหูหลับตาดื่มยาหอมไปจนหมดแก้วและนอนแผ่หลาอยู่ข้างๆ คุณย่านั่นเอง ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ยาหอมหรือเพราะความใจดีของคุณย่าที่ทำให้หายปวดท้องในคืนนั้น แต่ความทรงจำจะคอยออกมาย้ำเตือนเสมอเมื่อกลิ่นยาหอมลอยมาเตะจมูกและคิดถึงคุณย่าอยู่ทุกครั้งไป

ผมร้องขอให้ภรรยาเติมน้ำร้อนในถ้วยยาหอมให้ระดับน้ำเกินกว่าครึ่งถ้วย ภรรยาทำหน้าสงสัยแต่ก็ยอมทำให้แต่โดยดี คุณย่าจะรู้หรือเปล่านะว่าหลานชายคุณย่าคิดถึงใบหน้าคุณย่าและเสียงเรียกขานว่า ไอ้คนแก่อยู่ทุกครั้งที่ได้กลิ่นยาหอม อยากจะเจอและนั่งดูคุณย่านั่งหลังขดหลังแข็งเอาไม้ไผ่ที่ผ่าออกมาเป็นเส้นๆ มาสานกระด้ง สานกระบุงเหมือนวันเก่าจัง หรือขอแค่ฝันถึงคุณย่าก็ยังดี





12 กันยายน 2564

ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2564

แด่คุณพ่อในหัวใจด้วยความทรงจำ

เสียงคล้ายๆ ปี่แตรดังระงมมาตั้งแต่ตอนตี 4 จนปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาบนที่นอนในที่พักใกล้ ๆ กับพระธาตุอินทร์แขวน เสียงที่ได้ยินนั้นดังล่องลอยประสานเสียงใกล้เข้ามาและเลยผ่านไป แต่เสียงก็ยังดังมาไม่ขาดสายเหมือนมีคนเป่าแตรจำนวนมากกำลังเดินไปด้วยเป่าไปด้วย ผมขยับตัวและหันไปมองทางเตียงที่คุณพ่อกับคุณแม่นอนหลับอยู่ใกล้ ๆ กัน คุณพ่อขยับตัวเล็กน้อยอยู่ใต้ผ้าห่ม ส่วนคุณแม่ยังหลับสนิทอยู่ข้างๆ กัน นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่เคยนอนในห้องเดียวกันกับคุณพ่อและคุณแม่จนกระทั่งมาเที่ยวที่เมียนมาในครั้งนี้

ราว ๆ ตี 5 ท่านทั้งสองก็ตื่นและถามผมถึงเสียงดังกล่าว ผมไม่ทราบว่าเสียงอะไรแต่ชวนคุณพ่อคุณแม่อาบน้ำแต่งตัวและเดินไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวนยามรุ่งสางเผื่อจะได้รู้ที่มาของเสียง อากาศบริเวณที่พักยามเช้าค่อนข้างเย็นเพราะตั้งอยู่บนเขาทำให้ผมต้องเตรียมเสื้อกันหนาวไปใส่ ซึ่งเมื่อทุกคนพร้อมแล้วเราทั้งสามคนก็ออกเดินไปยังองค์พระธาตุด้วยกัน
ระหว่างทางที่เดินขึ้นบันไดเราเดินสวนทางกับเด็กเมียนมาหลายสิบคนที่ต่างทยอยเดินลงมาจากบริเวณองค์พระธาตุ ในมือเด็กเหล่านั้นถือแตรอันเล็ก ๆ ที่ทำจากปล้องไม้ไผ่และมีลูกโป่งติดอยู่ตรงปลาย เด็กที่เดินผ่านไปต่างก็เป่าแตรที่ถือกันมาทุกคน คุณพ่อผมหยุดมองแล้วก็ทำท่าหัวเราะชอบใจส่วนคุณแม่ไม่ว่าอะไรเพราะกำลังตั้งใจเดินไปที่องค์พระธาตุ เมื่อเข้าไปใกล้องค์พระธาตุอินทร์แขวน ผมเห็นคนเมียนมาหลายคนกำลังเก็บเครื่องนอน คืนที่ผ่านมาคนเหล่านี้คงจะมาสักการะพระธาตุและจัดเตรียมที่นอนใกล้ ๆ ซึ่งพื้นที่เป็นหินอ่อนขนาดใหญ่สะสมความเย็นมาทั้งคืนทำให้คนที่นอนสัมผัสความเย็นกันพอสมควร หลาย ๆ คนถึงมีผ้าผ่มหนา ๆ เตรียมมาด้วย ยิ่งผมเดินไปบนพื้นหินอ่อนทำให้รู้สึกว่าอากาศเย็นมากยิ่งขึ้น เมื่อเราทั้งสามคนไหว้องค์พระธาตุเสร็จแล้วผมชวนคุณพ่อคุณแม่เดินสำรวจบริเวณใกล้ ๆ องค์พระธาตุ แสงแดดยามเช้าเริ่มทอแสงมาทางทิศตะวันออก แต่หมอกจาง ๆ ก็ยังลอยปกคลุมอยู่พอให้นึกถึงบรรยากาศชวนฝันเหมือนในภาพถ่ายทางภาคเหนือของไทยที่เคยพบเห็นมา
เมื่อเดินลงไปจากบริเวณองค์พระธาตุเล็กน้อยมันเป็นเมือนหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเขา คุณพ่อเลยชวนผมกับคุณแม่เดินลงไปสำรวจหมู่บ้าน ระหว่างทางที่เดินผ่านไปหลาย ๆ บ้านที่ตื่นกันแล้วจะมีผู้ชายนุ่งสโร่งนั่งล้อมวงดื่มน้ำชา ส่วนผู้หญิงจะเตรียมสินค้าไว้ขายให้นักท่องเที่ยว อากาศยามเช้าสดชื่นแต่ที่สดชื่นยิ่งกว่าคือใบหน้าของคุณพ่อที่ยิ้มไม่หุบและชอบใจในหมู่บ้านเหล่านี้พลางบอกผมไม่ขาดปากว่าไม่คิดว่าจะมีหมู่บ้านอยู่บนเขาและเจริญขนาดนี้ ระหว่างเดินผ่านร้านค้าบางครั้งคุณพ่อก็เข้าไปเดินดูสินค้าที่แม่ค้าหน้าขาวปะแป้งทนาคาร้องเรียกเชิญชวนให้เข้าไปดู ผมยิ้มในหัวใจและรับรู้ถึงความสุขที่คุณพ่อคุณแม่ได้รับในการมาเที่ยวในที่ที่ห่างไกลจากประเทศบ้านเกิดเป็นครั้งแรก หากคุณพ่อคุณแม่พอใจในสินค้าผมก็ชำระค่าเงินค่าสินค้าที่คุณพ่อคุณแม่เลือกและเก็บรวบรวมลงกระเป๋าสะพาย เมื่อผมพาคุณพ่อคุณแม่เดินเที่ยวรวมทั้งซื้อสินค้าจนท่านทั้งสองพอใจแล้วก็พาท่านเดินกลับไปยังที่พักเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองย่างกุ้งกับคณะทัวร์ต่อไปในตอนสายวันนั้น
คุณพ่อจะรู้หรือเปล่านะว่าลูกชายคนนี้คิดถึงรอยยิ้มของคุณพ่อในเช้าวันนั้นที่หมู่บ้านบริเวณพระธาตุอินทร์แขวนอยู่เสมอ มันยังเป็นสิ่งที่ยังหล่อเลี้ยงหัวใจผมให้มีกำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตแม้ในวันที่ยากลำบากและเสียใจอย่างที่สุดก็ตามที




21 สิงหาคม 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ใบโพธิ์จากต้นโพธิ์ที่เจดีย์ชเวดากองเมืองย่างกุ้งประเทศเมียนมา

                                       ในปี 2552 ผมมีโอกาสพาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวที่ประเทศเมียนมาโดยความตั้งใจคืออยากพาคุณแม่นั่งเครื่องบินสักครั้งในชีวิตเพราะตั้งแต่เกิดมาจนคุณแม่อายุ 67 ปีสิ่งหนึ่งที่คุณแม่จะบอกเสมอมาก็คืออยากนั่งเครื่องบินไปที่ไหนก็ได้ สุดท้ายทริปนี้จึงเกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากตัวผมเองที่กังวลถึงอายุที่มากขึ้นของคุณพ่อและคุณแม่อีกทั้งอะไร ๆ ในโลกนี้ล้วนตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน ตัวคุณแม่ท่านชอบท่องเที่ยวอยู่แล้วเมื่อผมไปบอกท่านว่าจะพาไปเที่ยวเมียนมาท่านดีใจอย่างเห็นได้ชัดแต่กับคุณพ่อที่มันจะมีคำพูดติดติดปากคือ ดูก่อน  วันที่ผมไปบอกท่านว่าจะพาไปไหว้เจดีย์ชเวดากองที่เมียนมาคำพูดว่าดูก่อนจึงออกจากปากท่านอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แปลกไปเพราะอีกไม่กี่วันต่อมาผมก็ได้รับคำตอบว่าจะไปเที่ยวด้วยกันเพราะอยากไปเห็นบ้านเมืองชาวเมียนมาที่เคยได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เด็กเกี่ยวกับเรื่องสงครามของพม่ากับสยามประเทศครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีไทย

                                         ผมติดต่อน้องตี๋ที่มีพี่ชายทำธุรกิจท่องเที่ยวและจัดเตรียมเอกสารสำหรับการท่องเที่ยวอย่าง Passport บัตรประชาชนให้คุณพ่อคุณแม่และตัวผมเองรวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวให้กับทีมงานกรุ๊ปทัวร์เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมและคุณพ่อคุณแม่ก็เดินทางไปประเทศเมียนมากันในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ก่อนวันมาฆบูชาปี 2552  โดยไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเมียนมาเป็นไปอย่างสนุกสนานจนถึงคืนสุดท้ายที่เป็นวันมาฆบูชา ไกด์นำเที่ยวก็พาลูกทัวร์ไปไหว้เจดีย์ชเวดากองกันตอนเย็นก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าซึ่งเจดีย์ชเวดากองนี้ตั้งอยู่ในเมืองย่างกุ้งใกล้กับที่พักของกลุ่มทัวร์เรา

                                     เมื่อไปถึงเจดีย์เราสามคนพ่อแม่ลูกก็เดินชมความงามขององค์เจดีย์ที่มีสีเหลืองอร่าม สาวเมียนมานุ่งผ้าซิ่นประมาณ 8-9 คนเดินเข้าแถวหน้ากระดานบริเวณลานเจดีย์และใช้ไม้กวาดกวาดลานเจดีย์ไปด้วยกันอย่างพร้อมเพรียงนับว่าเป็นภาพที่สวยงามและน่าประทับใจ   ส่วนผมก็พาคุณพ่อคุณแม่เดินชมความงามบริเวณองค์พระเจดีย์ซึ่งกิจกรรมหนึ่งที่เป็นที่นิยมคือการสรงน้ำให้รูปปั้นเทวดารอบองค์เจดีย์ตามกำลังวันเกิด คุณแม่ผมเกิดวันพุธดังนั้นการตักน้ำสรงรูปปั้นจึงต้องตักถึง 17 ครั้งซึ่งคุณแม่ก็ตักไปถามผมไปว่าครบหรือยังจนผมอดขำท่าท่างเก้ ๆ กัง ๆ ของคุณแม่ไม่ได้ เมื่อเสร็จการสรงน้ำแล้วคุณแม่ก็ถามผมว่าจะทำบุญให้พี่ชายได้ที่ไหนพร้อมทั้งหยิบเงินธนบัตรใบละ 5 ดอลลาร์ออกมาจากกระเป๋าซึ่งคุณแม่บอกว่าเป็นแบงก์ของพี่ชายผมที่ให้แม่ไว้ก่อนจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุไปเมื่อ 6 ปีก่อนและตลอดการเดินทางในครั้งนี้คุณแม่จะสอบถามว่าถึงเจดีย์ชเวดากองหรือยังในทุก ๆ ที่ที่เราเดินทางไปเที่ยวเพราะจะเอาเงินดอลลาร์นี้ทำบุญผมเลยพาแม่เดินไปที่ตู้รับบริจาคบริเวณลานเจดีย์และบอกให้แม่หย่อนแบงก์ 5 ดอลลาร์ลงไปที่ตู้รับบริจาคดังกล่าว 

                          เมื่อการชมองค์เจดีย์ชเวดาและกิจกรรมต่าง ๆ สิ้นสุดลงทั้งคณะได้ถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกท่ามกลางแสงจันทร์นวลจากพระจันทร์เต็มดวงคืนวันมาฆที่โผล่ขึ้นเหนือท้องฟ้าทางทิศตะวันออก เมื่อเสร็จสิ้นการถ่ายภาพร่วมกันพวกเราก็เดินทางกลับไปที่พักซึ่งระหว่างที่ทางคณะกำลังจะเดินไปเข้าลิฟต์ลงไปด้านล่างเพื่อขึ้นรถกลับที่พัก ไกด์ที่นำเที่ยวก็ชี้ให้ดูต้นโพธิ์ที่ยืนต้นอยู่ก่อนถึงทางเข้าลิฟต์ เป็นต้นโพธิ์ที่สูงใหญ่แต่ใต้ต้นโพธิ์ไม่มีใบโพธิ์ร่วงอยู่เลยโดยใต้ต้นโพธิ์นั้นจะมีจนท.หน้าตาขึงขังดูแลคอยดูแลต้นโพธิ์อยู่ ด้วยความอยากได้ใบโพธิ์เป็นที่ระลึก ผมจึงเดินไปสอบถามจนท.คนดังกล่าวถึงใบโพธิ์ด้วยว่าจะขอไปเป็นที่ระลึกได้ไหม แต่จนท.ท่านนั้นก็ส่ายหน้าและไม่ได้กล่าวอะไรอีก ผมรับรู้ดังนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรเดินกลับมาหาคุณพ่อคุณแม่และกำลังจะเดินไปเข้าลิฟต์ทันใดนั้นจนท.หน้าตาขึงขังคนนั้นก็ปีนต้นโพธิ์เพื่อไปเด็ดใบโพธิ์มาให้ผมสองใบ คนอื่น ๆ เห็นดังนั้นก็เข้าไปขอบ้างแต่จนท. ท่านนั้นก็ส่ายหน้าแล้วก็บอกว่าให้ได้แค่นั้นคนอื่น ๆ เลยเดินกลับไปด้วยความผิดหวัง ผมเก็บใบโพธิ์สองใบนั้นลงกระเป๋าเพื่อเอากลับมาเมืองไทยและนำมาใส่กรอบเก็บไว้เป็นอย่างดี นับว่าเป็นสิ่งมงคลสำหรับชีวิตอย่างหนึ่งที่ได้รับมาโดยไม่คาดฝันและเป็นสิ่งที่ช่วยให้ระลึกถึงความสุขครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้พาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวยังต่างแดน

 




3 สิงหาคม 2564

ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ธนบัตรขาด

ผมเดินผ่านแม่ที่กำลังนับเงินที่ได้จากการขายของในตลาดนัดเพื่อเข้าไปนั่งพักในบ้าน สักพักก็มีเสียงร้องเรียกผมดังมาจากแม่ “หน่องมาดูแบงก์ให้แม่หน่อย” ผมรีบลุกจากโซฟาและเดินไปหาแม่โดยไม่ต้องให้ท่านเรียกซ้ำ เมื่อเดินไปถึงจึงเห็นแบงก์ยี่สิบบาทสีเขียวกองอยู่ตรงหน้าแม่ และในมือแม่มีแบงก์ยี่สิบที่ขาดจากความเก่าซึ่งแม่ก็บอกผมในทันทีว่า “แม่หยิบแรงไปหน่อยแบงก์เลยขาด หน่องเอาไปแบงก์ไปต่อมาให้แม่ที” ผมรับเงินที่ขาด 2 ท่อนมาจากมือแม่และเดินเข้าไปหยิบแบงก์ยี่สิบในกระเป๋าสตางค์และเดินเอาไปยื่นให้แม่ แม่รับไปและกล่าวชมว่าผมต่อแบงก์ที่ขาดได้อย่างรวดเร็ว ผมได้แต่อมยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไรและเดินกลับไปในบ้าน สักพักแม่ก็เรียกไปถามว่า ทำไมแบงก์ไม่มีรอยต่อ ไปเอาแบงก์นี่มาจากไหน ผมก็เลยบอกว่า “เงินหน่องเอง แม่เอาไปแทนแบงก์ที่ขาด ส่วนแบงก์ที่ขาดเดี๋ยวหน่องเอาไปแลกที่ธนาคารตอนกลับไปกรุงเทพฯ” เมื่อแม่ได้ฟังก็ไม่พูดอะไรกลับไปนับเงินที่ขายของได้ต่อไปส่วนผมก็กลับไปทำธุระส่วนตัวตามเรื่องตามราว




เรื่องแบงก์ขาดหากเป็นสมัยก่อนผมคงรีบหาเทปใสมาต่อแบงก์ให้ติดและพยายามปล่อยมันกลับไปในตลาดให้กับใครซักคน ซึ่งใครคนนั้นผมคงไม่สนใจหรอกว่าเขาจะเอาเงินนั้นไปใช้ต่อได้หรือไม่ ขอเพียงมันไม่อยู่ในมือผมก็พอแล้ว แต่พอมาถึงวันหนึ่งหลายสิ่งในชีวิตสอนเราให้เราคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นมากขึ้น ก็ในเมื่อเรายังไม่ต้องการของไม่ดีเลย แล้วคนอื่นที่เขามีความรู้สึกนึกคิดเหมือนเรา เขาก็คงไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้นเหมือนกันนั่นแหละ อะไรที่มันแย่ทำไมไม่ให้มันจบอยู่ที่ตัวเราล่ะ สุดท้ายแบงก์ขาดใบนั้นก็ยังคงอยู่ติดกระเป๋าเรื่อยมาเพราะหลายครั้งที่ผ่านธนาคารพอคิดจะเข้าไปใช้บริการก็มีคนรอคิวค่อนข้างมากจนไม่มีโอกาสได้แลกกลับมาเป็นแบงก์ปกติเสียที




31 กรกฎาคม 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Life is to laugh ชีวิตเป็นเรื่องตลก

จะเป็นเพราะอยู่กับพ่อมานานเกินไปหรือเปล่าไม่รู้จึงทำให้ติดนิสัยบางอย่างมาจากพ่อโดยไม่รู้ตัว สมัยยังเด็ก ๆ เวลาที่ผมไปหาย่าคงที่บ้านท่าน (ย่าคงเป็นน้องสาวย่ายิ้มคุณแม่ของพ่อผม) ย่าคงมักจะพูดถึงพ่อผมเสมอในเรื่องของการรู้คุณค่าของของกิน “พ่อมึงน่ะกินแตงโมเอาช้อนแคะจนมันทะลุไปถึงเปลือกเขียว ๆ กว่าจะทิ้งไปได้เปลือกแทบไม่เหลือ” เสียงย่าคงและสีหน้าที่ยิ้มแย้มยังคงอยู่ในความทรงจำของผมตลอดมา แม่เคยเล่าให้ฟังถึงความใจดีของย่าคงที่ให้ยืมเงินมาปลูกบ้านหลังแรกที่แยกออกมาจากบ้านย่ายิ้มและตั้งอยู่อีกฝั่งของถนนติดข้างวัดหลังจากที่ครอบครัวของพ่อเริ่มใหญ่ขึ้นและมองไปถึงการก่อร่างสร้างตัวกับแม่หลังจากที่พ่อพาย่ายิ้มไปขอแม่ให้มาเป็นภรรยาในปลายปี 2509



ผมมองอาหารที่ภรรยาจัดเตรียมไว้ให้มากจนบางครั้งมากเกินพอสำหรับคนสองคน ทุกอย่างที่ถูกทำขึ้นมันเป็นความตั้งใจของเธอที่อยากจะปรับปรุงฝีมือและดูแลครอบครัวจนทำให้หลาย ๆ ครั้งอาหารที่ยังทานกันไม่หมดจะเหลือข้ามมื้อเสมอ แต่พอผมจะตัดใจทิ้งอาหารที่ยังกินได้ลงถังขยะ เสียงย่าคงก็ดังขึ้นมาในโสตประสาทเหมือนย้ำเตือนให้ผมคิดถึงความยากลำบากและความประหยัดของพ่อ “พ่อมึงน่ะกินแตงโมเอาช้อนแคะจนมันทะลุไปถึงเปลือกเขียว ๆ… ” ก็ถ้าคุณพ่อประหยัดขนาดนี้จนมีเงินส่งให้ลูกเรียนหนังสือครบทั้ง 4 คน แล้วผมจะเอากับข้าวที่ยังกินไม่หมดทิ้งไปได้อย่างไร ถึงมันจะไม่ใช่ยุคที่พ่อเติบโตมาก็เถอะ เลยกลายเป็นว่าถ้าทานอาหารไม่หมดผมจะเก็บอาหารเข้าตู้เย็นและทยอยกินจนหมดจนได้ บางครั้งภรรยาอาจจะไม่เข้าใจว่าผมทำไปทำไม แต่บางเรื่องอยากให้การกระทำของผมสะท้อนให้เธอเห็นมากกว่าไปบอกให้เธอหยุดทำในสิ่งที่รัก ถ้าผมอ้วนก็แค่อออกไปวิ่งเท่านั้นเอง
生 活 是 笑 话 别 哭 着 听 它
เฉ่ง ฮวย ซี เซี้ยว ฮัว ไป๊ คู ฉี่ ทิ้ง ทา
ชีวิตเป็นเรื่องตลก อย่าร้องไห้ถ้าได้รับฟัง

20 กรกฎาคม 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน