เช้าวันเสาร์ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงในห้องพ่อซึ่งน้องสาวบอกให้เข้าไปนอนหลังจากขับรถมาจากปทุมธานีมาถึงบ้านแม่เมื่อคืนเพราะตั้งแต่พ่อเสียชีวิตก็ไม่มีใครเข้ามานอนนอกจากคุณแม่ที่มักจะเข้ามานอนในบางครั้ง แต่แม่ก็สมัครใจจะกางมุ้งหน้าโทรทัศน์เพื่อดูละครในช่วงไพรม์ไทม์ของช่องเจ็ดแล้วก็หลับไปทั้ง ๆ ที่โทรทัศน์เปิดอยู่บ่อยครั้ง ภายในห้องมีภาพคุณปู่คุณย่านั่งถ่ายรูปด้วยกันบนเก้าอี้ไม้ในสวนที่บ้านในซึ่งเป็นบ้านสวนของคุณปู่ ข้างๆ กันเป็นรูปพี่ชายผมที่เสียชีวิตไปเมื่อ 18 ปีก่อน พี่ชายเป็นลูกชายคนหัวปีของครอบครัวและเป็นลูกที่คุณพ่อคุณแม่รักมากที่สุด ส่วนรูปคุณพ่อตั้งอยู่เลยไปทางผนังห้องถัดจากหัวเตียง ในรูปยังมีรอยยิ้มจาง ๆ ของคุณพ่อโดยเป็นรูปที่ผมถ่ายคุณพ่อที่บริเวณถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา
ต้นจำปูนหลังบ้าน
วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564
กลับไปทำบุญกฐิน 2564 ที่ระยอง
วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2564
วันเกิดคุณพ่อ
วันนี้วันเกิดพ่อนะ พ่อจำได้หรือเปล่า หน่องยังคิดถึงพ่ออยู่เสมอ วันนี้วันออกพรรษานะพ่อ เสียดายจังไม่ได้นั่งคุยแล้วก็ดื่มเบียร์ที่พ่อชอบกับพ่อเหมือนเมื่อก่อน ปีนี้หน่องอายุ 50 ปีแล้วกำลังปรับตัวเข้าสู่วัยชราอย่างมีสติ แม่ยังสบายดียังมีความสุขกับการขายของที่ตลาดนัด ฝนที่บ้านพ่อไม่ค่อยตกแล้วไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะท่วมบ้าน ต้นองุ่นที่หน่องซื้อไปให้พ่อปลูกตายหมดแล้วนะแต่ไม่เป็นไร ตายได้ก็ปลูกใหม่ได้พ่อไม่ต้องเป็นกังวล หญ้าในสวนหลังบ้านขึ้นรกมาก หน่องว่ามันคงเหงาเหมือนกันแหละเพราะไม่มีพ่อคอยไปฉีดยาฆ่าหญ้า รถไฟฟ้าคันสีส้มของพ่อถูกจอดทิ้งไว้นานแล้ว กลับไประยองคราวหน้าหน่องจะเอาออกมาวิ่งให้เจ้าเหม็นหมาตัวที่ชอบวิ่งไล่คนที่เดินผ่านบ้านเรามันวิ่งตามนะครับ พ่อไม่ต้องห่วงแม่นะ หน่องบอกให้แม่ทำบุญมากๆ แล้ววันหนึ่งพวกเราจะกลับมาเจอกันอีก หน่องสัญญา
วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2564
คิดถึงคุณย่า
อาการปวดท้องเหมือนอาหารเป็นพิษและมีอาการถ่ายเป็นมาตั้งแต่ช่วงสายของวันอาทิตย์จนถึงเย็นก็ยังไม่ค่อยทุเลา ช่วง 3 ทุ่มกว่าภรรยาจึงไปค้นยาในบ้านได้ยาหอมมาชงให้ดื่ม ขณะรับถ้วยเล็กๆ จากมือภรรยาที่มียาหอมที่ชงแล้วอยู่ 1/4 ถ้วย ภาพในอดีตพร้อมเสียงแห่งความเมตตาปราณีของคุณย่าก็ดังขึ้นมาในห้วงความคิด “ไอ้คนแก่ กินยาหอมซะให้หมดแก้ว จะได้หายปวดท้อง” ด้วยความเป็นเด็ก กลิ่นยาหอมตรา 5 เจดีย์ลอยขึ้นมาเตะจมูกรวมไปถึงปริมาณยาหอมที่ถูกชงด้วยน้ำร้อนมันมากพอจะทำให้ผมลอบกลืนน้ำลายและคิดที่จะปฏิเสธ แต่สายตาของคุณย่าผู้มีความห่วงใยในตัวหลานก็ทำให้ผมหลับหูหลับตาดื่มยาหอมไปจนหมดแก้วและนอนแผ่หลาอยู่ข้างๆ คุณย่านั่นเอง ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ยาหอมหรือเพราะความใจดีของคุณย่าที่ทำให้หายปวดท้องในคืนนั้น แต่ความทรงจำจะคอยออกมาย้ำเตือนเสมอเมื่อกลิ่นยาหอมลอยมาเตะจมูกและคิดถึงคุณย่าอยู่ทุกครั้งไป
ผมร้องขอให้ภรรยาเติมน้ำร้อนในถ้วยยาหอมให้ระดับน้ำเกินกว่าครึ่งถ้วย ภรรยาทำหน้าสงสัยแต่ก็ยอมทำให้แต่โดยดี คุณย่าจะรู้หรือเปล่านะว่าหลานชายคุณย่าคิดถึงใบหน้าคุณย่าและเสียงเรียกขานว่า ไอ้คนแก่อยู่ทุกครั้งที่ได้กลิ่นยาหอม อยากจะเจอและนั่งดูคุณย่านั่งหลังขดหลังแข็งเอาไม้ไผ่ที่ผ่าออกมาเป็นเส้นๆ มาสานกระด้ง สานกระบุงเหมือนวันเก่าจัง หรือขอแค่ฝันถึงคุณย่าก็ยังดี
12 กันยายน 2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน
วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2564
แด่คุณพ่อในหัวใจด้วยความทรงจำ
เสียงคล้ายๆ ปี่แตรดังระงมมาตั้งแต่ตอนตี 4 จนปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาบนที่นอนในที่พักใกล้ ๆ กับพระธาตุอินทร์แขวน เสียงที่ได้ยินนั้นดังล่องลอยประสานเสียงใกล้เข้ามาและเลยผ่านไป แต่เสียงก็ยังดังมาไม่ขาดสายเหมือนมีคนเป่าแตรจำนวนมากกำลังเดินไปด้วยเป่าไปด้วย ผมขยับตัวและหันไปมองทางเตียงที่คุณพ่อกับคุณแม่นอนหลับอยู่ใกล้ ๆ กัน คุณพ่อขยับตัวเล็กน้อยอยู่ใต้ผ้าห่ม ส่วนคุณแม่ยังหลับสนิทอยู่ข้างๆ กัน นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่เคยนอนในห้องเดียวกันกับคุณพ่อและคุณแม่จนกระทั่งมาเที่ยวที่เมียนมาในครั้งนี้
วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2564
ใบโพธิ์จากต้นโพธิ์ที่เจดีย์ชเวดากองเมืองย่างกุ้งประเทศเมียนมา
ในปี 2552 ผมมีโอกาสพาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวที่ประเทศเมียนมาโดยความตั้งใจคืออยากพาคุณแม่นั่งเครื่องบินสักครั้งในชีวิตเพราะตั้งแต่เกิดมาจนคุณแม่อายุ 67 ปีสิ่งหนึ่งที่คุณแม่จะบอกเสมอมาก็คืออยากนั่งเครื่องบินไปที่ไหนก็ได้ สุดท้ายทริปนี้จึงเกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากตัวผมเองที่กังวลถึงอายุที่มากขึ้นของคุณพ่อและคุณแม่อีกทั้งอะไร ๆ ในโลกนี้ล้วนตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน ตัวคุณแม่ท่านชอบท่องเที่ยวอยู่แล้วเมื่อผมไปบอกท่านว่าจะพาไปเที่ยวเมียนมาท่านดีใจอย่างเห็นได้ชัดแต่กับคุณพ่อที่มันจะมีคำพูดติดติดปากคือ “ดูก่อน” วันที่ผมไปบอกท่านว่าจะพาไปไหว้เจดีย์ชเวดากองที่เมียนมาคำพูดว่าดูก่อนจึงออกจากปากท่านอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แปลกไปเพราะอีกไม่กี่วันต่อมาผมก็ได้รับคำตอบว่าจะไปเที่ยวด้วยกันเพราะอยากไปเห็นบ้านเมืองชาวเมียนมาที่เคยได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เด็กเกี่ยวกับเรื่องสงครามของพม่ากับสยามประเทศครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีไทย
ผมติดต่อน้องตี๋ที่มีพี่ชายทำธุรกิจท่องเที่ยวและจัดเตรียมเอกสารสำหรับการท่องเที่ยวอย่าง
Passport บัตรประชาชนให้คุณพ่อคุณแม่และตัวผมเองรวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวให้กับทีมงานกรุ๊ปทัวร์เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมและคุณพ่อคุณแม่ก็เดินทางไปประเทศเมียนมากันในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ก่อนวันมาฆบูชาปี
2552 โดยไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ซึ่งการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเมียนมาเป็นไปอย่างสนุกสนานจนถึงคืนสุดท้ายที่เป็นวันมาฆบูชา
ไกด์นำเที่ยวก็พาลูกทัวร์ไปไหว้เจดีย์ชเวดากองกันตอนเย็นก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าซึ่งเจดีย์ชเวดากองนี้ตั้งอยู่ในเมืองย่างกุ้งใกล้กับที่พักของกลุ่มทัวร์เรา
เมื่อไปถึงเจดีย์เราสามคนพ่อแม่ลูกก็เดินชมความงามขององค์เจดีย์ที่มีสีเหลืองอร่าม
สาวเมียนมานุ่งผ้าซิ่นประมาณ 8-9 คนเดินเข้าแถวหน้ากระดานบริเวณลานเจดีย์และใช้ไม้กวาดกวาดลานเจดีย์ไปด้วยกันอย่างพร้อมเพรียงนับว่าเป็นภาพที่สวยงามและน่าประทับใจ ส่วนผมก็พาคุณพ่อคุณแม่เดินชมความงามบริเวณองค์พระเจดีย์ซึ่งกิจกรรมหนึ่งที่เป็นที่นิยมคือการสรงน้ำให้รูปปั้นเทวดารอบองค์เจดีย์ตามกำลังวันเกิด
คุณแม่ผมเกิดวันพุธดังนั้นการตักน้ำสรงรูปปั้นจึงต้องตักถึง 17
ครั้งซึ่งคุณแม่ก็ตักไปถามผมไปว่าครบหรือยังจนผมอดขำท่าท่างเก้ ๆ กัง ๆ
ของคุณแม่ไม่ได้ เมื่อเสร็จการสรงน้ำแล้วคุณแม่ก็ถามผมว่าจะทำบุญให้พี่ชายได้ที่ไหนพร้อมทั้งหยิบเงินธนบัตรใบละ
5 ดอลลาร์ออกมาจากกระเป๋าซึ่งคุณแม่บอกว่าเป็นแบงก์ของพี่ชายผมที่ให้แม่ไว้ก่อนจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุไปเมื่อ
6 ปีก่อนและตลอดการเดินทางในครั้งนี้คุณแม่จะสอบถามว่าถึงเจดีย์ชเวดากองหรือยังในทุก
ๆ ที่ที่เราเดินทางไปเที่ยวเพราะจะเอาเงินดอลลาร์นี้ทำบุญผมเลยพาแม่เดินไปที่ตู้รับบริจาคบริเวณลานเจดีย์และบอกให้แม่หย่อนแบงก์
5 ดอลลาร์ลงไปที่ตู้รับบริจาคดังกล่าว
เมื่อการชมองค์เจดีย์ชเวดาและกิจกรรมต่าง
ๆ สิ้นสุดลงทั้งคณะได้ถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกท่ามกลางแสงจันทร์นวลจากพระจันทร์เต็มดวงคืนวันมาฆที่โผล่ขึ้นเหนือท้องฟ้าทางทิศตะวันออก
เมื่อเสร็จสิ้นการถ่ายภาพร่วมกันพวกเราก็เดินทางกลับไปที่พักซึ่งระหว่างที่ทางคณะกำลังจะเดินไปเข้าลิฟต์ลงไปด้านล่างเพื่อขึ้นรถกลับที่พัก
ไกด์ที่นำเที่ยวก็ชี้ให้ดูต้นโพธิ์ที่ยืนต้นอยู่ก่อนถึงทางเข้าลิฟต์ เป็นต้นโพธิ์ที่สูงใหญ่แต่ใต้ต้นโพธิ์ไม่มีใบโพธิ์ร่วงอยู่เลยโดยใต้ต้นโพธิ์นั้นจะมีจนท.หน้าตาขึงขังดูแลคอยดูแลต้นโพธิ์อยู่
ด้วยความอยากได้ใบโพธิ์เป็นที่ระลึก ผมจึงเดินไปสอบถามจนท.คนดังกล่าวถึงใบโพธิ์ด้วยว่าจะขอไปเป็นที่ระลึกได้ไหม
แต่จนท.ท่านนั้นก็ส่ายหน้าและไม่ได้กล่าวอะไรอีก ผมรับรู้ดังนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรเดินกลับมาหาคุณพ่อคุณแม่และกำลังจะเดินไปเข้าลิฟต์ทันใดนั้นจนท.หน้าตาขึงขังคนนั้นก็ปีนต้นโพธิ์เพื่อไปเด็ดใบโพธิ์มาให้ผมสองใบ
คนอื่น ๆ เห็นดังนั้นก็เข้าไปขอบ้างแต่จนท.
ท่านนั้นก็ส่ายหน้าแล้วก็บอกว่าให้ได้แค่นั้นคนอื่น ๆ
เลยเดินกลับไปด้วยความผิดหวัง ผมเก็บใบโพธิ์สองใบนั้นลงกระเป๋าเพื่อเอากลับมาเมืองไทยและนำมาใส่กรอบเก็บไว้เป็นอย่างดี
นับว่าเป็นสิ่งมงคลสำหรับชีวิตอย่างหนึ่งที่ได้รับมาโดยไม่คาดฝันและเป็นสิ่งที่ช่วยให้ระลึกถึงความสุขครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้พาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวยังต่างแดน
3 สิงหาคม
2564
ต้นจำปูนหลังบ้าน
วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
ธนบัตรขาด
ผมเดินผ่านแม่ที่กำลังนับเงินที่ได้จากการขายของในตลาดนัดเพื่อเข้าไปนั่งพักในบ้าน สักพักก็มีเสียงร้องเรียกผมดังมาจากแม่ “หน่องมาดูแบงก์ให้แม่หน่อย” ผมรีบลุกจากโซฟาและเดินไปหาแม่โดยไม่ต้องให้ท่านเรียกซ้ำ เมื่อเดินไปถึงจึงเห็นแบงก์ยี่สิบบาทสีเขียวกองอยู่ตรงหน้าแม่ และในมือแม่มีแบงก์ยี่สิบที่ขาดจากความเก่าซึ่งแม่ก็บอกผมในทันทีว่า “แม่หยิบแรงไปหน่อยแบงก์เลยขาด หน่องเอาไปแบงก์ไปต่อมาให้แม่ที” ผมรับเงินที่ขาด 2 ท่อนมาจากมือแม่และเดินเข้าไปหยิบแบงก์ยี่สิบในกระเป๋าสตางค์และเดินเอาไปยื่นให้แม่ แม่รับไปและกล่าวชมว่าผมต่อแบงก์ที่ขาดได้อย่างรวดเร็ว ผมได้แต่อมยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไรและเดินกลับไปในบ้าน สักพักแม่ก็เรียกไปถามว่า ทำไมแบงก์ไม่มีรอยต่อ ไปเอาแบงก์นี่มาจากไหน ผมก็เลยบอกว่า “เงินหน่องเอง แม่เอาไปแทนแบงก์ที่ขาด ส่วนแบงก์ที่ขาดเดี๋ยวหน่องเอาไปแลกที่ธนาคารตอนกลับไปกรุงเทพฯ” เมื่อแม่ได้ฟังก็ไม่พูดอะไรกลับไปนับเงินที่ขายของได้ต่อไปส่วนผมก็กลับไปทำธุระส่วนตัวตามเรื่องตามราว
วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
Life is to laugh ชีวิตเป็นเรื่องตลก
จะเป็นเพราะอยู่กับพ่อมานานเกินไปหรือเปล่าไม่รู้จึงทำให้ติดนิสัยบางอย่างมาจากพ่อโดยไม่รู้ตัว สมัยยังเด็ก ๆ เวลาที่ผมไปหาย่าคงที่บ้านท่าน (ย่าคงเป็นน้องสาวย่ายิ้มคุณแม่ของพ่อผม) ย่าคงมักจะพูดถึงพ่อผมเสมอในเรื่องของการรู้คุณค่าของของกิน “พ่อมึงน่ะกินแตงโมเอาช้อนแคะจนมันทะลุไปถึงเปลือกเขียว ๆ กว่าจะทิ้งไปได้เปลือกแทบไม่เหลือ” เสียงย่าคงและสีหน้าที่ยิ้มแย้มยังคงอยู่ในความทรงจำของผมตลอดมา แม่เคยเล่าให้ฟังถึงความใจดีของย่าคงที่ให้ยืมเงินมาปลูกบ้านหลังแรกที่แยกออกมาจากบ้านย่ายิ้มและตั้งอยู่อีกฝั่งของถนนติดข้างวัดหลังจากที่ครอบครัวของพ่อเริ่มใหญ่ขึ้นและมองไปถึงการก่อร่างสร้างตัวกับแม่หลังจากที่พ่อพาย่ายิ้มไปขอแม่ให้มาเป็นภรรยาในปลายปี 2509
ผมมองอาหารที่ภรรยาจัดเตรียมไว้ให้มากจนบางครั้งมากเกินพอสำหรับคนสองคน ทุกอย่างที่ถูกทำขึ้นมันเป็นความตั้งใจของเธอที่อยากจะปรับปรุงฝีมือและดูแลครอบครัวจนทำให้หลาย ๆ ครั้งอาหารที่ยังทานกันไม่หมดจะเหลือข้ามมื้อเสมอ แต่พอผมจะตัดใจทิ้งอาหารที่ยังกินได้ลงถังขยะ เสียงย่าคงก็ดังขึ้นมาในโสตประสาทเหมือนย้ำเตือนให้ผมคิดถึงความยากลำบากและความประหยัดของพ่อ “พ่อมึงน่ะกินแตงโมเอาช้อนแคะจนมันทะลุไปถึงเปลือกเขียว ๆ… ” ก็ถ้าคุณพ่อประหยัดขนาดนี้จนมีเงินส่งให้ลูกเรียนหนังสือครบทั้ง 4 คน แล้วผมจะเอากับข้าวที่ยังกินไม่หมดทิ้งไปได้อย่างไร ถึงมันจะไม่ใช่ยุคที่พ่อเติบโตมาก็เถอะ เลยกลายเป็นว่าถ้าทานอาหารไม่หมดผมจะเก็บอาหารเข้าตู้เย็นและทยอยกินจนหมดจนได้ บางครั้งภรรยาอาจจะไม่เข้าใจว่าผมทำไปทำไม แต่บางเรื่องอยากให้การกระทำของผมสะท้อนให้เธอเห็นมากกว่าไปบอกให้เธอหยุดทำในสิ่งที่รัก ถ้าผมอ้วนก็แค่อออกไปวิ่งเท่านั้นเอง