วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

เรื่องเก่าที่ไม่เคยหายไปจากสังคมไทย


หลังจากอดทนลอกลายหนุมานที่กำลังทะยานกาย หน้าแหงนมองฟ้า อ้าปากหาวเป็นดาวเป็นเดือน จากหนังสือเรียนของชั้น ป. 4 เมื่อปี 2524 จนเสร็จ หัวใจที่พองโตเพราะภูมิใจในฝีมือตนเองจนพาให้เด็กน้อยคนนั้นเอาภาพที่ตั้งใจลอกลายดังกล่าวไปอวดพ่อ ลุงและญาติ ๆ ด้วยหวังจะได้รับคำชมเชยว่าภาพนั้นสวยงามสมกับความตั้งใจของเด็ก 10 ขวบคนหนึ่ง แต่คำพูดจากปากผู้ใหญ่กลับเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับที่เด็กน้อยคาดหวังไว้ “วาดทำไม ของมันมีครู ไม่ดีอย่าทำเลย เดี๋ยวของจะเข้าตัว” “เราไม่ได้เรียนมา วาดไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นอะไรไป” “ของมีครู เราทำไม่ถูกเดี๋ยวมันจะเป็นบ้าได้” หลากหลายความคิดเห็นที่ประเดประดังจากปากญาติมันมากพอที่จะทำให้เด็กคนนั้นเก็บภาพดังกล่าวกลับบ้าน และทำมันสูญหายไปในที่สุด 

หากมองย้อนกลับไป ผมไม่เคยคิดโทษบรรดาญาติๆ ที่ทำให้แรงบันดาลใจ ความฝันวัยเยาว์ที่อาจจะจุดประกายความคิดของเด็กคนหนึ่งหายไป เพราะท่านเหล่าเกิดและเติบโตมากับสังคมเกษตรกรรม การศึกษาระดับประถมศึกษาชั้นปีที่ 4 รวมทั้งความเชื่อ จารีตประเพณีที่ถ่ายทอดกันมาจนทำให้ไม่รู้ว่าต้องสอนอะไรกับเด็กน้อยในวันนั้น แต่กับคนอีกหลาย ๆ คนที่มีโอกาสได้ดูแล พัฒนาคน พัฒนากระบวนการเติบโตของสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะศิลปวัฒนธรรมไทย ทำไมคนเหล่านั้นไม่ปรับตัว ปรับความคิดและต่อยอดของที่เราเรียกกันว่าของชั้นสูงให้สามารถก้าวเดินไปด้วยกันกับวัฒนธรรมที่หลากหลายซึ่งถาโถมเข้ามาสู่สังคมไทยทุกทิศทุกทาง ในขณะที่คนรุ่นใหม่เริ่มถอยห่างออกไปจากความเป็นชาติไทยมากขึ้นทุกที 

"น้องปูนจะเรียนรำไทยนะพี่หน่อง อ้อยไปจ่ายเงินมาแล้ว อ้อยเห็นว่าปูนตั้งใจจริงจังเลยสนับสนุน" คำพูดของน้องสาวดังมาตามสายโทรศัพท์เมื่อหลายเดือนก่อนทำให้ผมอมยิ้มแต่ก็อดแปลกใจในความคิดของหลานตัวน้อยที่วิธีคิดดูจะแตกต่างไปจากคุณแม่และตัวผมเองไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไรเพียงแต่กำชับให้เขาตั้งใจทำสิ่งดังกล่าวอย่างเต็มที่ ถึงวันนี้พอมองไปเห็นอะไร ๆ ที่มันดูแตกต่าง จุดเชื่อมในชีวิตของคนแต่ละรุ่นมันดูจะหายากเข้าทุกทีโดยเฉพาจุดเชื่อมทางวัฒนธรรมที่ต้องส่งผ่านจากคนแต่ละรุ่น แต่สิ่งที่ผมจะไม่ทำเหมือนกับที่โดนกระทำเมื่อยังเด็กก็คือผมจะไม่ไปปิดกั้นความคิดของเด็กน้อยที่ฝันในสิ่งที่สวยงาม และจะปล่อยให้ฝันนั้นเติบโตขึ้นในใจของเด็กน้อยต่อไปจนกว่าเขาจะหาตัวของเขาเจอได้ด้วยตนเอง

23 กันยายน 2559
ต้นจำปูนหลังบ้าน

ระลึกถึงอาจารย์ผู้เป็นที่รักและเป็นผู้ให้ตลอดมา

                    สมัยเรียนชั้น มันธยมศึกษาตอนปลาย ผมมีอาจารย์สอนภาษาอังกฤษท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ผู้หญิงชื่อ  ปันหยี ท่านเป็นคนมีจิตใจดีและเป็นครูในแบบที่เรียกว่าเต็มที่กับการสอนลูกศิษย์ในทุก ๆ ครั้ง  แต่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยรับรู้ความหวังดีของท่านเท่าใดนัก  บางคนเรียนบ้าง ไม่เรียนบ้างไปตามเรื่องและแทบจะไม่เห็นคุณค่าในการสอนภาษาอังกฤษของท่านเลย    ส่วนตัวผมเองพยายามเรียนแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ดีซักที อาจจะเป็นเพราะผมพยายามไม่มากพอหรือเรียนผิดวิธี จนบางครั้งก็คิดไปเองว่า ทำไมมันภาษาอังกฤษมันยากเย็นนักหนา แต่ก็พยายามไม่ทิ้ง วันหนึ่งท่านก็สอนให้พวกผมฟังเพลงต่างประเทศ(ที่พวกเราๆ ท่าน ๆ เรียกกันว่า เพลงฝรั่งนั่นแหละ) และแปลเนื้อหาในเพลงให้ฟัง   ตั้งแต่นั้นมาผมก็ชอบฟังเพลงภาษาอังกฤษ  และพยายามหัดแปล ความหมายจากเพลง ทั้งค้นจากหนังสือ ตั้งใจฟังผ่านเทปคลาสเซ็ท ซึ่งหลาย ๆ เพลงที่ฟังมีความหมายดีมาก  จวบจนวันหนึ่งก่อนจะเรียนจบ ชั้นม. 6  อาจารย์ปันหยีท่านก็เมตตาอวยพรพวกผมด้วยน้ำเสียงแจ่มใสเต็มไปด้วยความรัก ซึ่งผมยังจำน้ำเสียงของ อาจารย์ซึ่งยังคงก้องอยู่ในหูจนถึงทุกวันนี้ว่า นักเรียนคะ ขอให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิตนะคะ ตั้งใจทำทุก ๆ สิ่งให้ดีที่สุด ใครไม่ได้เรียนต่อก็ขอให้ตั้งใจทำงาน ส่วนใครถ้าได้เรียนต่อและไม่รู้จะเขียนจดหมายไปหาใคร ขอให้เขียนจดหมาย และจะเขียนอะไรมาเล่าให้ครูฟังก็ได้นะคะ ครูจะรออ่านค่ะ
                          เวลาผ่านไปปีที่ 1  ปีที่ 2  ในการเรียนในรั้วมหาลัย ผมก็ยังจำคำอาจารย์ได้ไม่ลืม แต่ก็ไม่ได้คิดจะเขียนจดหมายไปเล่าให้อาจารย์ฟังถึงชีวิตความเป็นอยู่อะไร  วันวันก็เรียนบ้าง เล่นบ้าง ไม่ได้จริงจังกับชีวิตนัก เหมือนกับว่าเรียนให้จบๆไป เท่านั้นเอง และใช้เงินก้อนจำนวน  20,000  บาทที่แม่ให้และนำไปฝากธนาคารออมสินตั้งแต่ยังเรียนมัธยมอย่างจำกัด แพราะรู้ว่าจะต้องใช้ถึง  4  ปี  พอกลับมาบ้านก็ไม่ได้คุยกับน้องสาวซึ่งยังเรียนอยู่ที่ ร.ร. มัธยมที่อาจารย์ท่านสอนอยู่  ไม่ได้ถามถึงโรงเรียนเก่า ไม่ได้ถามถึงอาจารย์ ท่านใดเลย ปิดเทอมก็กลับไปอยู่บ้าน พยายามทำงานเก็บเงินเพื่อมาเป็นทุนเรียนต่อในเทอมถัดไป โดยตั้งใจจะขอพ่อแม่ให้น้อยที่สุดบางครั้งพี่ชายผมก็ให้เงินใช้บ้าง จนจบมหาวิทยาลัยออกมาและเข้ามาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ แต่ผมยังจำ อาจารย์ ปันหยีได้ไม่มีลืมและตั้งใจว่าถ้าผ่านไป 10  ปี ผมพอจะมีเงินมีทอง มีอะไรบ้าง จะได้เขียนจดหมายไปหา อาจารย์ พร้อมทั้งอวดถึงความสำเร็จของตัวเอง เท่าที่จะหามาได้ให้ท่านรับรู้  จนกระทั่งวันหนึ่งในปีที่ 10 (2543) หลังจากเรียนจบ ม. ปลายผมจึงเอ่ยปากถามเพื่อนคนหนึ่งว่าอาจารย์ปันหยี ที่เคยสอน ภาษาอังกฤษยังสอนอยู่ที่บ้านฉางหรือเปล่า  เพราะตั้งใจจะเขียนจดหมายไปหา และเล่าเรื่องราว 10  ปีที่ผ่านมา  คำตอบจากเพื่อนทำให้ผมอึ้งไปหมด  เพื่อนบอกว่า อาจารย์ ท่านเป็น มะเร็ง เสียชีวิตไปเมื่อ  2 ปีก่อน
                          ผมใจหายนะ คิดอยู่เสมอว่าถ้าเราเขียนจดหมายไปคุยกับอาจารย์บ้าง ผมอาจจะรู้ว่าท่านเป็นอย่างไร รู้ว่าท่านมีความสุขมั้ยและจะได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมท่านบ้าง (อาจารย์ เป็นคนที่ผมเลือกให้มาแทนคนรับมาลัยในวันแม่แทนแม่ผมในปี 2532 ตอน นั้นแม่ผมป่วยเพราะตกต้นมะม่วง กระดูสันหลังร้าว)    ระยะหลังมาผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ไปนานแล้ว แต่บางทีพอมีเวลามานั่งคิดทบทวนเรื่องของตัวเอง มันก็มักจะผุดขึ้นมาในหัวเป็นเรื่องแรก ๆ  เดี๋ยวนี้เวลาฟังเพลงหรือร้องเพลงสากล ผมจะนึกถึงอาจารย์ปันหยีทุกครั้งเพราะเนื้อหาและถ้อยคำในเพลงที่เราเข้าใจมันมาจากท่านได้เป็นผู้เริ่มให้ตั้งแต่สมัยเรียน
                         เพลงหนึ่งที่ผมชอบฟังและร้องตามไปด้วยคือเพลง  Every time you go away  ของ  Paul young  ซึ่งเนื้อหาหลัก ๆ  ของเพลง เป็นท่อนคอรัสซึ่งเป็นส่วนที่ผมประทับใจมากที่สุด ที่ร้องว่า
Every time you go away
You take a piece of me with you
Every time you go away
You take a piece of me with you

ผมรักอาจารย์ครับ
Everything must pass… away.

29  กันยายน  2559
ต้นจำปูนหลังบ้าน



วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2559

คุณไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินชีวิตใคร

               ตุลาคม 2535 ผมร่วมคณะออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทของมหาวิทยาลัยไปยังจังหวัดชายทะเลภาคตะวันออก การเดินทางไปครั้งนี้ความรู้สึกหลาย ๆ อย่างแตกต่างไปจากเดิม ด้วยวัยที่โตขึ้น คนมากหน้าหลายตาเข้ามาร่วมกันมากกว่าปีก่อน ๆ ความรู้สึกห่างเหินกับคนใหม่ ๆ ที่เข้ามาหรือแม้แต่คนในกลุ่มเดียวกัน การที่ถูกจำกัดเขตการทำงานให้อยู่ภายในภาคของที่ตั้งมหาวิทยาลัย ผมรู้สึกเหมือนการออกไปทำในสิ่งที่เคยทำไปให้เสร็จ ๆ เท่านั้น ถึงตัวจะไปแต่ใจมันล่อยลอยไปไหนก็ไม่รู้
            
                               กิจกรรมที่ทำก็คือการก่อสร้างอาคาร งานก่อสร้างนั้นไม่ยากนัก แต่สิ่งที่ยากในการทำงานนั้นคือไม้ที่เราจัดหาไว้เพื่อนำมาทำเป็นโครงหลังคามีไม่พอ แล้วเราจะหาไม้มาจากไหน เงินทุนก็ไม่เพียงพอ การตัดสินใจที่สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตก็มาถึง ในที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่า เราจะไปหาไม้บนเขาใกล้ ๆ โรงเรียนมาแปรรูปเพื่อทำหลังคา โดยมีชาวบ้านที่มีความชำนาญมาคอยช่วย

                               ผมและเพื่อนๆ รวมทั้งชาวบ้านเดินทางขึ้นไปบนเขา เมื่อไปถึง เราเดินสำรวจเพื่อมองหาต้นไม้ที่ต้องการ สุดท้ายได้ไม้ต้นหนึ่งที่โคนต้นนั้นถูกปลวกแทะจนกินเนื้อไม้ไปถึง 3 ใน 4 ส่วน อาการของต้นไม้หากปล่อยไปไม่ถึงปีก็อาจจะยืนต้นตาย หลังจากปรึกษาและพิจารณากันถี่ถ้วยแล้วจึงตัดสินใจโค่นต้นไม้ต้นนั้นลงมา ขณะที่ชาวบ้านลงเลื่อยยนต์ไปที่โคนต้นไม้นั้น คำถามลอยมาอยู่เต็มหัว เราไปโค่นต้นไม้นั้นทำไม แล้วเราทำถกแล้วหรือ หลังชาวบ้านใช้เลื่อยยนต์เลื่อยที่โคนไม้ไม่ถึง 5 นาที ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นก็ล้มลงไปต่อหน้าต่อตา ความรู้สึกของผมขณะนั้นคือใจหาย เสียดาย สูญเสีย เหมือนมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ในลำคอ พูดไม่ออก ผมไม่รู้ว่าผมและคณะเดินกลับมาถึงที่โรงเรียนเมื่อไหร่ และเย็นนั้นในที่ประชุม ผมเป็นคนหนึ่งที่ร่วมให้ข้อมูลการทำงานกับทีมงาน เหตุผลและเงื่อนไขในการโค่นต้นไม้ หลังจากผมพูดจบ เสียงพี่แก้วนิสิตพยาบาลปี 4 ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบผมเป็นคนที่เรียนวิชาพยาบาล ผมถูกสอนอยู่เสมอว่า คุณไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินว่าคนไข้จะอยู่หรือจะไป หน้าที่ของคุณคือรักษาชีวิตของคนไข้ให้สุดความสามารถ ไม่ใช่ไปตัดสินชีวิตของเขาแทนตัวเขาเอง” ผมฟังพี่แก้วพูดแล้วนิ่งไปนาน ไม่มีเสียงตอบโต้เพราะจำนนในเหตุผลของพี่แก้ว ใช่ ผมไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินชีวิตใคร ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือแม้แต่ต้นไม้ใกล้ตายที่ผมไปโค่นเขาลงมา ถึงจะเพื่อการพัฒนาตามที่ผมคิดว่าดีแล้วก็ตาม


10 กันยายน 2559
ต้นจำปูนหลังบ้าน


วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559

ยากแท้ แต่ไม่เคย


ยากแท้ แต่ไม่เคย
          ผมเขียน ก.ไก่ไม่ได้ครับคุณครู มันยาก  ผมตอบคุณครูประจำชั้นอนุบาลไปอย่างซื่อ ๆ  หลังจากคุณครูสอบถามว่าทำไมไม่ยอมหัดเขียน ก.ไก่ ตามที่คุณครูบอก  คุณครูท่านใจเย็นและตอบกลับมาว่า มณเฑียร ประยงค์เขายังเขียนได้เลย แล้วทำไมมณเฑียรจะเขียนไม่ได้หลังจากพูดจบคุณครูก็เรียกให้ประยงค์เอาสมุดคัดลายมือมาให้ผมดู สิ่งที่ผมเห็นก็คือ ก.ไก่ ตัวโตและโย้ไปโย้มาเขียนอยู่ในบรรทัดเต็มหน้าสมุด ถึงจะดูไม่สวยงาม แต่ก็มองออกว่าเป็นตัว ก.ไก่  ที่ประยงค์เขียนจริง ๆ จากนั้นคุณครูก็ให้ประยงค์เขียน ก.ไก่ ให้ผมดูกับตา  ผมนิ่งไปอึดใจหนึ่งด้วยคิดไม่ถึงว่าเด็กผู้ชายหน้าตาสะลึมสะลือตัวผอมแกรนและดูไม่มีอะไรโดเด่นจะสามารถทำในสิ่งที่ผมคิดว่ายากออกมาได้  ผมเดินกลับมาที่โต๊ะนั่งและหยิบดินสอออกมา พยายามตั้งใจเขียน ก.ไก่ โดยดูรูปแบบจากหนังสือ สุดท้ายผมก็ เขียน ก.ไก่ได้ มันดูไม่ค่อยสวยงามแต่ในใจผมลิงโลดและคิดไปว่า ไม่เห็นจะยากเลย และตัวหนังสือที่ผมเขียนออกมานั้นสวยกว่าของประยงค์ที่ผมไปดูแบบมาซะอีก 
          ผ่านไปหลายปีจนผมลืมเรื่องเขียน ก.ไก่ไปแล้ว  จนวันหนึ่งเพื่อนชื่อประยงค์ก็ขอ Add Friend ใน Facebook เข้ามา ความทรงจำต่าง ๆ สมัยเด็กไหลมาเป็นสายน้ำ ตำแหน่งหัวหน้าห้องสมัยชั้นอนุบาลที่ได้รับมอบหมายจากคุณครูหลังจากหัวหน้าคนแรกที่นั่งข้าง ๆ ผมมาเรียนวันเดียวแล้วก็หยุดยาวไปหลายวันเพราะป่วยจนคุณครูมอบหมายให้ผมเป็นหัวหน้าห้องแทน หลาย ๆ เรื่องที่ผมต้องทำเป็นตัวอย่างให้ลูกน้องดูเพราะไม่มีใครกล้า เรื่องยาก ๆ สมัยเด็กที่ไม่เคยรู้ไม่เคยทำก็ยังผ่านมาตั้งมากมาย จะกลัวอะไรกับสิ่งที่รอเราอยู่ข้างหน้า ขอแต่ตั้งใจทำเถอะ อะไร ๆ ก็คงไม่ยากจนเกินมือ มองเห็นงานที่รออยู่ข้างหน้าแล้วก็ได้แต่นึกขำในความกังวลของตัวเองที่เคยเกิดขึ้น หลวงพ่อจรัญท่านยังเคยบอกไว้เลยว่า ยากแท้ แต่ไม่เคยมันไม่มีอะไรยากจนเกินความสามารถของพวกเราทุกคนหรอก แค่เราไม่เคยทำมันเท่านั้นเอง

4 กันยายน 2559
ต้นจำปูนหลังบ้าน