หลังจากอดทนลอกลายหนุมานที่กำลังทะยานกาย
หน้าแหงนมองฟ้า อ้าปากหาวเป็นดาวเป็นเดือน จากหนังสือเรียนของชั้น ป. 4 เมื่อปี 2524 จนเสร็จ
หัวใจที่พองโตเพราะภูมิใจในฝีมือตนเองจนพาให้เด็กน้อยคนนั้นเอาภาพที่ตั้งใจลอกลายดังกล่าวไปอวดพ่อ
ลุงและญาติ ๆ ด้วยหวังจะได้รับคำชมเชยว่าภาพนั้นสวยงามสมกับความตั้งใจของเด็ก 10
ขวบคนหนึ่ง
แต่คำพูดจากปากผู้ใหญ่กลับเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับที่เด็กน้อยคาดหวังไว้ “วาดทำไม
ของมันมีครู ไม่ดีอย่าทำเลย เดี๋ยวของจะเข้าตัว” “เราไม่ได้เรียนมา วาดไม่ได้
เดี๋ยวจะเป็นอะไรไป” “ของมีครู เราทำไม่ถูกเดี๋ยวมันจะเป็นบ้าได้”
หลากหลายความคิดเห็นที่ประเดประดังจากปากญาติมันมากพอที่จะทำให้เด็กคนนั้นเก็บภาพดังกล่าวกลับบ้าน
และทำมันสูญหายไปในที่สุด
หากมองย้อนกลับไป ผมไม่เคยคิดโทษบรรดาญาติๆ
ที่ทำให้แรงบันดาลใจ ความฝันวัยเยาว์ที่อาจจะจุดประกายความคิดของเด็กคนหนึ่งหายไป
เพราะท่านเหล่าเกิดและเติบโตมากับสังคมเกษตรกรรม การศึกษาระดับประถมศึกษาชั้นปีที่
4 รวมทั้งความเชื่อ
จารีตประเพณีที่ถ่ายทอดกันมาจนทำให้ไม่รู้ว่าต้องสอนอะไรกับเด็กน้อยในวันนั้น
แต่กับคนอีกหลาย ๆ คนที่มีโอกาสได้ดูแล พัฒนาคน พัฒนากระบวนการเติบโตของสิ่งต่าง ๆ
โดยเฉพาะศิลปวัฒนธรรมไทย ทำไมคนเหล่านั้นไม่ปรับตัว
ปรับความคิดและต่อยอดของที่เราเรียกกันว่าของชั้นสูงให้สามารถก้าวเดินไปด้วยกันกับวัฒนธรรมที่หลากหลายซึ่งถาโถมเข้ามาสู่สังคมไทยทุกทิศทุกทาง
ในขณะที่คนรุ่นใหม่เริ่มถอยห่างออกไปจากความเป็นชาติไทยมากขึ้นทุกที
"น้องปูนจะเรียนรำไทยนะพี่หน่อง
อ้อยไปจ่ายเงินมาแล้ว อ้อยเห็นว่าปูนตั้งใจจริงจังเลยสนับสนุน"
คำพูดของน้องสาวดังมาตามสายโทรศัพท์เมื่อหลายเดือนก่อนทำให้ผมอมยิ้มแต่ก็อดแปลกใจในความคิดของหลานตัวน้อยที่วิธีคิดดูจะแตกต่างไปจากคุณแม่และตัวผมเองไม่ได้
แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไรเพียงแต่กำชับให้เขาตั้งใจทำสิ่งดังกล่าวอย่างเต็มที่
ถึงวันนี้พอมองไปเห็นอะไร ๆ ที่มันดูแตกต่าง จุดเชื่อมในชีวิตของคนแต่ละรุ่นมันดูจะหายากเข้าทุกทีโดยเฉพาจุดเชื่อมทางวัฒนธรรมที่ต้องส่งผ่านจากคนแต่ละรุ่น
แต่สิ่งที่ผมจะไม่ทำเหมือนกับที่โดนกระทำเมื่อยังเด็กก็คือผมจะไม่ไปปิดกั้นความคิดของเด็กน้อยที่ฝันในสิ่งที่สวยงาม
และจะปล่อยให้ฝันนั้นเติบโตขึ้นในใจของเด็กน้อยต่อไปจนกว่าเขาจะหาตัวของเขาเจอได้ด้วยตนเอง
23
กันยายน 2559
ต้นจำปูนหลังบ้าน