วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ของขวัญ

              พี่ชายผมบวชพระก่อนเข้าพรรษาปี  2531 ปีนั้นผมอายุ 17 ปีแล้ว ถ้าจะบอกว่าอายุย่างเข้าสู่วัยรุ่นเต็มตัวก็ไม่น่าจะผิดนัก สมัยนั้นมีรถจักรยานยนต์ยนต์รุ่นใหม่ ๆ อย่าง Honda Nova, Yamaha Bell R หรือ Suzuki Sprinter  ออกมาวาดลวดลายบนท้องถนนและถูกขับขี่โดยวัยรุ่นที่พ่อแม่พอจะมีเงินซื้อรถให้ลูก ทุกครั้งที่เห็นรถมอเตอร์ไซด์วิ่งผ่าน ความรู้สึกของผม ดูจะล่องลอยไปกับรถจักรายนต์เหล่านั้นจนลับตา และในความเป็นจริงอย่าว่าแต่รถมอเตอร์ไซด์เลย แค่กางเกงยีนส์สวย ๆ สำหรับใส่อวดสาวก็ดูจะเกินเอื้อมเกินไปสำหรับเด็กม.ปลายที่ต้องตั้งใจเรียนและหาทางเข้าไปเรียนในระดับอุดมศึกษาอย่างผม

          วันหนึ่งพระพี่ชายเดินมาหาโยมแม่ที่บ้าน พร้อมสิ่งของในถุงกระดาษ ผมแอบได้ยินพระพี่ชายพูดกับแม่ว่า เด็กมันเป็นวัยรุ่นแล้ว ทำไมไม่หากางเกงยีนส์ให้มันใส่บ้าง ไม่มีเสียงตอบจากแม่ และหากจะให้ผมเดาสิ่งที่แม่คิดและเป็นห่วงก่อนเรื่องอื่น ๆ ก็คือการหาเงินมาเป็นค่าเล่าเรียนให้ลูก ๆ มากกว่าจะหาเสื้อผ้าสวย ๆ ให้ลูกใส่  และจะหาข้าวมาให้ลูกกินอิ่ม ก่อนที่จะหาขนมตามท้องตลาดที่ต้องเสียเงินซื้อมาให้ลูกกินอย่างฟุ้งเฟ้อ ผมได้ฟังเสียงพระพี่ชายแล้วก็นิ่งคิด นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ชายกล่าวถึงผมหลังจากโตกันมาคนทิศละทางตั้งแต่สมัยยังเด็ก 

ก่อนที่พระพี่ชายจะกลับวัด ท่านมอบของขวัญวัยรุ่นชิ้นเดียวในชีวิตให้ผม   เป็นกางเกงยีนส์ยี่ห้อ Lee  สีน้ำเงิน ผมไม่รู้ว่าท่านคิดอะไรในวันนั้น แต่สิ่งที่ทำให้ท่านตัดสินใจซื้อให้อาจจะเป็นสิ่งที่ท่านขาดไปในตอนเป็นวัยรุ่น กางเกงยีนส์ตัวนี้ผมใช้และเก็บรักษาเป็นอย่างดี จนถึงวันที่ได้เข้าเรียนที่บางแสน ก็ยังเอาไปใส่รับน้องจนขาดรุ่งริ่ง เพราะรุ่นพี่สั่งลงน้ำ กลิ้ง วิ่ง ยึดพื้น แทงปลาไหล สุดแล้วแต่จะถูกสั่งให้ทำอะไรในสมัยเรียนอยู่ชั้นปีที่ 1  สุดท้ายเมื่อสภาพยีนส์ขาดจนเกินจะเยีวยา เราจึงแยกจากกันหลังจากใช้ชีวิตร่วมกันมาเกือบ 3 ปี

เวลาผ่านไปหลายปีแล้ว ถึงจะมีงานทำและสามารถหาซื้อกางเกงยีนส์มาเป็นเจ้าของได้มากมาย แต่ผมก็ไม่เคยหวนกลับไปซื้อกางเกงยีนส์ Lee เลยซักครั้ง ไม่ใช่เพราะสินค้าไม่ดี หากแต่อยากจะเก็บความทรงจำดี ๆ ที่ครั้งหนึ่งพี่ชายให้กางเกงยีนส์  Lee  เป็นของขวัญไว้ในใจตลอดไป

28 สิงหาคม 2559
ต้นจำปูนหลังบ้าน



วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ครั้งหนึ่งยังจำได้ที่ B100 – โต้งเป็นเหตุ

ครั้งหนึ่งยังจำได้ที่ B100 – โต้งเป็นเหตุ
ปีที่พวกเรา Quarter Science เริ่มเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒชั้นปีที่ 1 กลุ่มวิชาหนึ่งที่ทุกคนจะต้องเรียนร่วมกันทั้งชั้นปี ก็คือการเรียนวิชาพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ เป็นต้นว่าเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา เพื่อจะเป็นการปูพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ให้แน่นหนา แข็งแรง ขยัน อดทน และในขณะเดียวกันก็เป็นการคัดเลือกนักศึกษาเข้าเรียนในภาควิชาสาขาต่าง ในชั้นปีที่ 2 ต่อไป โดยดูจากเกรดที่แต่ละคนทำได้ในแต่ละวิชาเพื่อนำไปเทียบกับคณะที่เลือก ซึ่งนักศึกษาชั้นปีที่ 1 เกือบ 200 คนต้องมาเข้าเรียนพร้อม ๆ กันในแต่ละวัน เมื่อคนมากห้องที่ใช้สอนนั้นก็ต้องมีขนาดค่อนข้างใหญ่พอจะรองรับนักศึกษาจำนวนดังกล่าวตามไปด้วย ปีที่ผมเรียนปี 1 ห้องที่ใช้ก็คือห้อง B100 ห้อง B100 ที่ว่าเป็นห้องที่ตั้งอยู่ทางหัวตึกชีววิทยา ด้านหลังห้องบริเวณนอกอาคารซึ่งอยู่ใกล้ถนนบริเวณคณะวาริชศาสตร์ จะเป็นสระบัวล้อมรอบไปด้วยดอกไม้ มีต้นหมาก 2- 3 ต้น ลักษณะห้องจะเป็นห้องเดี่ยวและตั้งฉากกับตัวตึก การจัดเรียงโต๊ะนั่ง จะคล้าย ๆ โรงหนัง คือมีที่ว่างหน้าห้อง กระดานดำ และที่นั่งจะค่อย ๆ สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ลักษณะคล้ายกับอัฒจันทร์ไล่ระดับไปยังหลังห้อง สมัยผมเรียน ผมมักจะไปจองเก้าอี้แถวหน้าสุด เพื่อจะได้เห็นกระดานชัด ๆ โดยคู่ซี้ที่ผมไปไหนมาไหนตลอดในปี 1 คือสมโภชน์เอกเคมี โภชน์เป็นเด็กจากแกลง จ.ระยองเหมือนกัน เลยเข้ากันได้ดี เพียงแต่โภชน์จะค่อนข้างเจ้าชู้ ชอบจีบหญิงอื่น ๆ ไปเรื่อยแล้วก็ชอบแกล้งผมโดยการพูดหน้าตายว่าผมไปชอบคนโน้น ชอบคนนี้จนผมเสียหายไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรจริงจังเพราะรู้ว่าเป็นนิสัยขี้แกล้งของเพื่อน

วันหนึ่ง ผมเดินเข้าไปเรียนตามปกติกับโภชน์ที่ห้อง B100 วันนั้นเป็นการสอนวิชาฟิสิกส์ ผมเข้าไปก็เหลือบไปเห็นเด็กหอ 7 โต้งกับชิดซุบซิบอะไรกันอยู่ไม่รู้ คนอื่น ๆ ก็ค่อยๆ ทะยอยเข้ามากันเรื่อย ๆ เพราะใกล้เวลาที่อาจารย์จะเข้าสอน ผมเลือกนั่งบริเวณด้านขวามือของอาจารย์แถวหน้าสุด ซักพักก็มีกลุ่มหนุ่มหน้าสวยเดินตามกันเข้ามา จำได้ชัด ๆ ก็นังเด่น,นังปู พอพวกเจ้าหล่อนเข้ามาถึง ก็จับจองที่นั่งบริเวณตรงกลางห้องประมาณแถวที่ 3 จากหน้าห้อง เมื่ออาจารย์มาถึงเราก็เริ่มเรียนไปตามปกติ ช่วงที่เรียนใกล้จะหมดชั่วโมง มีกระดาษขนาด A4 ถ่ายเอกสารมีข้อความบางอย่างหลายใบ ถูกส่งไปทั่วห้อง โดยเริ่มส่งมาจากกลุ่มที่นั่งหลังห้องสุดด้านหลังผมกับโภชน์ ระหว่างส่งไปเก้าอี้เพื่อน ก็จะเกิดเสียงหัวเราะ คิก ๆ เบา ๆ ผมได้ยินก็เลยหันหลังไปมองด้านหลัง เห็นกลุ่มเด็กแปดริ้ว กอล์ฟ เอกำลังดูเอกสารดังกล่าว โดยเฉพาะกอล์ฟที่อ้าปากเฮฮาตามประสาคนนิสัยร่าเริงไปตามเรื่อง (ผมรู้สึกเลยว่าหน้ากอล์ฟตอนนั้นกวนโอ๊ยสุดๆ) มันทำให้ผมสงสัยว่า มีข้อความอะไรอยู่ในกระดาษใบนั้น ไม่นานเกินรอ กระดาษก็ถูกส่งมาถึงผมกับโภชน์ ผมรีบเอากระดาษดังกล่าวมาวางไว้ที่หนังสือเรียนแล้วแง้มดู สิ่งที่ปรากฏในกระดาษทำเอาผมอดยิ้มไม่ได้ มันเป็นรูปวาดล้อเลียนหน้าคน อดชื่นชมคนวาดไม่ได้ว่า ช่างทำงานชิ้นนี้ได้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน ภาพดังกล่าว มันเป็นภาพหน้านังปู ภาพร่างมีใบหน้าอ้วน ๆ ผมบ๊อบปรกแบบรองทรง ผิวหน้ามีรอยแต้มคล้าย ๆ สิว เป็นจุดใหญ่ ๆ ฟันแสยะนิด ๆ และมีข้อความกำกับในภาพ (ช่างวาดได้เหมือนตัวจริงมาก ๆ ) ซักพักพออาจารย์สอนหนังสือเสร็จก็เดินออกจากห้องไป เท่านั้นแหละเสียงโห่ร้องดังกันสนั่นหวั่นไหว พร้อมทั้งเสียงหัวเราะครื้นเครงดังไปทั่วห้อง B100 ผมก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย โต้งปรบมือเป่าปาก เพราะมันเป็นคนเอาเอกสารต้นแบบไปถ่ายเอกสารมาแจกเอง นานพอสมควรหลังจากพวกเราหัวเราะกัน ผมมองไปยังคนที่ปรากฏในกระดาษ สิ่งที่ผมเห็นมันผิดคาดไปจากความคิด นังปูที่ปกติปากร้าย และด่าไม่ไว้หน้า ก้มหน้าร้องไห้กระซิก กระซิก โดยมีนังเด่นปลอบอยู่ใกล้ ๆ ไม่มีเสียงด่าออกมา ไม่มีคำหยาบคายหลุดออกจากปาก มีแต่น้ำตาจากเพื่อน Sc#15 เราคนหนึ่ง นี่พวกเราทำอะไรกันเกินเลยไปหรือเปล่า ? โต้งที่เมื่อกี้ปรบมือโห่ฮาอยู่ค่อย ๆ เงียบเสียงลง ความเงียบค่อย ๆ ปกคลุมไปทั่ว พวกเพื่อน ๆ ปูก็ค่อย ๆ เข้าไปปลอบให้ปูหายร้องไห้ กระดาษเมื่อสักครู่ค่อย ๆ ถูกรวบรวมไปทิ้ง แต่บางคนก็เอาออกไปนอกห้องแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องบอกหรอกว่าผมเองก็ รู้สึกผิดไปด้วย สอบถามที่มาว่าใครวาด ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากความคาดหมายของผมนัก เดชิด เด็กหอ 7 คือคนสร้างสรรค์งานสุดฮานี้ แต่คนเอามาขยายต่อเป็นโต้งตัวการใหญ่ ข้างนอกห้องพวกเราก็ยังมีคนหัวเราะเฮฮากันทั่ว ๆ ไป ผมกับโภชน์เก็บของออกจากห้อง B100 เพื่อกลับไปยังหอ ระหว่างเดินผ่านกลุ่มเพื่อนด้านนอกก็ยังหัวเราะขบขันไปกับเค้าด้วย ถึงจะผ่านมา 20 ปีแล้ว สิ่งที่ผมเสียดายมากที่สุดคือ ทำไมผมไม่เก็บ Copy นั้นไว้ซักแผ่นนะ เพราะมันทำให้ผมนึกไปถึงวันเวลาที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันนังปูคนในภาพวาดสุดแสนจะคลาสสิคใบนั้น กลายเป็น ดร.ปู อาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยและใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ อยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย

 27 สิงหาคม 2559
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ถ้าครึ่งโลกร้ายที่ฉันถางถาก เป็นครึ่งโลกสวย ขอมอบให้เธอ

                                เช้าวันศุกร์สิ้นเดือนในเดือนที่ดูเหมือนจะยาวนาน ผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตี 5  หลังจากภรรยาปล่อยให้นอนตากยุงอยู่หน้าจอโทรทัศน์ตั้งแต่ 3 ทุ่มคืนวันพฤหัสบดี ผมเดินมาเปิด Notebook  ดูข่าวผ่านหน้า Facebook  สายตาเหลือบไปเห็นซองจดหมายจากธนาคาร 2  ธนาคารบนโต๊ะเลยเปิดดูถึงรู้ว่าเป็นใบแจ้งเงินปันผลจากกองทุนของธนาคารที่ซื้อไว้ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกคิดว่าเป็นใบแจ้งหนี้ ถึงจำนวนเงินที่ทางธนาคารแจ้งจะไม่มากนักเมื่อเทียบกับนิสัยใช้จ่ายแบบไม่ค่อยคิดของผมเองแต่ระหว่างดูรายการเหล่านั้นทำไมผมนึกไปถึงคุณแม่ก็ไม่รู้ ภาพคุณแม่หาบของขาย หาซื้อมะม่วงจากสวนต่าง ๆ เพื่อไปขายส่งให้แม่ค้าที่ตลาดแม่แดงในตัวเมืองระยอง หรือเตรียมของในสวนไปวางขายในตลาดนัดเพื่อเก็บเงินสะสมมาให้ลูกใช้จ่ายเป็นเงินเพื่อศึกษาเล่าเรียนตั้งแต่สมัยที่ลูก ๆ ของแม่ยังเรียนหนังสือกันทั้ง 4  คนลอยมาเต็มหัวไปหมด สิ่งที่น้อยใจในอดีตที่ไม่มีเสื้อผ้าสวย ๆ ไว้สวมใส่ไปอวดเพื่อน ๆ พลอยทำให้น้ำตาไหลมาด้วยความเสียใจ เสียใจที่โง่เขลาว่าอะไรบ้างที่แม่ทำไว้ให้ อะไรบ้างที่แม่หาให้ไม่ได้เพราะต้องเลือกสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตให้กับลูกก่อนนั่นคือการศึกษาและเพิ่งมาเข้าใจเมื่อผ่านชีวิตการทำงานที่ยากลำบากและพบเจอผู้คนหลากหลายที่เวียนผ่านเข้ามาในชีวิต

                     ทุกวันเสาร์หลังจากแม่ขายของเสร็จแล้วจะเป็นวันที่แม่มีความสุขที่สุดในอาทิตย์นั้นเพราะเป็นวันที่แม่ขายของได้เงินมากที่สุด  ภาพคุณแม่นับเงินและแสดงความยินดีออกมาจากแววตาทำให้รู้สึกถึงความสุขที่แม่ได้รับ จนหลาย ๆ ครั้งยังอดแซวแม่ไม่ได้ว่าแม่นั้นรักเงินมากกว่ารักลูก ความมั่นคงปลอดภัยด้านการเงินน่าจะเป็นสิ่งที่แม่นึกถึงหลังจากแต่งงานกับพ่อเพราะแม่เกิดมาในครอบครัวที่ฐานะยากจนทางอิสานที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าวัยเด็กนั้นต้องเจอปัญหาอะไรมาบ้างและต้องอยู่อย่างเจียมตัว แม่ขยันทำมาหากินจนไม่ต้องไปเป็นลูกหนี้ของใคร ทำไมมันช่างแตกต่างจากลูกชายอย่างผมก็ไม่รู้     "เรียนๆ เข้าไป แม่ไม่มีโอกาสเรียน ต้องออกมาเลี้ยงควายให้กับตากับยายตั้งแต่จบชั้น  ป.2"  คำพูดนี้ผมได้ยินตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเรียนจบและมีงานทำและเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คอยดึงตัวผมให้อยู่กับความเป็นจริงที่ว่าผมจะทำให้แม่เหนื่อยเปล่าไม่ได้

                     ผมตรวจดูรายการตามที่แจ้งตามเอกสารและเก็บเอกสารทั้งหมดใส่ซองพลาสติก  ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีและดำเนินไปอย่างที่เป็นได้ทุกวันนี้มันมีจุดเริ่มขึ้นมาตั้งแต่แม่อุ้มท้องผมเมื่อ 46 ปีก่อน  ผมขอบคุณคุณแม่ที่สู้อุตส่าห์ทำงานหนัก เลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ สะสมเงินไว้เพื่อส่งลูกเรียนหนังสือ จนทำให้ผมและน้อง ๆ  ได้มีที่ยืนในสังคมโดยไม่ต้องไปอายใครเขา  วันแม่จะมาถึงอีกปีแล้ว ผมขอให้คุณแม่แข็งแรงสุขภาพดีและเข้าถึงธรรมมะของพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้ง เพื่อเป็นแสงสว่างนำทางชีวิตของแม่ตลอดไป


6 สิงหาคม 2559

ต้นจำปูนหลังบ้าน