วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

Liverpool ในดวงใจ

ผมมีน้องชายร่วมสายเลือด  1  คน ที่กินนอน และเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังจำความได้  จนเข้าช่วงวัยรุ่น ความเหินห่างก็เริ่มเข้ามาในชีวิตของเราทั้งสองคน เพราะเมื่อจบชั้นม.ต้น ขณะที่ผมตัดสินใจเข้าเรียนหนังสือระดับ ม.ปลาย น้องชายผมตัดสินใจไปทำงานเป็นลูกจ้างทั่วไปในโรงงานอุตสาหกรรมที่มาบตาพุด 1 ปี และออกมาเรียนต่อที่โรงเรียนเทคนิคที่สัตหีบ จ.ชลบุรี  เส้นทางชีวิตของแต่ละคนก็แยกกันไปจนยากจะมาพบกันอีก   จะเพราะทางชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว การใช้ชีวิต กลุ่มเพื่อนที่คบหรือต่างคนต่างเสาะหาเส้นทางของตัวเองจนค้นพบทางที่เหมาะสม ความทรงจำวัยเด็กในเรื่องต่างๆ ระหว่างผมกับน้องชายก็ค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา                          
                       
สิ่งหนึ่งที่เชื่อมให้ผมรู้สึกว่าเป็นพี่น้องกันก็คือ Liverpool  ไม่ผิดหรอก ทีมสีแดงแห่งลุ่มน้ำเมอร์ซี่ไซด์จากเมือง Liverpool  นั่นแหละ   ผมกับน้องชายโตมากับฟุตบอลอังกฤษในยุด  ‘80  ยุคที่เมือง Liverpool  มี  2  ทีมที่สลับกันคว้าแชมป์ลีก ไม่ใช่เฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น  เท่านั้น แต่ในระดับทวีปยุโรป   ทั้ง Liverpool  และ Everton  ต่างก็ออกไปประกาศศักดาในเวลาใกล้เคียงกัน  เพียงแต่ทีม Everton  โชคร้ายที่หลังจากคว้าแชมป์ League  ได้ในปี  1985  แล้ว สโมสรจากอังกฤษก็ถูกแบนไม่ให้เข้าร่วมแข่งเป็นเวลานานถึง  6 ปี จน Everton หมดสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันรายการที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปไปในปีต่อมา หลังจากคว้าแชมป์ลีก และชนะเลิศในถ้วยคัพ วินเนอร์สคัพ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราทั้งคู่ห่างไปจากทีม Liverpool  ได้เลย  ใช่แล้วเราทั้งคู่ต่างเป็น  The KOP  ตัวยง และหลงรักสโมสรสีแดงนี้อย่างหมดหัวใจเพราะนักเตะคนเดียวที่สวมเบอร์ 9 ที่ชื่อว่า เอียน รัช  
           
ในวัยเด็ก เราทั้งคู่จะคอยติดตามการแข่งขันของทีม Liverpool  จากการอ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ซึ่งจะเป็นกรอบข่าวเล็ก ๆ หน้ารองสุดท้ายของหนังสือพิมพ์  โดยข้อความที่ปรากฏจะเป็นข้อความเดิม ๆ ที่ว่า “ Liverpool  ชนะนำจ่าฝูงต่อไป”  หรือ “ Liverpool  คว้าแชมป์ลีกคัพเป็นสมัยที่สามติดต่อกัน”  แค่ข้อความเล็ก ๆ ก็ทำให้เราสองพี่น้องมีเรื่องคุยกันไปทั้งวัน ที่สำคัญก็คือ ในปี 1986  ที่ Liverpool  คว้า  Double Champ  ครั้งแรกท่ามกลางสีแดงและสีน้ำเงินในสนามเวมบลีย์เก่า  เราทั้งคู่ต่างรอผลอย่างใจจดใจจ่อ เพราะปีนั้นกว่าจะคว้าแชมป์ลีกได้ก็ต้องลุ้นจนนัดสุดท้าย และต้องขอบคุณ Oxford ที่เอาชนะ  Everton   จนทีมทีอฟฟี่สีน้ำเงินมีคะแนนไม่พอที่จะขึ้นมาทาบ Liverpool  ที่นัดสุดท้ายยกพลไปกำชัยที่แสตมฟอร์ด บริดเหนือเชลซี 1-0  ด้วยประตูชัยของนักเตะอันดับ  1  ตลอดกาลอย่าง เคนนี่ เดลกลิช  แต่อีก  3  ปีต่อมา ชัยชนะใน F.A. Cup รอบชิงเหนือคู่ปรับหน้าเดิมอย่าง Everton  ไม่ได้ทำให้ผมดีใจมากเท่าที่ควร เพราะการสูญเสียที่ฮิลโบโร่ ในรอบรอง F.A. Cup  ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่ในความเศร้า  ข่าวทาง TV นำเสนออย่างมากมาย ภาพลูกยิงของปีเตอร์ เบรียดสลี่ย์ ที่ชนคานกระเด้งออกมาจนกระตุ้นเสียงโห่ร้องตื่นเต้นและกระตุ้นให้ทุกคนเฮโลเข้ามาในสนามจนมันกลายเป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำตลอดมา  
       
สิ่งหนึ่งที่เหมือนเป็นสัญญาณบอกว่า Liverpool  เริ่มสู่ยุคตกต่ำก็คือ การเข้ามารื้อระบบต่าง ๆ ของ แกรม ซูเนส การก้าวขึ้นมาของคู่ปรับตลอดกาลที่ผมไม่เคยเห็นอยู่ในสายตามาตลอดอย่าง Manchester United  ที่เริ่มฟื้นจากการหลับใหลอย่างยาวนาน ยุค  90  เป็นยุคที่ผมอยากจะลืมเป็นที่สุด เพราะนอกจากทีมจะค่อย ๆ  ลดเพดานต่ำลงมาเรื่อย ๆ แล้ว การดำเนินการที่ไม่เฉียบคมพอทั้งในและนอกสนามของ Liverpool  ก็ยังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อทีมจนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน   ทั้งน้องชายที่เคยสนิทสนมกันเมื่อยังเด็ก ๆ ก็มีโลกของตัวเองจนยากจะเข้าถึง ครั้นจะหาสิ่งเชื่อมโยงกันเหมือนวัยเยาว์ อย่าง Liverpool  ก็ยากที่จะหาเรื่องราวดี ๆ มาคุยกัน โปสเตอร์รูปเอียนรัชที่ผมเอาแสตมป์ไปแลกซื้อจากเครือสยามสปอร์ตในราคา  30  บาทสมัยเด็ก ๆ  ก็ขาดรุ่งริ่งเหมือนกับฟอร์มของ Liverpool  ในช่วงนั้น บางครั้งนึกว่าจะกลับมาได้ จะกลับมาได้ แต่ความจริงที่ปรากฏก็คือ  Liverpool  ที่ผมเคยรู้จักได้เลือนหายไปตามกาลเวลาซะแล้ว         
         
  หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย  ผมเข้ามาทำงานในกทม. จึงไม่ค่อยได้เจอน้องชายที่เข้าทำงานเป็นนายช่างใหญ่ในโรงงานอุตสาหกรรมนิคมมาบตาพุด  และเมื่อผมกลับไปบ้านก็ไม่ได้เจอน้องชายบ่อยเท่าที่ควรจะเป็น จะมีก็แต่วันสำคัญที่เราเจอกันก็คือ วันแม่กับวันพ่อที่ต่างคนต่างรู้ว่า ไม่ว่าจะงานยุ่งกันเพียงไหน เราทั้งคู่ต่างก็ไม่เคยลืมจะกลับไปหาพ่อและแม่ และนั่งกินข้าวด้วยกันพร้อมพ่อกับแม่พี่ชายและน้องสาว แต่เหมือนเดิม เราไม่ค่อยได้คุยกันได้อย่างสนิทเหมือนสมัยยังเป็นเด็ก ๆ   และทุก ๆ ปีก็จะเป็นเช่นนี้ จนหลาย ๆ ครั้งที่ผมบอกใคร ๆ ว่ามีน้องชายก็มักจะสร้างความประหลาดใจให้กับคนรอบข้างเสมอ  
               
     ชีวิตทำงานผ่านไปปีแล้วปีเล่าจนกระทั่งถึงวันที่ Liverpool คว้าแชมป์ถ้วยยุโรปใบใหญ่สุดได้ที่สนาม อตาเติร์ก ประเทศตุรกี ในเดือนพฤษภาคม ปี  2005  หลังจากเกมส์จบการแข่งขันไม่นาน ผมก็เห็นข้อความจากน้องชายเข้ามาที่โทรศัพท์มือถือของผม  “Liverpool  ได้แชมป์ยุโรป ดีใจจริง”  นั่นเป็นข้อความแรกตั้งแต่เรามีโทรศัพท์มือถือใช้และน้องชายส่งข้อความมาหา  และยังคงเป็นข้อความล่าสุดที่น้องชายส่งมาให้จนถึงวันนี้  หากเป็นไปได้สิ่งที่ผมยังหวังว่าจะเกิดขึ้นคือถ้า Liverpool  ความแชมป์ลีกได้ในระยะเวลาอันใกล้ ผมก็น่าจะได้รับ Message  จากน้องชายที่บอกถึงความยินดีอีกครั้ง เหมือนครั้งที่คว้าแชมป์ยุโรปล่าสุด และคงจะมีเรื่องราวให้เราทั้งคู่ได้คุยกันเหมือนสมัยยังเป็นเด็กน้อยของพ่อกับแม่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหนเหมือนกันที่ Liverpool  จะได้แชมป์อีก  หรือผมอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้วในชีวิตนี้ก็เป็นได้     
24 กันยายน 2556
ต้นจำปูนหลังบ้าน


วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

ความรักของพ่อ


ผมถูกปลุกจากที่นอนขึ้นมากลางดึกด้วยมือของแม่ และบอกว่าเราต้องไปกันแล้ว มือข้างหนึ่งของแม่อุ้มลูกชายอีกคนซึ่งเป็นน้องชายผมไว้ในอ้อมอก มืออีกข้างก็ขเย่าตัวผมเพื่อให้ตื่นเพื่อเตรียมตัวเดินทางไกล ด้วยความที่เป็นเด็ก ผมไม่รู้ว่าแม่กำลังจะทำอะไร หรือมีปัญหาอะไรกับพ่อ สิ่งที่ผมทำได้คือลุกจากที่นอน เดินตามแม่ไปรอรถที่ถนนสุขุมวิทหน้าบ้านเมื่อ  40 ปีก่อนในเวลาค่ำมืดดึกดื่น ด้วยอาการงัวเงีย เพื่อรอขึ้นรถไปโคราชบ้านเกิดของแม่  ซึ่งในเวลานั้นน้องสาวคนเล็กของผมยังไม่มาเกิดเป็นลูกพ่อกับแม่

ผมไม่รู้ว่าแม่จะพาเรา พี่น้องไปโคราชจริง  ๆ โดยทิ้งพี่ชายคนโตให้พ่อเลี้ยงดู  หรือทำไปเพื่อประชดพ่อ แต่หลังจากยืนรอรถอยู่ไม่น่าน พ่อก็เดินมาง้อแม่  ซึ่งเมื่อแม่ยอมรับคำง้อ พ่อจึงจูงมือแม่ซึ่งอุ้มน้องชายคนเล็กกลับเข้าไปในบ้าน โดยมีผมเดินตามก้นแม่ไปด้วยอารมณ์ดีใจที่จะได้นอนต่อเสียที เพราะไม่ได้รับรู้ปัญหาของพ่อกับแม่ที่เกิดขึ้น ด้วยความที่เป็นเด็ก พ่อแม่จะบอกให้ทำอะไร ผมก็ไม่เคยขัดคำสั่งเท่านั้นเอง

พ่อกับแม่เจอกันที่โคราชเวลากลางคืนในงานรื่นเริงซักงานหนึ่งซึ่งแม่เป็นแม่ค้าขายอ้อยขวั้น ขายถั่วต้ม ส่วนพ่อก็เดินทางไปเที่ยว และอาจจะไปมองหาผู้หญิงซักคนเพื่อมาเป็นคู่ชีวิต พอเจอแม่พ่อเลยตัดสินใจและบอกว่าจะพาย่ามาสู่ขอในแม่เพื่อไปเป็นภรรยา ทั้งๆ ที่พูดคุยกันคืนนั้นเป็นคืนแรก พ่อไม่เคยผิดคำพูด ครั้งต่อไปพ่อก็พาย่ามาสู่ขอแม่และแต่งงานในวันที่เดินทางไปถึงโคราช โดยที่แม่กำลังดำนาอยู่เลย  มีคนมาตามแม่ให้ไปแต่งตัวเพื่อจะแต่งงานและเตรียมตัวเดินทางไประยองกับพ่อ เหตุผลหนึ่งที่แม่บอกว่ายอมแต่งงานกับพ่อ เพราะอยากออกไปจากสถานะผู้อาศัยในบ้านตากับยาย ซึ่งตากับยายไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง แต่เป็นคนที่อุปการะแม่ให้มีชีวิตผ่านไปในแต่ละวันเท่านั้น เรื่องการศึกษาไม่ต้องพูดถึง แม่ต้องออกจาก โรงเรียนตั้งแต่อยู่ ป.  เพื่อมาเลี้ยงควายให้ตากับยาย ชีวิตชนบทแบบที่แม่พบเจอไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

พ่อเป็นคนเงียบ ไม่ค่อยแสดงออกด้านความรักมากนัก แต่ผมรับรู้จากคำพูดแม่เสมอว่า พ่อเคยมีคนรักที่สวยชื่อว่า …    แต่ก็เหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จสำหรับหนุ่มสาวทุกยุคทุกสมัยกระมังที่ว่าคนรักกันมักจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ซึ่งพ่อไม่ได้แต่งงานกับแฟนเพราะเค้าไปแต่งงานกับคนที่ดูจะเพียบพร้อมมากกว่า ทั้งฐานะการเงินและรูปร่างหน้าตา  พ่อไม่เคยพูดถึงคนรักอีกเลย ที่ผมรับรู้ได้เพราะหลาย ๆ ครั้งเรื่องแฟนพ่อ มาจากเวลาที่พ่อมีปากเสียงกับแม่  พ่อซึ่งเป้นคนไม่ยอมคนจะไม่ยอมแม่ในหลาย ๆ เรื่อง และจะถียงกันหน้าดำหน้าแดงทุกครั้ง แต่พอแม่โกรธมาก ๆ ก็จะพูดอ้างไปถึงเรื่องคนรักเก่าของพ่อ  มันเหมือนกับราดน้ำลงไปบนกองไฟที่กำลังเผาไหม้ ทุกอย่างเงียบสงบ หยุดนิ่ง พ่อจะเดินหนีและการสนทนาจะหยุดอยู่แค่นั้น เท่านั้นจริง ๆ ไม่มีเสียงจากปากพ่อแม้แต่นิดเดียว  

            “พี่หน่อง พ่อจะไปงานศพป้า…  แฟนเก่าพ่อกับเจ๊ตุ้มนะ”   น้องสาวผมโทรมาบอกในวันหนึ่ง  แม่เค้ารู้หรือเปล่า แล้วแม่เค้าจะให้ไปมั้ย”  ผมถามน้องสาวกลับไป ให้ไปสิพี่หน่อง อีกอย่างพ่อเค้าอยากไปส่งแฟนเค้าครั้งสุดท้ายมั้ง”  น้องสาวผมพูดเจื้อยแจ้วไป แต่มันเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกในลำคอผม ผมนิ่งไปซักพัก ผมนึกถึงความรู้สึกของพ่อในวันที่ผ่านมา  นึกถึงเรื่องความรักของตัวเองที่เคยผิดหวัง  ผมเข้าใจพ่อเดี๋ยวนั้นเองว่า หลาย ๆ ครั้งพ่อสอนด้วยการกระทำ การรักษาคำพูดความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อแฟน ไม่เคยเอาออกมาให้ใครเห็นหรือตัดพ้อต่อว่าคนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตกับพ่อ  “ใครไม่รักลูกพ่อ ก็ช่างเขา เดี๋ยวคนดี ๆ เค้าก็เห็นเอง เขาคงเจอคนที่เหมาะสมกับเค้า เราก็อย่าไปเสียใจอะไรเลยนะ”  พ่อเคยปลอบด้วยคำพูดกับผม ในวันที่ผิดหวังเรื่องความรักและแสดงความท้อแท้ในชีวิตให้พ่อเห็น   

ผมนึกขอบคุณพ่อที่ให้คำสอนดี ๆ ทั้งคำพูดและการประพฤติตัว หากวันนี้ใจยังหวั่นไหวไปกับสิ่งรอบข้าง หวั่นไหวกับคนที่ผ่านเข้ามาให้รู้จักโดยไม่ได้ตั้งใจ  และแต่ละครั้งก็เป็นสาเหตุให้คนที่อยู่ข้างๆ เกิดความระแวงจนเกิดการหึงหวงอยู่ตลอด ผมจะอดทน อดกลั้นแบบที่พ่อทำมาตลอด  40  กว่าปี เพื่อให้คนข้าง ๆ มีความสุข ในขณะเดียวกันก็รักษาความรักที่เคยเกิดขึ้นไว้ข้างในไม่ให้ออกมาทำร้ายใคร ๆ อีก จนกว่าวันสุดท้ายของชีวิตแต่ละคนจะมาพรากไปจากกันตลอดกาล   

20 กันยายน 2556
ต้นจำปูนหลังบ้าน