วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กีฬา Fortran

สมัยเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา สาขาสถิติของพวกเราได้มีโอกาสไปแข่งกีฬาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์เชื่อมความสามัคคีกับเหล่าบรรดาว่าที่นักสถิติต่างมหาวิทยาลัยทั้งหลายที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กิจกรรมกีฬาครั้งนี้พวกเราเรียกกันว่า "กีฬาฟอร์แทรน" โดยปีนั้นเอกสถิติจาก ม.เกษตรศาสตร์เป็นเจ้าภาพ ส่วนเอกสถิติจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่เข้าร่วมการแข่งขันประกอบไปด้วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ,สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ ,มหาวิทยาลัยรามคำแหง และน้องใหม่ล่าสุด , มหาวิทยาลัยบูรพา จากบางแสน ในปีนั้นทางน้อง ๆ Oxy Science (Sc.16) ,Demo Science (Sc.17) ได้ช่วยดำเนินการจัดการ ติดต่อ ประสานงาน ซ้อมร้องเพลงเชียร์ ทั้งเพลงเชียร์ของเราเอง และเพลงเชียร์ต่างมหาวิทยาลัย ส่วนนักกีฬา สุกิจ เหน่งเพื่อนร่วมรุ่นของผมก็ช่วยจัดการเตรียมทีมบาสเก๊ตบอล เพื่อไปร่วมแข่งขัน ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกจริง ๆ จัง ๆ ว่า มหาวิทยาลัยบูรพาเราไม่ได้อยู่หลังเขา แต่อยู่เลยจากหลังเขาที่ว่านั้นออกไปอีกหลายกิโลแม้วเลยทีเดียว
พวกเราเดินทางไปร่วมกิจกรรมที่สนามกีฬาในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในเช้าวันเสาร์ โดยสนามแข่งขันจะเป็นโรงยิมใกล้ ๆ สระว่ายน้ำ ภายในโรงยิมมีอัฒจันทร์ และ สแตนด์ สำหรับให้พวกเราไปนั่งเชียร์ เมื่อไปถึง กองเชียร์ก็เข้าไปนั่งตามแสตนด์ที่เจ้าภาพจัดไว้ให้ ส่วนนักกีฬาก็เริ่มออกมาวอร์มอัพ ผมก็รับรู้ในวินาทีนั้นเลยว่า พวกเราดูห่างไกลจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯมาก ส่วนของกองเชียร์ ลีดเดอร์จากจุฬาและธรรมศาสตร์ แต่งตัวมาอวดประชันกันอย่างเต็มที่ ผมเฝ้ามองน้องคนหนึ่งที่เป็นเหมือนหัวหน้าลีดเดอร์จากจุฬาไม่วางตา ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่า คนสวยๆ ที่ผมเคยเห็นที่บางแสน เทียบไม่ได้เลยกับสาวน้อยที่กำลังวาดลีลาประกอบการเชียร์อยู่ตรงหน้า สุกิจ เดินมากระซิบกับผมก่อนแข่งบาสเก็ตบอลว่า “ไอ้เทียน เดี่ยวกูเอาน้องจากฟิสิกส์ลงด้วยนะ เห็นแล้วแม่ง เก่ง ๆ กันทั้งนั้นเลย” ผมพยักหน้ารับเชิงเห็นด้วย เพราะเท่าที่ดูแล้ว ทีมนักกีฬาจากสถาบันอื่น ๆ นั้นเล่นกันเก่งไม่ใช่ย่อย ตัวก็สูงใหญ่ แค่การซ้อมก็ทำให้สุกิจหนาวสะท้านแล้ว แต่ก็บอกสุกิจไปว่า “กิจเอาพวกเราลงก่อนเถอะ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ เดี๋ยวค่อยให้น้องมันลง เรามาแข่งขันกระชับความสัมพันธ์ อย่าไปซีเรียสผลการแข่งขันสิ” สุกิจพยักหน้าเห็นด้วย ส่วนผมก็ช่วยน้อง ๆ เชียร์กีฬากันต่อไปโดยนั่งข้าง ๆ หน่องที่สแตนด์ชั้นบนสุด จะได้เห็นมุมกว้าง ๆ หน่อย ระหว่างเชียร์กีฬา เหล่าลีดเดอร์ของแต่ละมหาวิทยาลัย ก็จะมีการเวียนมานำลีดที่หน้าสแตนด์ของแต่ละมหาวิทยาลัย โดยใช้เพลงที่ทางแต่ละมหาวิทยาลัยส่งไปให้ก่อนหน้าในการเชียร์เป็นหนึ่งในเพลงบังคับ โอกาสนี้เป็นเวลาที่ผมรอคอย เพราะจะได้ชมลีดเดอร์ของแต่ละมหาวิทยาลัยอย่างเต็มตา โดยเฉพาะสาวสวยจากจุฬา และเมื่อลีดเดอร์มาทำการแสดงกันครบทุกมหาลัยแล้ว มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจุฬาลงกรณ์เป็น 2 มหาวิทยาลัยที่ผมคิดว่าทำได้ดี แต่ลีดเดอร์จุฬาลงกรณ์จะได้คะแนนพิศวาสจากผมไปเต็ม ๆ เพราะน้องลีดเดอร์ผมยาว ขาวสวยคนนั้นที่ผมเห็นแต่แรก ออกท่วงท่าการนำเชียร์ได้ถูกใจผมเสียเหลือเกิน
ขณะที่ผมดูการลีดเพื่อแข่งขันเก็บคะแนน สนามบาสเก็ตบอลก็มีการแข่งขันกันไปพร้อม ๆ กัน ทีมบาสเก็ตบอลพวกเราสู้กับทีมจากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ความรู้สึกผมบอกกับตัวเองว่า นี่พวกเค้านอกจากจะเรียนเก่งจนเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยดัง ๆ ได้แล้ว ด้านกีฬาเค้าก็เล่นกันเก่งใช่ย่อย เมื่อเกมส์แรกผ่านไป เราแพ้คู่แข่งแบบสู้ไม่ได้ สุกิจกับผมก็เห็นพ้องต้องกันว่าจะต้องใช้ตัวนักกีฬาจากสาขาอื่น ๆ ของคณะวิทยาศาสตร์ที่ชักชวนกันมาในงานเข้าแข่งด้วย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่น แต่ถึงยังงั้นก็เถอะ เมื่อจบเกมส์ก็ยังไม่วายที่เราจะแพ้คู่แข่งไปขาดลอยอีกครั้ง ผมยิ้มรับกับผลการแข่งขัน ทั้งการแข่งขันกีฬาและการแข่งขันประกวดกองเชียร์ที่พวกเราอยู่ในลำดับท้ายสุดเพราะเป็นสิ่งที่บอกให้เรารู้ว่า พวกเรายังห่างไกลจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพเหลือเกิน เวทีนี้ทำให้พวกเราหูตากว้างไกลขึ้นมาก ที่สำคัญหลังจากกลับจากงานกีฬาครั้งนั้น ผมเห็นน้อง ๆ สถิติ นำเพลงเชียร์ใหม่ ๆ ที่ได้จากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เข้ามาร้องเชียร์ด้วยหลาย ๆ เพลง เพลงหนึ่งที่ติดหูผมมาจนถึงวันนี้คือ เพลง โอ้ทะเลแสนงาม

โอ้ทะเลแสนงาม    (แสนง๊ามแสงาม)
ฟ้าสีครามสดใส   (สดใส๊ สดใส)
มองเห็นเรือใบ  ( เรือใบ๊ เรือใบ)
ลอยอยู่ในทะเล   (ทะเล๊ ทะเล)
หาดทรายงามเห็นปู   (เห็นปู๊ เห็นปู)
ดูซิดูหมู่ปลา   (หมู่ปล๊า หมู่ปลา)
กุ้งหอยนานา   (นาน๊า นานา)
ลอยอยู่ในทะเล   (ทะเล๊ ทะเล)
เมื่อเราเดินเที่ยวไป   (เดินเที่ยวไป เดินเที่ยวไป)
เดินเที่ยวในทะเล   (ทะเล๊ ทะเล)
เราแสนฮาเฮ   (ฮาเฮ๊ ฮาเฮ)
เที่ยวทะเลสุขใจ   (สุขใจ๊ สุขใจ๊)
เมื่อตะวันตกดิน  ( ตะวันตกดิน ตะวันตกดิน )
เห็นเครื่องบินผ่านไป   (ผ่านไป๊ ผ่านไป)
เห่าหอนทันใด    (โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง)
แสนสุขใจจริงๆ


27 พฤศจิกายน  2555
ต้นจำปูนหลังบ้าน






วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความรักในคืนคริสมาต์อีฟ


                    ผมรอวันที่จะกลับไปเจอเพื่อนๆ  บางแสนอย่างใจจดใจจ่อในงานแต่งงานนก   นก ฉัตรชัยจะแต่งงานกับแฟนสาวที่รักกันมานานนับ 10 ปี วันอาทิตย์ที่  25  พฤศจิกายน 2555  ถ้านับถึงปัจจุบันพวกเรา QSBUU เกือบทุกคนต่างก็มีอายุผ่านเข้าหลักสี่กันหมดแล้ว ในระยะหลัง เมื่อความนิยมในการใช้  Facebook  แพร่หลายมากขึ้น   หลาย ๆ คนเริ่มจะเอารูปลูก ๆ ที่น่ารักของแต่ละคนออกมาอวดกันผ่านหน้า  Wall  ส่วนผมคิดว่าคงไม่มีโอกาสมีลูกเนื่องจากภรรยาไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก  
                     หากพูดถึงการแต่งงานของเพื่อน ๆ คู่ของสุกิจกับสาวนุ้ย นิสิตร่วมรุ่นรหัส 33 จากคณะมนุษยศาสตร์ เป็นคู่ที่ผมยังประทับใจไม่ลืม ในวันคริสมาสอีฟ ปี  2535  ช่วงเย็นวันหนึ่ง สุชาติ อู่ตะเภาหรือกวัก หนุ่มหล่อเข้มจากคณะศึกษาศาสตร์ เดินเข้ามาหาผม สุกิจ พลางพูดด้วยเสียงร่าเริงว่า เทียน วันนี้เราไปกินขนมฟรีกันหรือเปล่า ที่โบสถ์คริสข้าง ๆ หอเราเนี่ย เค้ามีงานวันคริสมาสต์กัน ผมพยักหน้ารับพร้อมบถามออกไปว่า เฮ้ย กวัก เราไม่ได้นับถือคริสต์ แล้วเราจะไปร่วมงานเค้าได้หรือ ไม่หรอก มณเฑียร เค้าเชิญผมมาและก็ให้พาเพื่อน ๆ ไปร่วมงานได้ ปเหอะ ดีกว่าอยู่เปล่า ๆ อย่าคิดมากสิ กวักตอบมาพลาง บอกรายละเอียดอื่น          ๆ จนผมแน่ใจว่าไม่ถูกหลอกไปกินฟรี ช่วงใกล้สิ้นเดือนของเด็กชาวหอทุกคนมันยาวนานอยู่เหมือนกัน ถ้ามีงานแบบนี้ก็ไม่น่าที่จะปฏิเสธหรอก หลังจากนั้นผมก็นัดหมายเพื่อน ๆ ที่สนใจจะไปร่วมงาน พวกเราเท่าที่จำได้มีผม สุกิจ เปี๊ยก และตัวต้นเรื่อง กวัก
                    ถึงเวลาจะผ่านมา  20  ปีแล้วก็ตาม แต่ผมยังจำสภาพอากาศคืนนั้นได้เป็นอย่างดี อากาศช่วงหัวค่ำวันนั้นเย็นจนถึงขั้นหนาว ผมต้องหาเสื้อหนา ๆ มาใส่ทับอีกชั้น  พวกเราเดินออกไปทางหน้า มหาวิทยาลัยบูรพา ไปทางขวามือเลียบไปตามรั้วมหาวิทยาลัย  เมื่อถึงที่หมายก็เดินเข้าไปในบริเวณโบสถ์ ตัวโบสถ์จะอยู่ห่างจากประตูหน้าพอสมควร เมื่อเข้าไปถึง มันเหมือนพวกเราหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง บรรยากาศด้านในจะมีการร้องเพลงเกี่ยวกับวันคริสมาส การเสียสละของพระเยซู ซึ่งไถ่บาปแทนมนุษย์  แสงสีต่าง ๆ ประดับประดาบนต้นคริสมาสแลดูสวยงามเย็นตาและแฝงไปด้วยพลังแห่งความศรัทธา  คริสตศาสนาเป็นศาสนาหนึ่งที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก ผมเลยไม่แปลกใจนักที่คืนนี้จะมีคนเข้ามาร่วมงานมากพอสมควร
                    หลังจากเสร็จพิธีต่าง ๆ แล้ว กวักตักไอศครีมมาให้ผม ผมเหลียวมองหาสุกิจเพื่อจะชวนมาทานไอศครีมด้วยกัน โดยปกติ สุกิจจะอยู่ข้าง ๆ ผมเสมอ ๆ ไม่ว่าจะไปทำธุระกันที่ไหน แต่ในคืนนั้น สุกิจเหมือนคนต้องมนต์สะกด เพราะไกลออกไปจากจุดที่ผมนั่ง สาวน้อยนางหนึ่งที่ที่ผิวขาว ดูโดดเด่น ยืนคอยให้ความช่วยเหลือแขกที่มาร่วมงาน คอยตักไอศครีมให้กับคนที่เวียนกันเข้ามาขอ ใกล้ ๆ กันนั้นผมเห็นสุกิจร่างสูงใหญ่ก็ยืนคอยช่วยเหลือสาวคนนั้นอยู่อย่างขมักเขม้น โดยสุกิจแทบจะทำแทนไปเสียทุกอย่าง  จนเมื่อคนเริ่มบางตาลง สุกิจก็เดินเข้ามาบอกผมว่า เฮ้ย เทียน คืนนี้อย่าพึ่งกลับนะ เดี๋ยวอยู่กินไอศครีมกันก่อน ผมตาค้างมองสุกิจอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ถ้าให้เดาก็คงเดาไม่ยากว่าอะไรจึงทำให้สุกิจรีรอ ไม่ยอมกลับหอกันเสียที  คืนนั้นอากาศหนาวมาก ไอศครีมก็แข็งจนแทบจะกัดไม่เข้า แต่สุกิจก็ยังตักไอศครีมมาเติมให้ผมกับกวักอยู่เสมอ เพราะต้องการให้ผมรออยู่เป็นเพื่อน ผมกับกวักนั่งกินไอศครีมกันจนร่างกายเย็นไปหมด  แต่สุกิจก็คงไม่รับรู้อะไร เพราะคืนนั้นในหัวใจคงอบอุ่นอยู่พิกล  ตอนที่มาโบสต์กันเมื่อหัวค่ำผมคิดว่าวันคริสมาสต์ คงจะมีแต่เรื่องของพระเยซู ซะอีก ก็เพิ่งจะคืนนั้นนั่นแหละที่คิวปิดตัวน้อย มาร่วมงานและแผลงศรรักเข้าปักหัวใจสุกิจอย่างจัง  คืนนั้นกว่าจะกลับหอพักก็ดึกมากแล้ว พวกเราทุกคนง่วงนอนกันมาก จะมีก็แต่สุกิจคนเดียวล่ะมั้งที่ดูเหมือนว่าจะตื่นอยู่ด้วยใจเป็นสุข  และก็คงภาวนาให้ถึงวันรุ่งขึ้นเร็ว ๆ เพื่อจะได้สานต่อความรู้สึกวันคริสมาต์อีฟกับสาวสวยคนนั้นไปจนชั่วชีวิต

19 พฤศจิกายน 2555
ต้นจำปูนหลังบ้าน
                     





  


วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เรียงความวันแม่

ผมแวะซื้อกระดาษฟูลแก๊บที่ร้านไทยผมในตลาดบ้านฉาง  มา 5  แผ่นเพื่อเอามาเขียนเรียงความเกี่ยวกับวันแม่ เพื่อนำไปส่งให้ อาจารย์ภาควิชาภาษาไทยในวันรุ่งขึ้น  คืนนั้นผมค่อนข้างใช้สมาธิเป็นอย่างมากกับการเขียนเรียงความ  ปีนั้นเป็นปีแรกที่ผมย้ายโรงเรียนไปเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนบ้านฉางกาญจนกุลวิทยา ปีแรกในโรงเรียน อะไร ๆ ดูจะยากลำบาก ทั้งการปรับตัว วัยที่โตขึ้น เพื่อนฝูงรอบข้างที่เปลี่ยนไป แต่จะเพราะอะไรก็แล้วแต่ เช้าวันต่อมา ผมก็นำเรียงความไปส่งให้อาจารย์สาลี่ ที่ภาควิชาภาษาไทย โดยเขียนหัวเรื่องเรียงความด้วยลายมืออย่างตั้งใจว่า แม่ของฉัน  
            ผ่านไปอีกหลายวันจนถึงวันศุกร์ก่อนวันแม่ ขณะยืนเคารพธงชาติเรียบร้อยแล้ว อ.สาลี่ก็เดินขึ้นมาบนแสตนด์หน้าเสาธง พร้อมทั้งกล่าวถึงความสำคัญของวันแม่ พูดในเรื่องต่างๆ ตัวผมเองก็พยายามตั้งใจฟัง เพราะตอนนั้นเริ่มรู้แล้วว่าจะมีการประกาศให้รางวัลเรียงความเกี่ยวกับวันแม่ที่ได้ส่งไปประกวด  รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ด.ช. มณเฑียร เนินอุไร ชั้น ม.1/1 ”  เสียงประกาศดังมาจากลำโพงด้วยน้ำเสียงแข็งแกร่งแต่อ่อนโยนอยู่ในทีของอาจารย์ ผมไม่ได้ฝันไปแน่ ๆ นั่นมันชื่อผมนี่ ผมเดินออกไปรับรางวัลจากมือผู้มอบ ระหว่างเดินก็ขาสั่นๆ ตาพร่ามัว เพื่อน ๆ ปรบมือให้กำลังใจ วันนั้นผมจำอะไรไม่ได้มากนัก รู้แต่ว่าได้รับรางวัลเป็นซองสีขาว ซึ่งในซองบรรจุเงินรางวัลอยู่จำนวนหนึ่ง  จากนั้นผมก็ตั้งใจฟังต่อว่าใครกันนะที่จะได้รางวัลที่  1 อ. สาลี่ประกาศผู้ได้รางวัลที่ 2  จากนั้นจึงถึงรางวัลที่ 1  ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศ    ด.ญ. พัชรี ตราชู ชั้น ม.3/1”  ผมปรบมือแสดงความยินดีไปด้วยอย่างจริงใจ พร้อมทั้งคิดในใจว่า ปีหน้าเราต้องพยายามเอารางวัลที่  1  ให้ได้  แต่พอเวลาผ่านไป ผ่านไป โลกกว้างตรงหน้าของวัยเด็กก็เริ่มใหญ่ขึ้น สิ่งสนุกสนานตรงหน้าถาโถมมาอย่างไม่ทันตั้งตัวความตั้งใจเดิมเลือนหายไปสิ้น  วันเวลามันผ่านไปนานจนผมแทบจะลืมไปแล้ว จนวันนี้ผมมองย้อนกลับไปเมื่อ 28  ปีก่อน ก็ได้แต่อมยิ้มกับความไร้เดียงสาของตนเอง นึกถึงอารมณ์เด็ก ๆ ที่อยากได้เงินไปใช้จ่าย จนตัดสินใจเขียนเรียงความ วันนี้ถ้าผมจะเขียนเรียงความเรื่องวันแม่อีกครั้งก็จะมาจากความรัก ความรู้สึกขอบคุณคุณแม่ ความรู้สึกดี ๆ ที่ได้รับตลอดมา   ไม่ได้เขียนเพียงเพื่อหวังว่าจะได้เงินรางวัลเหมือนเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว
วันแม่ 2555
ต้นจำปูนหลังบ้าน