วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เขาสามมุกในความทรงจำ

ผมเคยได้ยินประวัติเข้าสามมุกมาเมื่อครั้งยังเด็ก ๆ เรียนหนังสืออยู่ชั้นประถมซึ่งเป็นเรื่องความรักที่ไม่สมหวังของหนุ่มแสนกับสาวมุก ความจริงเรื่องผิดหวังมันเป็นเรื่องธรรมดาโลกไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้จดจำของชาวบางแสนคือการรักษาสัจจะที่ทั้งคู่ให้ไว้ต่อกันจนบทสรุปสุดท้ายกลายเป็นโศกนาฏกรรมและเป็นตำนานเล่าขานมาจนถึงปัจจุบัน

ผมมองขึ้นไปบนเขาสามมุกที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า มองเห็นลิงตัวน้อยหลายตัว ปีนป่ายอยู่บนกิ่งไม้เพื่อมองหาอาหารระคนสงสัยกับกลุ่มมนุษย์ที่มารวมตัวกันเบื้องหน้าพวกมัน แดดเริ่มร้อนแล้ว แต่ก็ไม่ทำให้พวกเราย่อท้อกับการเดินทางมาสักการะเจ้าแม่ได้ เนื่องจากวันนี้พวกเรา Quarter Science BUU ทุกคนถูกจัดให้เดินออกมาจากมหาวิทยาลัยเป็นกลุ่มใหญ่แต่เช้าเพื่อมาสักการะเจ้าแม่เขาสามุก ก่อนจะออกเดินทางมาจะมีการจับคู่เป็นบั๊ดดี้ซึ่งต้องเดินด้วยกันมาเป็นคู่ ๆ ชายหญิง คู่บั๊ดดี้ของผมคืออ๊อดเอกชีวะวิทยาโดยคอนเซ็ปของพี่ว๊ากที่ตะโกนกรอกหูพวกเราจนจำขึ้นใจว่า “น้องผู้ชายต้องดูแลน้องผู้หญิงนะคร๊าบ” เสียงพี่นัทเอกจุลชีวะวิทยา(ขณะนั้น) ก็ตามมาสำทับ “คุณ เหนื่อย คุณร้อน คุณก็ต้องอดทน พวกผมไม่เอาคุณไปลำบากมากหรอก” ผมฟังแล้วแรก ๆ ก็กลัว ๆ นะ แต่หลัง ๆ มันออกแนวตลกปนขำ ๆ ซะมากกว่าเพราะรู้ว่ามันเป็นหน้าที่พี่ ๆ เค้า พวกเรารวมตัวกันหน้าตึกฟิสิกส์ช่วงเช้าตรู่ และออกเดินมาตามถนนสู่หน้ามหาวิทยาลัย เมื่อเริ่มเดินออกจากหน้าตึกฟิสิกส์สถานที่สำคัญแห่งแรกที่พวกเราเดินผ่านก็คือหอพระ ซึ่งเมื่อเดินผ่านหอพระผมและเพื่อนๆ ก็ยกมือไหว้ขอพรและเดินผ่านหอพักชายที่อยู่ด้านขวามือของพวกเราโดยเริ่มจากหอชาย 5,6,7,8,9 และหอชายสุดฮิต หอชาย 10 ที่ผมและเหล่าน้องใหม่คณะวิทยาศาสตร์รหัส 33 ได้เข้าพักเป็นส่วนใหญ่ ถัดจากหอชาย 10 ต่อไปจะเป็นสวนมะพร้าวที่พวกเรานัดกันมาเล่นฟุตบอลเป็นประจำ เมื่อเดินผ่านหอชาย 10 ไปแล้วก็จะถึงประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งขณะนั้นยังเป็น มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒวิทยาเขตบางแสน พวกเราเลี้ยวซ้ายและเดินกันไปตามไหล่ทางและบนถนนที่มุ่งตรงไปสู่หาดบางแสน แต่ก่อนที่จะถึงหาด เราเลี้ยวขวา ข้ามถนนไปยังฝั่งตรงกันข้ามเพื่อเดินไปยังเขาสามมุก ซึ่งจะเป็นถนนที่ตัดสู่ภูเขาโดยตรง
“โอ๊ย ร้อนจริง ๆ โว้ย” เสียงยะเอกฟิสิกส์ตะโกนออกมาด้านซ้ายมือผม เปล่าหรอก ยะไม่ได้ร้อนจนเพี้ยนหรือต่อต้านกิจกรรมนี้ แต่เป็นเพราะพี่ ๆ ผู้หญิงชั้นปีที่ 2 ที่เดินมาข้าง ๆ กันบอกให้ยะร้อง ซึ่งก็ได้ผล เพราะมีเสียงตอบรับจากว๊ากเกอร์ตามมาติด “ร้อนก็ถอดเสื้อสิคร๊าบ ถอดเสื้อเดี๋ยวนี้” นั่นไงมีรับมีส่ง ยะทำหน้าเหรอหราแบบ งง งง แต่ก็ต้องจำใจถอดเสื้อออกมาโชว์หุ่นก้าง ๆ แห้ง ๆ แบบกิ้งก่าออสเตรเลียออกมา ผมล่ะสงสารยะจริง ๆ แต่ผมเห็นหุ่นมันแล้วก็อดยิ้มไม่ได้เออ อย่างน้อยก็มีคนผอมกว่าผมคนหนึ่งล่ะครับคุณเทียน เพื่อนผู้หญิงหลาย ๆ คนข้างๆ ผมไม่กล้าหัวเราะออกมาทั้ง ๆ ที่ก็ขำ คงเพราะกลัวโดนลูกหลงไปด้วยในที่สุดพวกเราก็ไปถึงเขาสามมุกกันจนได้แต่ก็สะบักสะบอมทุลักทุเลเพราะถูกว๊ากเกอร์กลั่นแกล้งสารพัด แต่ก็อย่างว่าพวกเรามันพระเอกนางเอกในหนังในละคร ก็ต้องอดทน เมื่ออยู่ตรงถนนหน้าเขาขณะที่ผมยืนมองลิงเพลิน ๆ อยู่นั้น ก็มีขวดพลาสติกใส่น้ำทะเลรสชาติเข้มข้นถูกส่งเข้ามาตามแถว โดยพี่ว๊ากเกอร์สั่งให้ทุกคนต้องช่วยกันดื่มน้ำในขวดให้หมดไม่ว่าหญิงหรือชายเพื่อความสามัคคี “ช่วยกันดื่มให้หมด น้ำนิดเดียว พวกคุณตั้งเยอะ ถ้าแถวไหนดื่มไม่หมดจะถูกลงโทษ” ขอบคุณมากกระผมรักพวกท่านมากมายเลยว๊ากเกอร์ทั้งหลาย ผมได้แต่คิดในใจ ตอนที่ผมรับน้ำขวดนั้นมามันยังเหลือเกือบค่อนขวด แต่ด้วยความคึกคะนองผสมกับไม่อยากให้เพื่อนผู้หญิงคนอื่น ๆ ต้องมาผะอืดผะอมกับรสชาติน้ำทะเล ผมเลยซัดไปคนเดียวเกือบครึ่งขวด จากนั้นจึงส่งต่อให้เพื่อน ๆ ในแถวรับไปดื่มต่อ จนเมื่อไปถึงท้ายแถวน้ำก็หมด ไม่ถูกลงโทษ เมื่อแกล้งกันหนำใจแล้ว พี่ ๆ จึงให้พวกเราเข้าไปสักการะเจ้าแม่เขาสามมุก โดยศาลเจ้าแม่เขาสามมุกจะมี 2 ศาลคือ ศาลเก่าซึ่งจะมีขนาดพื้อนที่เล็กกว่า และศาลใหม่ แต่ทั้ง 2 ศาลจะอยู่ไม่ห่างกันมากนัก พวกเราทยอยกันเข้าไปสักการะที่ศาลเก่า ซึ่งระหว่างไหว้เจ้าแม่ ผมก็อธิฐานขอให้เรียนบางแสนสำเร็จภายใน 4 ปี อย่าถูกรีไทร์ ส่วนคนอื่น ๆ ผมไม่รู้ว่าทุกคนอธิฐานอะไรกันบ้าง แต่ถ้าจะให้เดาก็คงไม่แตกต่างจากที่ผมขอมากนัก ผ่านมาแล้ว 20 กว่าปีสิ่งที่ขอของผมนั้นสมหวังไปแล้ว ส่วนเพื่อน ๆ ล่ะ อธิฐานขออะไรกันบ้าง ยังจำกันได้หรือเปล่า ถ้าจำได้เรามาทบทวนกันอีกครั้งดีไม๊

29 สิงหาคม 2554
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ครั้งหนึ่งยังจำได้ที่ B100 - จับพี่เทค


                 เสียงเพลงดังขึ้นรอบ ๆ ตัวพร้อมกับแสงจากเปลวเทียนที่ถูกจุดโดยพี่ๆ  VSBUU(Valentine Science of Burapha University) ในห้อง B-100  หลังจากที่พวกเรา QSBBU ทั้งมุดทั้งคลานด่านต่าง ๆ จนหลุดเข้ามาในห้อง B-100  กันครบ ผมเข้ามาเกือบจะกลุ่มท้าย ๆ แล้ว เลยได้ที่นั่งบริเวณหน้าห้องใกล้ประตู ส่วนเพื่อน คนอื่นๆ ก็นั่งติดกันไปตามลำดับ  ไฟในห้องถูกปิดทุกดวง ยิ่งขับให้แสงเทียนส่องประกายสวยงามมากยิ่งขึ้นไปอีก คืนนั้นอะไร ๆ มันดูเหมือนกึ่งจริงกึ่งฝัน สิ่งที่รับรู้คือบรรยากาศการงานจับพี่เทค ที่พี่ๆ VSBUU จัดให้น้อง  QSBUU  ประทับใจมาก  เทียนแสงแรกถูกจุดจากพี่ที่ยืนล้อมพวกเราเป็นวงกลมในห้องด้านซ้าย  จากนั้นแสงเทียนต่อแสงเทียนก็ต่อเติมไฟไปในแถวด้านซ้าย ด้านขวา   งานจับพี่เทคเป็นงานประเพณีของคณะวิทยาศาสตร์ ที่พี่ VSBUU  จะเปิดโอกาสให้น้อง ๆ QSBUU  จับฉลากชื่อพี่ ๆ เข้ามาเป็นคนคอยดูแลพวกเราในระยะเวลา  ปีที่ร่วมเรียนใน มศว.  โดยเฉพาะปีแรกที่จะดูแลมากเป็นพิเศษ
การจับพี่เทคเริ่มจากพิธีกรยืนอยู่กลางห้อง และค่อยๆ เรียกน้อง QSBUU  ออกไปหน้าห้องทีละคนแล้วให้น้องจับฉลากออกมาจากโถ จากนั้นน้องคนที่จับฉลากก็อ่านรหัสที่พี่ ๆ เขียนไว้ให้คนในห้องฟัง เมื่ออ่านรหัสเสร็จแล้ว พวกพี่ VSBUU  ก็จะใบ้ให้น้อง ๆ รู้ว่า พี่เทคของเรานั้นอยู่สาขาไหน โดยการตะโกนบอกชื่อเอก เช่นถ้าจับได้พี่เอกเคมี พี่ ๆ ก็ตีกลองร้องตะโกนว่า เคมี เคมี เคมี เคมี พร้อมทั้งดิ้นตามจังหวะไปด้วย คืนนั้นพี่อ๋องเอกเคมี  เพื่อนต้องเคมี จะใส่อารมณ์เป็นพิเศษ ดิ้นจนพุงกระเพื่อม  งานเป็นไปอย่างสนุกสนาน รหัสของพี่เทคบางคนก็หวาดเสียวโดยเฉพาะพี่ผู้ชาย ที่พอน้องๆ สาว ๆ  บางคนจับได้แล้ว จะอ่านรหัสไป หน้าแดงไป  กลุ่มน้อง QSBUU ที่เสียงดังที่สุดจะเป็นเพื่อน ๆ จากเบญจมราชรังสฤษฎิ์ โดยเฉพาะไอ้เอ ไอ้นี่ซ่าจนหยดสุดท้ายจริง ๆ แรก ๆ ก็เงียบกันอยู่ แต่พอรู้จังหวะแล้วก็ร้องตะโกนแซวไปกับพวกพี่ ๆ ด้วย   แล้วก็ธรรมดาของการจับพี่เทค  พวกเราหนุ่ม ๆ ก็อยากได้พี่เทคที่ฐานะดี หน้าตาดีมาเป็นคนดูแล ผมนั้นก็เล็ง  ๆ พี่เอกเคมีไว้เหมือนกัน ไม่บอกหรอกว่าชื่อพี่อะไร แต่พี่คนนั้นไอ้แอ๊บดันจับได้ไป เฮ้อ เซ็งชะมัดยาดเลย  ผมจับได้พี่กุ้ง เอกชีวะวิทยา ตอนออกไปจับยัง งง งง เลยว่าออกไปทำอะไร  แต่สิ่งหนึ่งที่จำได้จากวันนั้นจนถึงวันนี้คือ ช่วงแรกที่เราเข้าไปในห้อง B-100  กันหมดแล้ว  พี่ ๆ ร้องเพลง เทียนหนึ่งพร้อมกับจุดเทียนต่อไปเรื่อย ๆ จนครบทุกคน วันนี้เรามาหวนนึกถึงบรรยากาศคืนนั้นและเพลงนั้นกันอีกครั้งนะ



"เทียนหนึ่ง"
เทียนหนึ่ง ถุกจุดที่นี่ เทียนนี้ ถูกจุดลุกไสว
เทียนนี้ ถูกจุดที่ใจ เปลวไฟ ถูกจุดขึ้นมา
เปลวไฟ แห่งการลุกไหม้ เปลวไฟ แห่งการศึกษา
เปลวไฟ ต่อสู่มายา เปลวไฟ ที่ท้าผองภัย
บ่อยครั้งเทียนกระพริบริบหรี่ เมื่อมีลมกันโชกโบกใกล้
บ่อยครั้งเทียนแทบดับไป แทบไม่อาจต้านแรงลม
ศักดิ์ศรีที่เทียนส่องอยู่ เชิดชูศรัทธากล้าแกร่ง
แม้เป็นเทียนน้อยด้อยแสง อาจแฝงศรัทธาเรื่องรอง
บัดนี้เทียนถึงการมอดดับ ลาลับไปจากเพื่อนผอง
แต่ ณ ที่นี้เรืองรอง ขอเทียนน้องส่องทดแทน

28 กรกฎาคม 2554
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กลับบ้านกับเพื่อนต้อม


ผมเดินเข้าไปบอกลาอ็อดเพื่อกลับบ้าน  ในวันที่อ๊อดแต่งงาน  “ขอบคุณมากมณเฑียร แล้วมณเฑียรจะกลับยังไงล่ะ”  อ๊อดถามด้วยความเป็นห่วง   เดี๋ยวเราเรียก  Taxi  กลับบ้านได้ สบายมาก”  ผมตอบอ๊อดไปแบบนั้น แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะกลับยังไงเหมือนกัน เพราะผมเพิ่งเคยมาที่เพนนีซูล่านี่ ป็นครั้งแรก แต่ก็คงไม่ยากนักถ้าจะหารถเมล์ซักสาย แล้วก็นั่งไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงบ้านที่ รามอินทรา กม.  8  “เฮ้ยเทียน กลับยังไงวะ”  กอล์ฟ ร้องถามตามหลังมาหลังจากเห็นผมกำลังจะออกจากโรงแรม  กลับ Taxi  มั้ง ยังไม่แน่ใจหรืออาจจะกลับรถเมล์ ผมตอบกลับไป  มณเฑียร กลับด้วยกันสิ เดี๋ยวกูไปกับอ๊อด แล้วไปส่งมึงต่อก็ได้ บ้านมึงอยู่ไหนล่ะต้อมถามตามมาติด ๆ  ผมไม่รั้งรอให้เสียเวลา ตอบรับคำเชิญนั้นด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง   เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องไปเสี่ยงดวงเอากับรถเมล์ใน กทม. หรือว่าไปขึ้น Taxi  ซึ่งเมื่อดูจากระยะทางจาก โรงแรมจนถึงบ้านแล้ว ค่อนข้างไกลเอาการอยู่เหมือนกัน
วันนี้ หลาย ๆ คนมาร่วมงานอ๊อดด้วยความยินดี พวกเรา QSBUU  ไม่ได้เจอหน้ากันนานแล้ว ต่างคนต่างออกไปทำงานหลังจากจบการศึกษาในหน้าร้อนปี  2537  ถ้านับเวลาวันนั้นมันก็แค่  8  ปี หลังออกมาเผชิญโชค เพื่อนส่วนใหญ่ที่ผมติดต่อด้วยก็จะเป็นพวก ต้น อ้อม หน่อง เหน่ง ไก่  ทิพย์ พล  ต๋อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเอกสถิติ  จนกระทั่งวันนี้แหละที่ได้มีโอกาสเจอกับเพื่อน ๆ เอกอื่น ๆ บ้าง โดยเฉพาะวาริช เพราะอ๊อดสมัยเรียนก็พักห้องเดียวกับกอล์ฟและนินซึ่งจบวาริชมาเหมือนกัน
ต้อมมึงจบฟิสิกส์แล้วทำงานอะไรวะผมถามต้อมเมื่อนั่งในรถ Toyota Altis  สีน้ำเงินคันใหม่ของต้อม เราทำงานด้านรับเหมาตกแต่งภายในน่ะเทียน  ต้อมบอกมา ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้ผมเป็นอย่างมากอ้าว แล้วมันไปมายังไง ถึงมาทำด้านนี้ได้ล่ะ  ผมถามต่อ  เราไม่ชอบเป็นลูกจ้างใครน่ะเทียน  เราสนใจงานด้านนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว พอจบมีโอกาสทำงานเลยเลือกมาทำด้านนี้เลย  ผมผงกหัวรับทราบข้อมูลใหม่ ๆ นั่นสิ แล้วทำไมเราต้องทำงานตามที่เรียนมาด้วยล่ะ เป็นลูกจ้างเค้านายก็รู้ว่ามันเป็นยังไง เราชอบอิสระ อยากนอนก็นอน อยากตื่นก็ตื่น ปวดหัวมาก ๆ เราก็ลากไม้กอล์ฟไปหวดให้หายปวดหัว ต้อมร่ายยาวให้ผมฟัง ท่าทางจะรวยนะมึงเนี่ย” “ก็ถ้าไม่ถูกเจ้าของงานเบี้ยวมันก็จะดีหรอก บางทีก็เจอเช็คเด้งบ้าง จ่ายช้าบ้าง ไม่จ่ายบ้าง ขอผ่อนเป็นงวด ๆ บ้าง กูเจอมาหมดแล้ว  ต้อมไขความกระจ่างในเรื่องธุรกิจให้กับผม ซึ่งงานที่ผมทำมันห่างจากเรื่องเหล่านี้มาก  กอล์ฟซึ่งนั่งเงียบมาด้วยกันไม่ได้พูดอะไร วันนี้ผมสังเกตดูกอล์ฟแล้ว หน้าตาค่อนข้างคล้ำ ไม่หล่อใสเหมือนสมัยเรียนที่เป็นที่กรี๊ดของสาว ๆ   มหาวิทยาลัย  เลยถามกอล์ฟบ้าง แล้วกอล์ฟล่ะ ไปทำอะไรมา ทำไมดูคล้ำ ๆ เหมือนโดนแดดเผา” “ผมไปทำนากุ้งน่ะเทียน ออกข้างนอกตลอด กอล์ฟตอบพร้อมรอยยิ้ม ช่วงนั้นนากุ้งกำลังฮิตจนมีข่าวว่าเอานาข้าวมาทำนากุ้งกันด้วย  ผมแต่งงานได้ 2  ปีแล้วล่ะ ช่วงนี้เลยต้องทำงานหนักหน่อย เพื่อครอบครัว  จากนั้นกอล์ฟก็เล่าให้ฟังถึงงานที่ได้ทำรวมทั้งชีวิตครอบครัว เรื่องต่าง ๆ มากมายที่แต่ละคนได้พบเจอ  ส่วนต้อมก็เล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังนิดหน่อย  8  ปีที่ผ่านมาสำหรับผมยังคิดว่า ตัวเองไม่ได้ก้าวออกไปไหนเลย ยังคงทำงานในบริษัท ตำแหน่งเล็กน้อย ครอบครัวก็ยังไม่มี รถก็ยังไม่มีขับทั้ง ๆ ที่ดูตามอายุแล้ววันนั้นพวกเราต่างก็เลยวัย  30  ปีกันมาแล้ว ซึ่งสิ่งที่ได้ฟังจากต้อมและกอล์ฟ แลมันดูแตกต่างจากผมเสียเหลือเกิน
ต้อมไปส่งกอล์ฟถึงบ้าน แล้วก็ขับรถไปส่งผมที่รามอินทรา  ไอ้เทียน บ้านมึงไกลชิบหายเลย ต้อมมันบ่นแต่ไม่ได้จริงจังอะไรนัก ผมก็ได้แต่ยิ้ม เออ ไกลจริง  ๆ ถ้ามึงไม่มาส่งล่ะก็ กูก็คงเหนื่อยมากเลย ขอบคุณมึงมากเลยต้อมที่มาส่ง ผมตอบต้อมและลงจากรถและมองต้อมขับรถเก๋งออกไปจากหมู่บ้านจนลับตา

9 สิงหาคม 2554
ต้นจำปูนหลังบ้าน