วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผมจะเป็นคนดีตลอดไป


ภาพคุณครูศุลีพร คุณครูที่ดีที่สุดคนหนึ่งในชีวิตผมย้อนกลับมาวนอยู่ในหัวหลังจากพบคุณครูครั้งหลังสุดในงานบวชน้องชายลูกอาเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2557  ผมนึกไปถึงเช้าวันหนึ่งในปี  2525  วันที่ผมมาโรงเรียนเช้ากว่าปกติและก็เหมือนเคย มีเพื่อน ๆ ผมหลายคนรอผมอยู่ด้วยใจกระวนกระวาย  ตามประสาเด็ก ๆ สมัยนั้น การบ้านที่ครูให้กลับไปทำที่บ้าน มันแทบจะเป็นยาพิษสำหรับเด็กบ้านนอกที่กิจกรรมโดยส่วนใหญ่จะหมดไปกับการเล่นประจำวัน การออกไปท้องไร่ท้องนา งานบ้านที่ได้รับมอบหมาย และพ่อกับแม่ก็ไม่ได้มีเวลามาดูแลเอาใจใส่พวกเราเหมือนกับเด็กสมัยปัจจุบัน  ใช่แล้วครับเพื่อนผมรอลอกการบ้านผมนั่นเอง วันนั้นด้วยความรีบร้อน พอผมทำการบ้านเลขเสร็จ ก็ไม่ได้ตรวจทานให้ดี มาถึงโรงเรียนก็ให้เพื่อนลอกและรีบออกไปเล่นเตย เหมือนปกติทุกวัน สมเกียรติ สมาน ประสงค์  บรรจง คือเพื่อนในกลุ่มเท่าที่จำได้  ส่วนกลุ่มเพื่อนเด็กผู้หญิงอย่างเรวดี วรรณา เค้าไม่ได้สนใจในกิจกรรมพวกผู้ชายกันหรอก คงเอาแต่เล่นหมากเก็บหรือเอาดอกจำปี ลูกจันทร์มาอวดกันเหมือนปกติ

ตอนสายวันนั้นก็เกิดเรื่อง เรื่องที่ผมจำมาตลอดชีวิต เช้านั้นเมื่อเข้าห้องเรียนแล้วเราก็เรียนหนังสือกันไปตามปกติ จนกระทั่งเวลาประมาณ 10:00 น. คุณครูศุลีพร ก็เรียกเพื่อน ๆ กลุ่มผมออกไปถามทีละคนถึงการทำการบ้าน ซึ่งวันนั้นเป็นการบ้านเลข  แต่ละคนจะถูกถามด้วยคำถามเดียวกันว่า เธอทำการบ้านนี้เองหรือเปล่า ซึ่งแน่นอนไม่มีเด็กคนไหนยอมรับหรอกว่าตัวเองนั้นลอกคนอื่นมา ผมในฐานะหัวหน้าห้องยังนั่งนิ่งยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็มีเพื่อน ๆ มากระซิบให้ทราบแล้วจนกระทั่งถึงคิวผมถูกคุณเรียกออกไปที่โต๊ะหน้าชั้นเรียน และก็ถูกถามอย่างตรงไปตรงมาว่า มณเฑียร เธอให้เพื่อนลอกการบ้านหรือเปล่า ผมตอบปฏิเสธไปในแทบจะทันที  คุณครูจึงเอาสมุดของเพื่อน ๆ มาให้ดู คำตอบในโจทย์การบ้านเป็นการบวกเลขและมันผิด  สาเหตุที่ผิดก็มาจากการบวกกันในหลักสิบแล้วไม่ได้เอาเลขที่ทดไว้ ไปบวกเข้ากับหลักร้อย และที่สำคัญเด็กผู้ชายอย่างประสงค์ สมเกียรติ สมาน ที่ทำโจทย์นั้นดันทำมันผิดเหมือนกันเกือบทุกคนรวมทั้งผมด้วย ผมจนด้วยหลักฐานที่ปรากฏ จึงตอบรับไปว่าครับ ผมให้เพื่อน ๆ ลอกการบ้านเอง

ในวันนั้นคุณครูศุลีพรไม่ได้ลงโทษผมและเพื่อนๆ โดยการตี หรือทำโทษอะไรเลย คุณครูอนุญาตให้ผมเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ ผมได้แต่และนั่งนิ่ง ๆ จากนั้นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นก็เริ่มออกมาจากลำคอของคุณครู  ครูไม่คิดเลยว่าพวกเธอจะทำกันอย่างนี้ เด็กที่ครูหวังวาจะเป็นเด็กดี ขยัน ตั้งใจเรียนจะทุจริตด้วยการลอกการบ้าน ผมเห็นคุณครูร้องไห้ไปเช็ดน้ำตาไป และสะอึกสะอื้น นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นผู้ใหญ่ร้องไห้ และที่สำคัญสาเหตุมาจากพวกผมเอง วันนั้นตาผมลาย หูอื้อไปหมด ความรู้สึกผมยิ่งกว่าถูกหวดด้วยไม้เรียวซะอีก ผมนิ่งเงียบและก้มหน้านิ่ง กว่าเช้าวันนั้นจะผ่านไปได้ ความรู้สึกผมมันช่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน   จากวันเป็นคืน จากคืนเป็นเดือน และจากเดือนเป็นปี เรื่องนี้ก็ยังอยู่ในความทรงจำของผมไม่เคยลบเลือนหายไป ทุกครั้งที่เห็นผู้หญิงร้องไห้ ผมจะคิดถึงน้ำตาของคุณครูอยู่เสมอ ๆ  ถึงวันนี้สิ่งที่คุณครูหวังที่จะให้ผมเป็นคนดี ผมได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เป็นเด็กดีของคุณพ่อคุณคุณแม่ เป็นคนดีของบริษัทที่ตนเองทำงาน เป็นคนดีของประเทศชาติและเป็นข้าราชบริพารที่ดีขององค์พ่อหลวงของเรา ความดีที่ผมได้ยึดถือและปฏิบัติมาตลอดชีวิต ผมหวังว่าจะช่วยลบล้างคราบน้ำตาของคุณครูศุลีพรในวันนั้นให้จางหายไป และมีรอยยิ้มมาให้ลูกศิษย์ที่ทำผิดไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์คนนี้ด้วยนะครับ  



25 พฤษภาคม 2557
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ปื๊ด


             ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมเรียนชั้นเดียวกับปื๊ด หรือในชื่อจริงตามใบแจ้งเกิดว่า ด.ช. สุริยน นามสกุล คำตรงในปีไหนกันแน่  จะเป็นปี 2525 ที่เราเรียนอยู่ชั้นป.  5  หรือปี 2526 ที่เราเรียนชั้น ป.6  ก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่แค่ว่า เค้าเป็นรุ่นพี่ที่สอบตกและรอผมอยู่ในปีดังกล่าวและเรียนจบออกมาพร้อมกับผมในปีการศึกษา 2526  โรงเรียนบ้านชากลูกหญ้า โรงเรียนที่มีการปักตัวอักษรย่อที่อกด้านขวาของเสื้อนักเรียนว่า ป.ร.ย. ๗๓ ซึ่งสมัยเด็ก ๆ พวกเราเดาเอาว่า ป.ร.ย. น่าจะย่อมาจาก  ไประยอง เพราะโรงเรียนเราตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดระยอง
                        ปื๊ดในปีที่ผมรู้จักเป็นเด็กผู้ชายตัวดำ ๆ  ไม่ค่อยพูดอะไร เป็นเด็กในหมู่บ้าน ซึ่งคำว่าเด็กในหมูบ้านก็จะหมายถึงเด็กที่มีถิ่นพำนักพักอาศัยอยู่ในซอยมิตรประชา ซึ่งสภาพแวดล้อมสมัย 30  กว่าปีก่อนนั้นยังธรรมชาติสุด    แวดล้อมไปด้วยท้องไร่ ท้องนา กบ เขียด ปลาในน้ำยังอุดมสมบูรณ์ สภาพแวดล้อมแบบนี้กระมังที่อาจจะเป็นสิ่งดึงดูดใจปื๊ดให้รักในธรรมชาติ รักในการผจญภัยแบบเด็ก ๆ จนอาจจะละเลยในเรื่องการเล่าเรียนขั้นพื้นฐาน และรอเรียนพร้อมผมจากการที่ไม่ผ่านเกณฑ์การขึ้นชั้นในสมัยก่อน
                        ในช่วงประถมศึกษาชั้น ป.5  ขึ้นไปนั้น ด้วยวัยที่ล่วงเข้าไป 11 ขวบและกำลังย่างก้าวเข้าไปเป็นวัยรุ่น ความสนิทสนมของผมกับปื๊ดเลยไม่ได้ก้าวหน้ามากไปกว่าการเป็นเพื่อร่วมชั้นกันเท่านั้น โดยผมเป็นหัวหน้าห้อง หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงชั้น ป.6  และกิจกรรมที่ผมกับปื๊ดทำด้วยกันและดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่จำได้ก็คือ การที่ผมบอกให้เพื่อน ๆ จดรายละเอียดความรู้ในหนังสือเรียนที่เราไม่มีเป็นเล่ม ๆ ไว้อ่าน หนังสือที่คุณครูมอบหมายให้ผมอ่านนำ และลูกน้องในห้องทุกคนจดตาม
                      ด้วยวัย เวลา ที่ผ่านไป ผมได้พบกับปื๊ดเป็นระยะๆ ที่หมู่บ้านชากลูกหญ้า ซึ่งผมได้มีโอกาสกลับไปไม่ค่อยบ่อยครั้งนัก ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงสงกรานต์ ปื๊ดซึ่งหลงใหลในเกมส์กีฬาลูกหนัง ผันตัวเองไปเป็นหัวหน้าทีมฟุตบอลที่มีการเตรียมทีมเพื่อส่งไปแข่งในทัวร์นาเม้นท์เล็ก ๆ ตามหมู่บ้านใกล้เคียงกับหมู่บ้านชากลูกหญ้า ซึ่งผมมักจะสละเวลาไปให้กำลังใจอยู่เสมอ  เพราะช่วงสงกรานต์เป็นช่วงที่มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลโดยเฉพะที่โรงเรียนวัดมาบชลูด ซึ่งการแข่งขัน จะมีไปถึงวันที่  17  เมษายนของทุกปี
                      มณเฑียร เรามีเรื่องให้ช่วยหน่อยสิ  เสียงของปื๊ดดังมาตามสายโทรศัพท์เมื่อผมกลับมาจากระยองในช่วงสงกรานต์ปีหนึ่งซึ่งผมได้เบอร์โทรจากปื๊ดในวันที่ผมไปทำบุญที่วัดชากลูกหญ้า โดยน้ำเสียงของปื๊ด ผมแทบจะเดาออกว่าปื๊ดจะพูดเรื่องอะไร เพราะได้รับปากว่าจะช่วยเหลืองเรื่องทีมฟุตบอลไว้ตั้งแต่บนวัดแล้ว โดยปื๊ดอยากจะได้เสื้อทีมแข่งขันผมเลยโอนเงินตามจำนวนที่ปื๊ดแจ้งมาให้ไป และอวยพรให้ปื๊ดมีโชคในการแข่งขัน
                       สงกรานต์ปี  2557 ขณะที่ผมกำลังยืนคุยกับน้องชายกับน้องสาวที่บริเวณต้นไทยหน้าวัดชากลูกหญ้าในวันสงกรานต์ปีที่ 43  ในชีวิตช่วงวัยกลางคนของผม เสียงโห่ร้อง ปรบมือดังมาจากบริเวณเสาน้ำมันที่มีการนำเงินไปเสียบไว้ด้านบนสุดของยอดเสา ปื๊ดถูกแบกด้วยเพื่อนในหมู่บ้านให้ขึ้นไปถึงจุดที่จะหยิบเงินแบ๊งค์พันได้ ซึ่งผมเห็นแล้วก็ได้แต่ขำ เพราะภาพที่เห็นปื๊ดเหยียบหัวเจ้าจุ่นลูกอาตาขึ้นไป จนสามารถนำเงินรางวัลดังกล่าวลงมาได้พร้อมสียงโห่ร้องยินดีปรีดาของเพื่อน ๆ โดยปื๊ดถูกรายรอบไปด้วยเด็กชากลูกหญ้าที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาในวัยที่ก้าวล่วงไปเป็นชายวัยกลางคนกันทั้งนั้น ความสนุกสนานในวันสงกรานต์ทำให้ทุกคนลืมวัย มีแต่ความสุขและยิ้มสมหวังกันทุกคนรวมทั้งผมไปด้วย
                       ผ่านไปไม่ถึง 2  เดือนจากวันสงกรานต์ที่ผมได้พบปื๊ด ผมได้รับแจ้งข่าวการเสียชีวิตของปื๊ดจากสาธิตเพื่อนร่วมรุ่นประถมศึกษาด้วยกัน มันทำให้ผมครุ่นคิดอย่างหนักว่าอะไรกันหนอที่ทำให้เค้าจากไปในวัยที่ยังไม่สมควร  ในช่วงเวลากลางวันวันนั้น ผมยังได้พูดคุยกับคุณครูบัญชาและเพื่อน ๆ กลุ่มเล็กๆ ที่มีความคิดกันว่าจะจัดเลี้ยงคุณครูและพวกเราที่ได้จบจากโรงเรียนชั้นประถมศึกษาบ้านชากลูกหญ้ามา  30  ปีพอดี   พวกเราพลิกอัลบั้มรูปศิษย์เก่าและไล่ดูหน้าตาใสบ้องแบ๊วของแต่ละคน และอำกันไปมา จนพลิกไปถึงรูปปื๊ด และบอกกันในกลุ่มว่า ปื๊ดอยู่ที่โรงพยาบาล ซึ่งในขณะนั้นยังหวังว่าปื๊ดจะกลับมาได้และเข้ามาร่วมสังสรรค์ด้วยกันในอีก 4 เดือนข้างหน้า แต่สุดท้ายก็อย่างที่รับรู้ปื๊ดจากไปแล้วในช่วงบ่ายวันนั้นเอง  
                     ผมนึกย้อนเวลาที่ผ่านมาของตัวผมเอง ความทรงจำผมวัยเด็กบางอย่างก็แจ่มชัด บางอย่างก็จางลงไปจนแทบจำไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมจำได้และนึกถึงเพื่อนคนนี้ที่ชื่อปื๊ดก็คือ  ชายร่างดำรูปร่างสันทัด ชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ เด็กตัวดำๆ ที่มักจะนั่งอยู่หลังห้องและบางครั้งก็แซวผมที่เป็นหัวหน้าห้อง เด็กดื้อๆที่จิตใจเบิกบาน ขอให้ปื๊ดสงบสุข ณ ดินแดนสัมปรายภพ ผมจะนึกถึงและจดจำเค้าไว้ตลอดไป
Everything must pass …away.

ด้วยความระลึกถึง
มณเฑียร เนินอุไร
24  พฤษภาคม  2557