วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

โอ๋ แปดริ้ว


                    พวกเราเหมือนถูกต้อนกันเข้าไปรวมกันที่ห้อง TV  ในหอชาย 10  ด้านนอกรอบ ๆ หอนั้น ชายฉกรรจ์รุ่นราวคราวเดียวกันแต่หน้าตาเอาเรื่องยืนล้อมทางออกไว้ทุกด้าน ผมกับสมโภชน์ยืนอยู่ข้าง ๆ กันด้วยอารมณ์ตื่นกลัว สักพักเอ วาริช เดินเข้ามาในหอหน้าเครียด ๆ  กูไม่เจอไอ้โรจน์ว่ะ มันเข้าไปในเมือง  วิโรจน์เพื่อนคนเดียวที่พอจะช่วยเราคลี่คลายสถานการณ์เลวร้ายคืนนี้ได้ก็ไม่อยู่ซะแล้ว เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะเพื่อนเราคนหนึ่งไปมีเรื่องกับเพื่อนต่างคณะ สถานการณ์ลุกลามใหญ่โต ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย กลุ่มเด็กแปดริ้วหลาย ๆ คนที่พักอยู่ด้วยกันที่หอพยายามช่วยเหลือเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายไป แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย ทั้ง ชัช เอ กอล์ฟ 
                     ถนอมศักดิ์ เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งเป็นคนที่ผมสงสารมากที่สุดในคืนนั้น  เหตุจากโอ๋เข้าไปช่วยเพื่อน ๆ เคลียร์ปัญหา แต่กลายเป็นว่าการออกไปแก้ปัญหาแบบลูกผู้ชายของโอ๋ จะกลายเป็นปมขมวดจนคืนนี้เป็นคืนที่อยากจะลืมเลือน แต่ก่อนที่อะไร ๆ จะเลวร้ายไปจนถึงที่สุด  สุกิจ เดินเข้าไปไหว้พวกชายเหล่านั้น ด้วยแววตาอ้อนวอนขอให้ทุกเรื่องจบ และให้อภัยให้กันทั้งหมด ผมได้ยินเสียงขอร้องของสุกิจเหมือนแทบจะร้องไห้ เพราะทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนเทาทองที่ร่วมเข้าเรียนด้วยรหัส  33  มาด้วยกัน แต่ดูเหมือนสถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น  ไอ้คนที่ทำเพื่อนกูเจ็บมันอยู่ไหนวะ ออกมา ออกมาเสียงดังกร้าวผสม ก้าวร้าวดังมาจากภายนอกหอเหมือนท้าทายให้ทุกคนรับรู้ถึงความโกรธแค้น ทุกคนนิ่งเงียบเหมือนกับเวลาจะหยุดหมุน เด็กร่วมหอ 10 ที่อยู่ต่างคณะคนหนึ่ง เดินเข้ามาจูงมือพวกเราเพื่อให้ออกกันไปประหมัดให้รู้ดีรู้ชั่ว ใจผมคิดตอนนั้นว่า นี่หรือวะ คนที่อยู่ร่วมหอ คนที่เคยไปออกค่ายอาสาด้วยกัน ทำไมมาทำเพื่อนกูอย่างนี้  แต่ก็คงได้แค่คิดและก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าเตรียมพร้อมหากเกิดการตะลุมบอนขึ้นมาจริง ๆ ผมนิ่งเงียบแทบจะหยุดหายใจ ฉัตร,สมโภชน์,สุกิจ,เอ ก็คงไม่รู้สึกต่างจากผมนัก ทันใดนั้นเอง โอ๋ เด็กศึกษาศาสตร์ เดินผ่านผมออกไปทางประตูหน้าหอไปยังบริเวณสนามหญ้าหน้าหอระหว่างหอ 9 และหอ 10  สิ่งเดียวที่จะทำให้ทุกจบลงคือโอ๋ ต้องออกไปจัดการให้เรียบร้อย   ท้ายที่สุด โอ๋ เด๊กแปดริ้วที่ผมนับถือน้ำใจก็ออกไปถูกชายฉกรรจ์ล้อมกรอบและรับมือรับเท้าแทนพวกเราทุกคน พวกมันหมาหมู่และใช้อาวุธเป็นไม้ตีเข้าที่แขนโอ๋หลายครั้งจนหนำใจมันถึงเลิกลาไป  
                     คืนนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต 4 ปีแสนสุขที่บางแสนที่ผมร้องไห้เสียน้ำตา ผมสงสารเพื่อนเดินเข้าไปปลอบใจบีบมือและให้กำลังใจ สุกิจก็คงรู้สึกไม่ต่างไปจากผม ไม่เป็นไร มณเฑียร เรื่องแค่นี้ สบายมากโอ๋พูดพร้อมกับหัวเราะหึ ๆ และหันไปเอามือลูบหัวเจ้าหนุงหนิง หมาเพศเมียที่โอ๋เลี้ยงไว้ตั้งแต่เข้ามาอยู่หอ  10  และนิ่งเงียบ ไม่มีเสียงร้องเจ็บจากโอ๋ แต่ในใจผมไม่เคยเจ็บแบบนี้มาก่อนเลย
                    ทุกครั้งผมดูรูปเก่า ๆ ที่เกี่ยวกับม.บูรพา  ชื่อ ถนอมศักดิ์ จะถูกสะกิดออกมาทุกครั้งถึงความใจถึง ความกล้าหาญรักเพื่อน ไม่ทอดทิ้งกัน ผมยังคอยติดตามข่าวของโอ๋อยู่เสมอจนวันเวลาค่อย ๆ ทำให้เราห่างกันไป แต่เวลาไม่เคยทำให้ผมหลงลืมเรื่องราวคืนนั้นได้เลย


18 พฤศจิกายน  2554
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ไปทำงานที่ North Park ช่วงน้ำท่วม

                         น้องชายภรรยาผมลากเรือที่ผมนั่งพร้อมกระเป๋า  2  ใบออกมาจากบันไดภายในบริเวณบ้าน เพื่อพาผมมาหน้าบ้าน น้ำบ้านแฟนผมท่วมประมาณขาอ่อน แต่คุณภาพน้ำเริ่มแย่ลงไปตามวันที่ผ่านไปเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้นานอีกหน่อยน้ำคงเน่าจนปลาดุกตัวใหญ่ ๆ ที่หลุดมาจากบ่อ อาจจะนอนหงายท้องตายก็เป็นได้  นุ่งกางเกงยีนส์ตัดขาใส่เสื้อยืดของบริษัทและสวมแจ๊คเก๊ทเดินลากรองเท้าแตะ ออกจากบ้านเพื่อไปทำงานที่หลักสี่ อย่างแรกที่ผมต้องทำก่อนเลยคือจับรถแท๊กซี่จาก  แยกที่ถนนราชพฤกษ์ตัดกับซอยจรัญ 13  กระเป๋าทั้ง  2  ใบนั้น ใบหนึ่งเป็น Notebook อีกใบเป็นเสื้อผ้าที่นำมาเปลี่ยนที่ทำงาน   ผมใช้เวลาไม่นานนักก็มีรถแท๊กซี่มาจอดรับ  เพราะเป็นบริเวณที่รถเข้ามาส่งคนเป็นระยะ ประโยคแรกที่พี่แท๊กซี่คุยกับผมหลังนั่งเบาะหลังและปิดประตู้เรียบร้อยแล้วไม่ยักกะเป็นเรื่องน้ำท่วม แต่แกเล่าให้ฟังถึงภูมิหลังแก  น้อง พี่เนี่ยเมื่อก่อนทำธุรกิจ มีเงิน  20 – 30  ล้านเลยนะ แกเล่าไปพร้อมทั้งกล่าวถึงเพื่อน ๆ ที่อยู่ในสำเพ็ง เยาวราช เพื่อนพี่หลายคนมีเงินเป็น  100  ล้านเลย แต่พี่มันหลุดเอง เงินที่หามาได้ หมดไปกับรถ ผู้หญิง การพนัน”  ผมตอบรับแกไปเป็นช่วง ๆ  เพื่อให้การสนทนาราบรื่นและไม่ขาดระยะ อากาศช่วงเช้ามีลมหนาวเริ่มโชยมาตั้งแต่ตี 4  แล้ว ทำให้ผมมองข้างทางระหว่างรถวิ่งไปอย่างมีความสุข สิ่งที่พี่แท๊กซี่ที่เล่าให้ผมฟังนั้น ผมเข้าใจมานานแล้วว่า การพนัน ผู้หญิง รถยนต์หรู ๆ เป็นตัวลาญเงินไปจากกระเป๋าได้อย่างง่ายดาย ซึ่งถ้าผมมีโอกาสแบบแก ไม่แน่ว่าผมอาจจะมาถีบรถ 3 ล้อรับส่งคนหาเงินมายังชีพแทนที่จะขับแบบแกก็เป็นได้   รถแท๊กซี่นำผมมาส่งที่สถานีรถไฟฟ้า BTS  วงเวียนใหญ่ ผมชำระเงินและเข้าไปซื้อตั๋วรถไฟฟ้าโดยเลือกจุดหมายปลายทางคือสถานีหมอชิต ระหว่างอยู่บนรถไฟฟ้า เพื่อนที่รักคนหนึ่งก็ส่งข้อความ ผ่าน Face Book  เข้ามาสอบถามข่าวคราวการเดินทาง ผมเหลือบไปเห็นข้อความก็ได้แต่ยิ้มแบบมีความสุข พร้อมทั้งตอบกลับไปเป็นช่วง ๆ  บรรยากาศแบบเมืองที่ห่างจากผมไปนานเริ่มกลับมาอีกครั้ง สาวๆ หน้าตาน่ารักหลายคนคุยกันอย่างมีความสุข แต่ก็มีกลุ่มผู้ชายที่คุยกันถึงความห่วยแตกของบอลชายไทย ซึ่งเมื่อคืนทำงามหน้าอีกแล้วโดยพ่ายให้ทีมอิเหนาไป  1-3  ด้วยเหมือนกัน  

                       รถไฟฟ้าพาผมมายังสถานีหมอชิตก่อน 8  โมงเช้านิดหน่อย แต่กว่าที่รถทหารจะเข้ามารับก็ 8 โมงครึ่งเข้าไปแล้ว ผมมีโอกาสได้นั่งรถทหารคันใหญ่แบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต และได้นั่งที่บริเวณแค๊บ ด้านหลังคนขับ พี่ผู้หญิงคนที่นั่งเบาะด้านหน้าถามขึ้นมาว่า   “รถวิ่งไปถึงหลักสี่ไม๊ คะ ผมไม่รู้หรอกครับว่าไปถึงไหน ผมเพิ่งมาจากโคราช แต่รถคันนี้จะวิ่งผ่านวัดเสมียน แล้วผมจะเลี้ยวรถเข้าไปวิ่งคู่ขนานด้านในพี่ทหารผู้ใจดีตอบกลับมาแบบสุภาพแฝงไปด้วยน้ำเสียงเข้มแข็งแบบทหารหาญที่พร้อมช่วยเหลือประชาชน  เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว รถทหารก็ออกวิ่งโดยเริ่มออกจากหน้าหมอชิต  ตรงออกไปและเลี้ยวออกไปทางถนนวิภาวดีรังสิต ระดับน้ำที่ขังอยู่เริ่มสูง ตาม ระยะทางที่ผ่านไป เมื่อไปถึงบริเวณด่านเก็บเงินเพื่อขึ้นทางด่วนโทลเวย์ตรงหน้าอาคาร สำนักงาน ปตท. ระดับน้ำท่วมถึงครึ่งป้อมที่พนักงานนั่ง วิวสองข้างทางที่รถวิ่งผ่านเหมือนกับว่าผมกำลังนั่งเรือโนอาลำใหญ่ ล่องไปตามลำน้ำกว้างเพื่อหลีกหนีจากน้ำท่วมโลก  นาน ๆ ซักครั้งถึงจะมีรถขนาดใหญ่วิ่งสวนเลนมาคันหนึ่ง ผมเจอรถไถวิ่งอยู่ตรงหน้าเมื่อรถวิ่งมาก่อนถึงทางเข้าวัดเสมียนนารี ซึ่งพี่ทหารก็ขับรถคันใหญ่ แซงไปอย่างช้า ๆ เพื่อให้เกิดคลื่นรบกวนเบาที่สุด ระหว่างที่นั่งไป รถยนต์ก็หยุดส่งคนเป็นระยะ ๆ ตามรายทาง บางครั้งเจอคนยืนรอ รถก็หยุดรับคนขึ้นมาเหมือนกัน เมื่อผ่านวัดเสมียนแล้ว พี่ทหารก็ไม่ได้เลี้ยวเข้าไปในถนนโลคัล โร้ด ตามที่บอก แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะมัวแต่มองข้างทางและสังเกตคนที่นั่งบนรถด้านหลัง 


เด็กน้องคนหนึ่งมองน้ำอย่างสงสัย น้องเค้าอาจจะคิดไปว่ากำลังนั่งเรือเหมือนที่ผมนึกอยู่ก็ได้  รถทหารวิ่งพาผมมาส่งที่หน้าโครงการ นอร์ธปาร์ค ซึ่งก่อนจะถึงพี่เค้าถามขึ้นมาว่า  “นี่เราถึงวัดเสมียนหรือยัง ผมฟังแล้วก็ยิ้มตอบ พร้อมทั้งอธิบายให้พี่เค้าฟังเพราะเข้าใจแล้วว่าพี่เค้าตั้งใจจะเข้าตั้งแต่วัดเสมียน แต่ลืมเลี้ยว ผมจึงบอกให้พี่เค้าเข้าถนนโลคัล โร้ดที่หน้าโครงการ นอร์ธปาร์คเลย  ก่อนจะลงจากรถผมกล่าวขอบคุณพี่ทหารเค้าอีกครั้ง และมองดูรถวิ่งไปส่งผู้โดยสารคนอื่น ๆ ต่อไปจนลับตา ประสบการณ์ที่น่าประทับใจและหาได้ยากวันนี้ผมคงจำไปอีกนานเลยทีเดียว  อือ แต่เย็นนี้เราจะกลับไปบ้านยังไงดีล่ะ เอาน่าเดี๋ยวถึงเวลาก็คงคิดออกเองแหละ ว่าไม๊

15 พฤศจิกายน 2554 
ต้นจำปูนหลังบ้าน