วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

รถกระบะกับพ่อ

                               ขณะที่พ่อกำลังจะขับรถกระบะคันเก่าไปเก็บมะพร้าวที่สวน ผมเดินเข้ามาขอกุญแจรถจากพ่อพร้อมทั้งบอกว่า “เดี๋ยวหน่องขับรถเอง พ่อเป็นผู้โดยสารมั่ง” ตอนแรกดูเหมือนพ่อจะไม่ยินยอมแต่ท้ายที่สุดเมื่อผมยืนยันว่าจะขับรถให้ พ่อเลยไม่มีทางเลี่ยงต้องยอมมอบกุญแจมาแต่โดยดี ระหว่างที่ผมขับรถไปสวนโดยมีพ่อเป็นผู้โดยสาร พ่อจะคอยบอกว่า รถมันแรงนะ เพิ่งไปยกเครื่องมาใหม่ ทำมาหลายหมื่นต้องขับระวังๆ คันเร่งมันแรง พร้อมทั้งคอยกำกับผมให้ขับตามใจพ่อ พวงมาลัยที่แข็งและฝืดต้องใช้แรงเย่อมากๆ ไม่เหมือนพวงมาลัยรถสมัยใหม่ที่เป็นพวงมาลัยพาวเวอร์กันหมดแล้ว เกียร์กระปุกพร้อมทั้งครัชที่ต้องคอยเหยียบให้สัมพันธ์กับการเข้าเกียร์ไม่ได้สร้างความลำบากให้กับผมมากนักถึงจะไม่ได้ขับรถแบบนี้มาแรมปี พ่อคงมองว่าผมเป็นเด็กอยู่เสมอกระมังทั้งๆที่วัยของผมล่วงมาจนจวนจะถึงกึ่งศตวรรษแล้ว ผมขับรถไปตามถนนสายเก่าเหมือนที่เคยผ่านมาแต่ครั้งอดีต เด็กตัวนัอยที่เคยเกาะกระบะหลังมานั่งขับรถให้ชายชราที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนขับรถ ผมเลี้ยวรถเข้าไปในซอยที่เป็นทางไปสู่สวนมะพร้าว ซอยที่ชื่อคุ้นหูมาตั้งแต่เด็กแต่รอบข้างเปลี่ยนไปตามความเจริญของสังคม ไร่มันสัมปะหลังที่ผมเคยไปรับจ้างปลูกกลายเป็นลานจอดรถขนาดใหญ่ โรงงานอุตสาหกรรมเข้ามาล้อมหมู่บ้านจนเหมือนสิ่งคุกคามชีวิตแบบเดิมๆ ถึงวันนี้ผมก็ยังไม่คุ้นกับสิ่งที่เปลี่ยนไปถึงจะเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองหลวงหลายสิบปีแล้ว ผมขับรถมาถึงสวนโดยใช้เวลาไม่นานนัก ต้นมะพร้าวหลายต้นยืนตาย พ่อบอกว่ามันถูกฟ้าผ่า สระบัวที่น้องสาวมักจะมาเก็บดอกบัวไปถวายพระยืนต้นตายตามอายุ หญ้าขึ้นรกเป็นหย่อมๆ ในสระ ภายในสวนมะพร้าวมีร่องน้ำไหลผ่าน ปูนาเดินหลงมากลางน้ำไหล หากเป็นตอนเด็กผมคงไล่จับปูไปอวดพ่อเพื่อแสดงความเก่งให้พ่อเห็นแต่วันนี้ทำได้แต่มองและยิ้มเอ็นดูปูนา มะพร้าวแห้งบนต้นรอผมสอยลงมาเพื่อนำกลับบ้านไปขาย พ่อก้มหน้าก้มตาเดินสำรวจสวนและทลายมะพร้าวพร้อมทั้งบอกให้ผมไปสอย ใครว่าชีวิตแบบนี้สบายผมกับน้องสาวคงจะเถียงคอเป็นเอ็น ชีวิตเกษตรไม่เคยสบาย มีแต่ความยากลำบากกว่าจะได้เงินซักบาท หรือข้าวสารซักทะนาน สิ่งที่ทดแทนก็คงเป็นความสุขที่ตัดออกจากโลกภายนอกที่แสนวุ่นวายเพียงชั่วครู่ชั่วยาม อย่างน้อยมันก็เป็นแรงบันดาลใจให้เรายังทำงานประจำต่อไปอย่างแข็งขันเพื่อเอาไว้ตอบยามที่พ่อกับแม่ถามว่า เหนื่อยไหมหน่อง ทำงานที่กรุงเทพฯ คำตอบของผมก็คงเหมือนเดิมที่ว่า ไม่เหนื่อยเท่าที่แม่ทำหรอกจ๊ะและถึงเหนื่อยพอเห็นหน้าพ่อกับแม่แล้ว ผมไม่รู้ว่าความเหนื่อยความกดดันที่เคยเจอมันวิ่งหนีหายไปไหน   

18 พฤศจิกายน 2561

ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2561

คำสัญญา

             เย็นวันหนึ่งในเดือนธันวาคม 2551 ขณะยืนรอรถไฟไปเชียงใหม่เพื่อไปพบคนที่เฝ้ารอมานานแสนนาน เพราะสัญญากันไว้ว่าจะไปไหว้พระด้วยกัน  ตั๋วรถไฟ กระเป๋าเดินทาง ขบวนรถไฟเข้าเทียบชานชาลาสถานีดอนเมือง ทุกอย่างพร้อม ขอเพียงก้าวขึ้นรถไฟไปเท่านั้นเอง เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นจากผู้หญิงคนหนึ่งฉุดรั้งไว้ไม่ไห้ก้าวขาขึ้นรถไฟ ขบวนรถไฟเคลื่อนออกจากชานชาลาสถานีดอนเมือง ผมยืนนิ่งอยู่ที่สถานีรถไฟเหมือนเดิม น้ำตาไหลรินข้างในอกเพราะไม่ได้เดินทางไปตามคำสัญญา ความรู้สึกผิดยังคงเกาะอยู่ในใจจนถึงปัจจุบัน สิ่งเดียวที่ทำได้เพื่อไถ่ความรู้สึกผิดตลอดมาคือการยืนข้างๆ เขาคนนั้น และช่วยเป็นกำลังใจในทุก ๆ เรื่องขอเพียงเขาเอ่ยปาก  หากไม่โชคร้ายในชีวิตเหมือนที่เคยเป็นมา วันหนึ่งเราคงได้เจอกันโดยไม่มีสิ่งใดมาฉุดรั้งไว้เหมือนในอดีต การรักษาสัญญาและทำตามความรู้สึกของหัวใจเป็นสิ่งที่ยึดถือและปฏิบัตินับจากวันนั้น การรักใครซักคนด้วยหัวใจ มิได้มองไปถึงภูมิหลัง สถานะของเค้าและตัวเอง ถ้ามันยากจนเกินไป ก็ขอรักคนที่เค้ารักเราด้วยหัวใจเช่นเดียวกัน

6 กันยายน 2561
ต้นจำปูนหลังบ้าน