วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560

ลุงเอก สัปเหร่อประจำวัดชากลูกหญ้า

ผมรู้จักลุงเอกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้  ฉายาที่ลุงเอกได้รับก็คือ สัปเหร่อเอกเพราะลุงเอกทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดชากลูกหญ้า ผมไม่รู้ว่าลุงเอกเป็นสัปเหร่อมานานแค่ไหนแต่คิดว่าคงนานพอดู อาจจะเป็นตั้งแต่ผมเกิดก็เป็นได้  
ลุงเอกเป็นคนที่มีวาจาฉะฉาน มีมุกตลกในคำพูด จนหลาย ๆ ครั้งผมนึกแปลกใจในความเฉลียวฉลาดหลักแหลมที่ลุงเอกมีอยู่ในตัว  พ่อผมเล่าให้ฟังว่าลุงเอกเป็นเพื่อนเรียนหนังสือรุ่นเดียวกันกับพ่อ  แต่ลุงเอกแก่กว่าพ่อ 2    ปี ผมเลยรู้ว่าลุงเอกเกิดปีฉลูเพราะพ่อผมเกิดปีเถาะ  ภาพลุงเอกที่ผมคุ้นตาก็คือลุงเอกจะขับรถมอเตอร์ไซด์พ่วงข้างไปไหนต่อไหนตามท้องถนนโดยจะมีมีดขอพกเหน็บไปด้วยตลอดเวลา เท่าที่ผมจำได้เวลาเล่น ๆ ลุงเอกจะมีมุกตลกมาคุยให้ฟังเป็นที่สนุกสนาน ส่วนเวลาจริงจังแววตาของลุงเอกก็จะเจิดจ้าและจ้องเขม็งรวมทั้งคำพูดที่ไม่ได้เล่นเหมือนอย่างเคยได้ยินและรับรู้ได้ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง  
ที่โรงเรียนบ้านชากลูกหญ้าที่ผมได้เรียนเมื่อครั้งประถมศึกษาจะมีรูปปั้นนางนพมาศ ซึ่งจะถูกเชิญมาข้างสระน้ำบ้านปู่เฟื้อในคืนวันลอยกระทงทุกปีที่ โรงเรียน จัดงาน  ช่างที่ปั้นหุ่นนางนพมาศองค์นี้ลุงเอกก็รู้จักเป็นการส่วนตัว  เป็นผู้ชายและมีลูกสาว ซึ่งหากพูดตามตรงลูกสาวของช่างนั้นหน้าตาไม่ได้สวยงามเอาเสียเลย ผิดกับหุ่นนางนพมาศที่ตัวช่างเองปั้นได้สวยงามราวกับนางฟ้า ลุงเอกเคยเล่าว่า ถามกันอยู่ได้ว่าทำไมหุ่นนางนพมาศสวยงาม แต่ลูกสาวช่างปั้นไม่สวย ก็รูปปั้นนางนพมาศช่างเขาเอามือปั้น  ส่วนตัวลูกสาวเขาเอา...ปั้น  ผมได้ยินได้ฟังก็ได้แต่หัวเราะขำในคำตอบของลุงเอก
ลุงเอกได้เป็นสัปเหร่อจัดการศพให้คนที่ผมรักหลายครั้ง และครั้งที่ผมจำได้และยังฝังอยู่ในความทรงจำก็คือวันที่ผมไปเก็บกระดูกพี่ชายผมหลังจากผา ระหว่างเห็บกระดูกลุงเอกบอกว่า ดูเอาไว้เถอะ คนเรามันก็เท่านี้ เหลือแค่ขี้เถ้ากับกระดูก ไม่มีใครเอาอะไรไปได้เลยซักคน  ใช่ไม่มีใครเอาอะไรไปได้เลยหลังจากทิ้งร่างลงดิน มันสะท้อนความจริงของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และชวนให้สลดหดหู่ ความจริงที่เราต้องพบเจอไม่ว่าจะเป็นคนที่เรารัก เกลียด คนรู้จัก คนไม่รู้จัก หรือแม้กระทั่งตัวของเราเองก็ตาม
หากจะนึกถึงลุงเอกผู้จากลาลับโลกนี้ไป  ผมขอนึกถึงผู้ชายอารมณ์ดี มีมุกตลก  เข้าใจชีวิต เข้าใจโลก และสอนบทเรียนต่าง ๆ มากมายทั้งจากคำพูด การดำเนินชีวิตและงานสัปเหร่อที่ลุงเอกได้ทำเพื่อคนอื่นๆ ตลอดไป


ด้วยความระลึกถึงลุงเอก
                                                                                 กันยายน  2560
ต้นจำปูนหลังบ้าน
                                                                                



วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เก็บเงิน-ตามจับควายมาคืนเจ้าของ

เห็นข่าวจนท. ขสมก. เก็บกระเป๋าเงินได้แล้วส่งคืนเจ้าของ จนกระทั่งมีเรื่องราวใหญ่โตในกรณีที่เจ้าของกระเป๋าให้รางวัลเป็นขนม 2 ห่อ แก่คนเก็บได้โดยไม่ยอมให้เงินตอบแทนสมน้ำสมเนื้อกับจำนวนเงินในกระเป๋าซึ่งมีมูลค่ามากกว่าล้านบาทแล้วให้ผมคิดถึงวัยเด็กของตนเอง
ย้อนหลังไปเกือบ  40  ปีก่อน วันหนึ่งผมและบรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ หลานคุณย่ายิ้มได้ออกไปเที่ยวเล่นกันในทุ่งกว้าง ได้ไปเจอควายตัวหนึ่งซึ่งหลาย ๆ คนจำได้ว่ามันเป็นควายของคนที่อยู่แถวๆ บ้าน  อารมณ์ตอนนั้นก็คือ พวกเราทุกคนต้องช่วยกันจับเจ้าควายตัวนั้นไปส่งเจ้าของให้ได้ หลังจากช่วยกันจับควายได้แล้ว ระหว่างที่ต้อนควายตัวนั้นกลับไปคืนเจ้าของควาย พวกเราคิดตามประสาเด็ก ๆ  ว่า น่าจะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินหรือสิ่งของอะไรบ้าง ซึ่งสุดท้ายก็ตกลงกันว่าเราน่าจะได้น้ำมันมวยซัก ขวด มาเป็นค่าตอบแทน น้ำมันมวยที่ตอนนั้นราคาซัก  15  บาท ในขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำต่อวันคือ  30    บาท เหตุที่เราต้องการน้ำมันมวยก็เพราะหลาย ๆ คนอยากมีอาชีพเป็นนักมวย และคุณอาก็เปิดค่ายมวยที่ชื่อว่า ศักดิ์ ชญ. แล้วก็เกณฑ์บรรดาหลาน ๆ หรือคนมีแววมาเป็นนักมวย ซึ่งพี่ชายผมก็เป็นหนึ่งในนักมวยเหล่านั้น  
หลังจากคืนควายให้เจ้าของแล้ว สิ่งที่เราได้รับจากเจ้าของควายก็คือคำขอบคุณ ไม่มีรางวัลตอบแทนอะไรกลับมาเลย พวกเราทุกคนผิดหวังกันมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พอเราเอาเรื่องเหล่านี้ไปบอกผู้ปกครอง ผู้ปกครองบางคนก็บอกแต่เพียงว่าคราวหน้าถ้าเจอควายหลุดมาอีก ให้ไล่ควายไปไกล ๆ หรือไม่ก็ไม่ต้องสนใจควาย
          เวลาผ่านไปนานจนผมแทบจะลืมไปแล้ว พอมาเจอข่าวพนักงาน ขสมก. เก็บกระเป๋าเงินคืนเจ้าของแล้วไม่ได้รับผลตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อทำให้ผมคิดถึงอดีต จะเพราะอะไรก็แล้วแต่ ผมกลับคิดไปว่าดีแล้วที่วันนั้นผมไม่ได้รับค่าตอบแทนเป็นน้ำมันมวยจากเจ้าของควาย เพราะหากได้รับเด็กน้อยอย่างผมก็คงจะคิดไปว่าเราต้องทำอะไร ๆ แล้วก็ต้องได้ค่าตอบแทนเสมอๆ จนลืมไปถึงความยากลำบากของคนที่เราร้องขอ ลืมไปถึงสิ่งดีงามที่คุณย่าผมสอนด้วยการกระทำมาตลอด ที่สำคัญการทำความดีด้วยจิตใจที่ดีนั้นเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด มันมีค่ามากกว่าคำเยินยอ รางวัลตอบแทนจนเทียบกันไม่ได้ หลาย ๆ สิ่งที่ผ่านมาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่หล่อหลอมคนไทยมานานก็คือความเอื้ออารี ความมีน้ำใจ แต่มันก็ค่อย ๆ หายไปเมื่อเปลี่ยนผ่านจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง จนในที่สุดสิ่งเหล่านี้มันคงจะหายไปจากสังคมไทยอย่างถาวร



30  กรกฎาคม  2560
ต้นจำปูนหลังบ้าน