พี่หน่อง ๆ
พี่หน่องรีบไปจองที่นั่งกินข้าวนะ เดี๋ยวเราจะไม่มีกับข้าวกินเหมือนเมื่อคืน
เสียงน้องคนหนึ่งดังขึ้นในตอนเช้าขณะกำลังเก็บของขึ้นรถตู้ เพื่อเตรียมตัวเดินทางออกจากโรงเรียน
ผมหันมามองน้องอย่างเต็มตา และก็ตัดสินใจพูดขึ้นมาว่า “น้อง… เรามาออกค่ายสร้างศาลาให้วัด สร้างบุญใหญ่กันแล้ว แล้ว แค่เรื่องข้าว
เรื่องกับข้าวแค่นี้เอง เราอย่าไปสนใจเลย
ถ้าเรื่องแค่นี้เรายังไม่ก้าวข้าม แล้วเราจะไปทำงานจิตอาสาใหญ่ ๆ
ได้อย่างไร” น้องนิ่งเงียบไป
จากนั้นก็ยิ้มรับและเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด ผมหัวเราะเบา ๆ แบบขำๆ เพราะหน้าตาผมดูน่ากลัวอยู่แล้ว
เดี๋ยวจะไปทำให้น้องเสียใจและพากันเดินออกไปที่โรงอาหารเพื่อทานอาหารเช้าด้วยกัน
ความจริงสิ่งที่น้องพูดขึ้นมันก็เป็นสิ่งที่ผมคิดอยู่เหมือนกัน
คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวนับตั้งแต่เริ่มทำกิจกรรมครั้งนี้ ความรู้สึกเดิม ๆ
จางหายไป คนเก่า ๆ
ที่คุ้นเคยก็มีภาระหน้าที่มากยิ่งขึ้นจนไม่สามารถปลีกตัวมาร่วมค่ายได้ “… คุณเทียนจะออกค่ายไปถึงเมื่อไหร่
เมื่อไหร่ถึงจะหยุดออกค่าย…” เสียงเดิมๆ ของภรรยาก้องอยู่ในหู
แต่คราวนี้มันดังเสียจนนึกเสียใจที่ทิ้งให้เค้านอนอยู่บ้านคนเดียว
ส่วนครอบครัวอื่น ๆ พากันออกไปท่องเที่ยวฉลอง High Season ของเมืองไทยที่มาพร้อมกับลมหนาวแรกของปี
นั่นสิ แล้วเราจะออกค่ายไปถึงเมื่อไหร่กันนะ
ผมตื่นนอนแต่เช้าตรู่ท่ามกลางขุนเขาในรีสอร์ทที่ฝังตัวอยู่กลางหุบเขา
มันไกลจากที่ที่ผมคุ้นเคยจนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเราไม่ได้มาออกค่ายเราจะกล้าขับรถพาคนที่เรารักมาเที่ยวถึงที่นี่ไหมหนอ
เสียงสายน้ำจากลำน้ำมองฟังดูคล้าย ๆ เสียงน้ำตกเบื้องหน้าดึงให้ผมเดินเข้าไปสัมผัสบรรยากาศ มีน้องบางคนลงไปถ่ายเซลฟี่ที่หินกลางน้ำ
ผมมองดูสายน้ำไหลเบื้องหน้า น้ำก็ไหลไปเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ไม่เคยหยุดพัก
เจอเกาะแก่งที่ไหนก็หาทางไปจนได้ สายน้ำนี้คงเดินทางมาไกล
และไม่รู้จะไปสิ้นสุดที่ไหน หากเป็นไปได้ผมก็อยากเอาความทรงจำดี ๆ
ที่เคยได้รับมาจากการออกค่ายฝากไปกับสายน้ำให้ไหลพาไปให้ไกลแสนไกล เพื่อสิ่งดี ๆ
จะได้คงอยู่อย่างนั้นโดยไม่ถูกทำลายไปเพราะบางสิ่งบางอย่างมันไม่ย้อนกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว
…
27 ตุลาคม 2558
ต้นจำปูนหลังบ้าน