วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่พ่อภาคภูมิใจ


          เช้าวันหนึ่งขณะผมกำลังนั่งเล่นหน้าบ้านพ่อที่ระยอง ผมมองผ่านไปยังถนนมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหา ลักษณะท่าทางเหมือนกับเป็นรุ่นเดียวกับพ่อผม เมื่อผมเข้าไปสอบถามจึงรู้ว่าเขามหาพ่อจริงๆ จากนั้นผมจึงเดินตามพ่อจากหลังบ้าน เมื่อพ่อเดินมาถึงทั้งสองคนก็ทักทายกันด้วยความดีใจ และเริ่มสนทนากัน จากบทสนทนากันผมจึงได้รู้ว่าชายคนดังกล่าวเป็นเพื่อนของพ่อมาตั้งแต่ยังหนุ่มและชายคนดังกล่าวก็คุยถึงเรื่องของลูกให้พ่อฟัง "ลูกเราทำงานธนาคารทหารไทย แล้วลูกเป๋าล่ะทำอะไร" ชายคนนั้นพูดถึงลูกชายของเขาด้วยความภาคภูมิใจ  เป๋าที่ชายคนดังกล่าวพูดถึงก็คือชื่อของพ่อผมนั่นเอง พ่อผมยิ้ม ๆ และตอบกลับชายคนนั้นไปว่า  ลูกชายคนโตทำงานอยู่ที่ธนาคาร ลูกชายคนที่สองเรียนจบปริญญาตรี ทำงานอยู่ที่กรุงเทพ ฯ ลูกชายคนที่สามทำงานเป็นนายช่างอยู่ในโรงงานที่มาบตาพุด ลูกสาวกำลังเรียนปริญญาตรีอยู่ที่พระนครเหนือ กรุงเทพ ฯ     พ่อพูดจบก็ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมได้รับรู้ว่าพ่อภาคภูมิใจมากแค่ไหนที่สามารถส่งลูก ๆ เล่าเรียนหนังสือจนจบ มีหน้าที่การงานที่ดี  ๆ ทำกันทุกคน โดยที่พ่อไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย แต่เพราะความขยันของพ่อและแม่ที่ส่งให้ลูก ๆ ไปอยู่ในสภานะภาพที่ดี อยู่ในสังคมที่ดี คงไม่ใช่เฉพาะพ่อผมหรอกที่ภูมิใจในการได้ส่งลูกให้เล่าเรียนหนังสือ ได้ทำงานที่ดี ผมว่าพ่อแม่ทุกคนนั้นก็อยากจะให้ลูกๆ มีเส้นทางชีวิตที่ดี มีชีวิตที่มีคุณค่า  สำหรับวันพ่อ พ่อของผมก็เป็นคนหนึ่งที่คงอยากเห็นหน้าลูกๆ กลับมาหา เห็นลูก ๆ มีความสุขและเป็นคนดีของสังคมตลอดไป


5 ธันวาคม 2558
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สิทธิกร บุญฉิม


             ผมเห็นข่าวเสี่ยอู๊ดเสียชีวิตตามหน้า Web Page ต่างๆ  ใน Internet  เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ( 30/10/2558) ทำให้นึกย้อนไปถึงปลายปี  2546  ในงานกฐินที่วัดยายร้า (วัดสุวรรณรังสรรค์) อ. บ้านฉาง จ. ระยอง ปีนั้นคุณแม่บอกผมตั้งแต่วันตักบาตรเทโวว่า อยากไปดูลิเกไชยา มิตรชัย เพราะมีกฐินกองใหญ่จาก กทม.มาลงที่วัด มีดารานักร้องมากมาย ผมก็เออออห่อหมกไปกับแม่และรับปากว่าจะพาแม่ไปดูลิเก

                       เมื่อวันงานกฐินมาถึง ผมขับรถไปส่งแม่ที่วัดยายร้าในตอนหัวค่ำ  รถยนต์ที่ไปงานกฐินแน่นมาก ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเห็นงานกฐินที่วัดไหนใหญ่ขนาดนี้มาก่อน มีดารานักร้องมากันมากหน้าหลายตา ทั้งลิเก ไชยาที่กำลังโด่งดัง จินตหรา พูลลาภ ที่ยกวงมาแสดงแบบเต็มวง   ผมเดินเตร็ดเตร่ในงานเพื่อรอแม่ และเริ่มสนใจเป็นครั้งแรกว่าเสี่ยอู๊ดหรือชื่อจริง นายสิทธิกร บุญฉิม คือใคร แล้วเป็นคนที่ไหน ทำไมถึงได้ทำบุญทอดกฐินได้ยิ่งใหญ่อย่างนี้ 
              เช้าวันรุ่งขึ้นผมกลับไปที่วัดยายร้าอีกครั้ง  รถบัสขนาดใหญ่ จำนวนร้อยกว่าคันที่รับพระสงฆ์จากวัดสุทัศน์มาในงาน   มีการนำหุ่นละครเล็ก โจหลุยส์มาแสดง ดาราหลาย ๆ คนมาร่วมงาน สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของคนจัดเป็นอย่างดี จนผมอดไม่ได้ที่จะสืบค้นว่าสิทธิกร บุญฉิมหรือเสี่ยอู๊ดนั้นเป็นใคร และนับจากวันนั้นเสี่ยอู๊ด ก็เป็นที่รู้จักกันในวงกว้างมากยิ่งขึ้น ทั้งด้านดี และด้านร้าย และเรื่องที่ฮืฮามากที่สุดก็คงไม่พ้นข่าวไปเที่ยวกับนักร้องหนุ่มที่ฮ่องกง และเป็นข่าวเกรียวกราวตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่หลายวัน
             เสี่ยอู๊ดนั้นเป็นเด็กบ้านฉางโดยกำเนิดและเกิดปีเดียวกับผม (2514)  ความวิริยะอุสาหะส่งให้เสี่ยอู๊ดไปได้ไกลจนเกินกว่าจะคิดฝัน จากเด็กบ้านนอกยากจน กลายมาเป็นผู้กว้างขวางในการวงการพระเครื่องและผู้หาทุนรายใหญ่ของวัดและองค์กรการกุศลต่าง ๆ ของประเทศไทย ผมไม่รู้หรอกว่าเขาทำอะไรมาบ้าง แต่หากมองด้วยข้อเท็จจริง คนคนหนึ่งจะทำอะไร ๆ  ได้มากมายโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนรอบข้างเลยหรือ ในความเป็นจริงของชีวิตทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องตายในวันหนึ่งข้างหน้า แต่การที่เสี่ยอู๊ดจากไปในนี้มันยังเร็วเกินไปและการจากไปด้วยข่าวการฆ่าตัวตายของตัวเองทำให้ผมยิ่งเสียดาย เสียดายความสามารถที่จะช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองมากไปกว่านี้ แต่สิ่งที่เสียดายมากที่สุดไม่ใช่เงินทองที่เสี่ยอู๊ดหามาได้ แต่เสียดายโอกาสที่ได้เกิดมาพบเจอพระพุทธศาสนาแล้วไม่ขวนขวายปฏิบัติธรรมให้ลึกซึ้งยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก มัวแต่ไปวิ่งไล่ตามความอยากของตัวเอง สร้างภาพนักบุญโดยถูกหลอกใช้จากคนรอบข้าง กว่าจะเกิดก่อตัวในท้องแม่ ออกมาเดินตั้งไข่ เรียนรู้วิชาทำกิน เรียนรู้ชีวิต คบเพื่อน ตรากตรำฝ่าฟันจนเป็นที่รู้จักสุดท้ายก็ต้องเดินทางต่อไป ที่ทางที่จะไปก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน เสียเวลาไปเปล่า ๆ  1  ชาติ ข่าวการเสียชีวิตของเสี่ยอู๊ดว่าเป็นสิ่งเตือนใจให้ผมเองว่าสุดท้ายก็ไม่ได้อะไรติดตัวไปเลยซักอย่างเดียว นอกจากบาปและบุญ

3  พฤศจิกายน  2558
ต้นจำปูนหลังบ้าน



วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

บางความรู้สึกกับคนสร้างฝัน


พี่หน่อง ๆ พี่หน่องรีบไปจองที่นั่งกินข้าวนะ  เดี๋ยวเราจะไม่มีกับข้าวกินเหมือนเมื่อคืน เสียงน้องคนหนึ่งดังขึ้นในตอนเช้าขณะกำลังเก็บของขึ้นรถตู้ เพื่อเตรียมตัวเดินทางออกจากโรงเรียน ผมหันมามองน้องอย่างเต็มตา และก็ตัดสินใจพูดขึ้นมาว่า น้องเรามาออกค่ายสร้างศาลาให้วัด  สร้างบุญใหญ่กันแล้ว แล้ว แค่เรื่องข้าว เรื่องกับข้าวแค่นี้เอง เราอย่าไปสนใจเลย  ถ้าเรื่องแค่นี้เรายังไม่ก้าวข้าม แล้วเราจะไปทำงานจิตอาสาใหญ่ ๆ ได้อย่างไร น้องนิ่งเงียบไป จากนั้นก็ยิ้มรับและเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด ผมหัวเราะเบา ๆ แบบขำๆ เพราะหน้าตาผมดูน่ากลัวอยู่แล้ว เดี๋ยวจะไปทำให้น้องเสียใจและพากันเดินออกไปที่โรงอาหารเพื่อทานอาหารเช้าด้วยกัน
ความจริงสิ่งที่น้องพูดขึ้นมันก็เป็นสิ่งที่ผมคิดอยู่เหมือนกัน คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวนับตั้งแต่เริ่มทำกิจกรรมครั้งนี้ ความรู้สึกเดิม ๆ จางหายไป คนเก่า ๆ ที่คุ้นเคยก็มีภาระหน้าที่มากยิ่งขึ้นจนไม่สามารถปลีกตัวมาร่วมค่ายได้  “… คุณเทียนจะออกค่ายไปถึงเมื่อไหร่ เมื่อไหร่ถึงจะหยุดออกค่าย…”  เสียงเดิมๆ ของภรรยาก้องอยู่ในหู แต่คราวนี้มันดังเสียจนนึกเสียใจที่ทิ้งให้เค้านอนอยู่บ้านคนเดียว ส่วนครอบครัวอื่น ๆ พากันออกไปท่องเที่ยวฉลอง High Season ของเมืองไทยที่มาพร้อมกับลมหนาวแรกของปี นั่นสิ แล้วเราจะออกค่ายไปถึงเมื่อไหร่กันนะ
ผมตื่นนอนแต่เช้าตรู่ท่ามกลางขุนเขาในรีสอร์ทที่ฝังตัวอยู่กลางหุบเขา มันไกลจากที่ที่ผมคุ้นเคยจนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเราไม่ได้มาออกค่ายเราจะกล้าขับรถพาคนที่เรารักมาเที่ยวถึงที่นี่ไหมหนอ เสียงสายน้ำจากลำน้ำมองฟังดูคล้าย ๆ เสียงน้ำตกเบื้องหน้าดึงให้ผมเดินเข้าไปสัมผัสบรรยากาศ  มีน้องบางคนลงไปถ่ายเซลฟี่ที่หินกลางน้ำ ผมมองดูสายน้ำไหลเบื้องหน้า น้ำก็ไหลไปเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ไม่เคยหยุดพัก เจอเกาะแก่งที่ไหนก็หาทางไปจนได้ สายน้ำนี้คงเดินทางมาไกล และไม่รู้จะไปสิ้นสุดที่ไหน หากเป็นไปได้ผมก็อยากเอาความทรงจำดี ๆ ที่เคยได้รับมาจากการออกค่ายฝากไปกับสายน้ำให้ไหลพาไปให้ไกลแสนไกล เพื่อสิ่งดี ๆ จะได้คงอยู่อย่างนั้นโดยไม่ถูกทำลายไปเพราะบางสิ่งบางอย่างมันไม่ย้อนกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว   

 27 ตุลาคม 2558
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

จะไม่ให้ผมรักแม่ได้อย่างไร


          หน่องจะกินแกงปลามั้ย แม่ซื้อปลามาจากตลาดนัด เดี๋ยวจะแกงให้ แม่ร้องบอกเมื่อผมกลับมาถึงบ้านแม่ที่ระยองในเย็นวันเสาร์  และก็เหมือนกับทุกครั้งที่ผมจะตอบรับด้วยความยินดี และรีบไปเก็บใบกะเพราที่ขึ้นอยู่ในสวนหลังบ้านเพื่อเอามาเป็นส่วนประกอบแกงปลาของแม่ ซึ่งผมคิดว่าเป็นแกงปลาที่อร่อยที่สุดในโลก
          ระหว่างช่วงเวลาที่ผมเติบโตจากเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ประสีประสา จนกระทั่งจบการศึกษาจากรั้วมหาวิทยาลัย มาเป็นหนุ่มน้อยที่รอเข้าตลาดแรงงานเพื่อทำงานเลี้ยงตัวเองนั้น มีอยู่สองสิ่งที่แม่ไม่เคยให้ลูก ๆ ในบ้านต้องขาดหาย หนึ่งคือ อาหาร ซึ่งแม่หามาให้กินทุกมื้อและสองการศึกษาที่พ่อกับแม่ประหยัดอดออม เพื่อให้ลูกทุกคนได้เรียนหนังสือโดยไม่เคยปริปากบ่น  หลาย ๆ ครั้งแม่เล่าให้ฟังถึงชีวิตวัยเด็กว่า สมัยแม่ยังเด็ก แม่อยากเรียนหนังสือมาก แต่ตากับยายก็ไม่ให้เรียน บังคับให้แม่ต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้น ป. 2  เพื่อมาเลี้ยงควาย…” แม่เล่าแล้วก็เงียบ ๆ ไป สิ่งที่ผมรับรู้เมื่อได้ฟังคำพูดของแม่ก็คือ หน่องต้องตั้งใจเรียนนะ หน่องห้ามเหลวไหลนะเพราะสิ่งสำคัญที่แม่ให้ก็คือการศึกษา ในวัยนั้นผมยังคิดไม่ออกหรอกว่าการศึกษาจะช่วยเราได้อย่างไร ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะไปถึงจุดไหน ไม่เคยคิดที่จะไปเป็นอะไร เพราะวัยเด็กสิ่งที่ผู้ใหญ่บอกกล่าวก็เพียงแต่ให้ตั้งใจเรียนนะ โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน แต่ถ้าจะถามกลับว่าเจ้าคนนายคนคืออะไร ก็อาจจะได้คำตอบเป็นพวก จนท.ที่ประจำอยู่ตามที่ว่าการอำเภอที่คอยข่มขู่ประชาชนให้ตัวสั่นเทาเวลาไปติดต่อธุระทางราชการกระมัง
          เพราะการศึกษาทำให้ผมเดินทางมาได้ไกล ไกลกว่าสิ่งที่คิดไว้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กมาก ถึงจะไม่ได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพอย่างที่ผมเคยเห็น Ian Rush  โลดแล่นในชุด Liverpool  ถึงไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างที่แม่เคยฝัน แต่ชีวิตในปัจจุบันก็ทำให้ผมมีความสุขความสบาย ทุก ๆ ครั้งที่มองย้อนกลับไปก็นึกถึงสิ่งที่พ่อกับแม่ทำให้ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วก็ได้มายืนในจุดที่ดีพร้อมและมีความสุขความภาคภูมิใจกับหน้าที่การงาน
          หลังจากภรรยาถ่ายถาพอาหารบนโต๊ะ และ Post ใน Facebook ของเธอพร้อมทั้ง Tag  รูปภาพดังกล่าวมาให้ผม ผมก็เริ่มรับประทานอาหารตรงหน้า อาหารหลาย ๆ อย่างบนโต๊ะน่าทานเป็นอย่างมาก วัตถุดิบที่ใช้ก็ถูกคัดสรรมาอย่างดี วิธีการปรุงอาหารก็ได้รับการบอกกล่าวจากคุณแม่ของภรรยา เพื่อให้อาหารอร่อยถูกปากผมที่สุด ระหว่างทานข้าวผมมักจะนึกจุดที่ผมนั่งอยู่ นึกถึงการศึกษาที่แม่ให้มาจนทำให้เรามีโอกาสดี ๆ ในชีวิต มีภรรยาที่ดี นึกถึงอะไร ๆ มากมายและท้ายสุดความคิดมาหยุดอยู่ที่แกงปลาที่แม่เคยทำให้กิน ตั้งแต่แต่งงานกันมา 4  ปี ภรรยาผมไม่เคยทำแกงปลาให้ผมกินแม้แต่ครั้งเดียว โดยคำตอบที่เธอให้ทุกครั้งก็คือ เธอไม่ชอบปลาเพราะกลิ่นปลาคาว และเธอก็ไม่กินแกงปลาด้วย  ความจริงแม่ผมก็ไม่ได้กินแกงปลาที่ทำให้ผมกินนะ แต่ทุกครั้งที่เจอหน้าผมแม่ก็จะทำให้กิน คงเพราะความรักที่แม่มีให้แต่ไม่เคยแสดงออกมาให้ได้ยินด้วยคำพูด แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมรักและเคารพแม่ได้อย่างไรกัน

7 สิงหาคม 2558
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บุคลิกให้โทษ


วันที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบูรพาเมื่อปี  2537   ผมและเพื่อนๆ บุญน้อย ไม่ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว    แต่ก็เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเมตตาพระราชทานปริญญาบัตรให้ในคราวที่เสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรที่บางแสนในต้นปี  2538  ทุกวันนี้เวลากลับไปมองรูปตัวเองแล้วเหมือนกับเพิ่งผ่านมาไม่นาน  แต่ตัวเลข   21  ปีที่ผ่านไปมันก็บอกเราเสมอ ๆ ว่า วันเวลาของเด็กหนุ่ม เด็กสาวผ่านพ้นไปแล้ว   สมัยที่พวกเราเข้าเรียนจะอายุ  19 ปี (เกิด 2514) เป็นส่วนมาก  ดังนั้นจนถึงวันนี้จะอายุครบ 44  ปีกันทั้งหมดแล้ว  แต่เท่าที่จำได้ เพื่อน ๆ จาก กทม. จะอายุน้อยกว่าเกือบทุกคน (เกิด  2515,2516) สิ่งที่ผ่านไปบางทีเหมือนกับความฝัน จำได้บ้าง หลงลืมบ้างสลับๆ กันไป     

ประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมากกว่า 20 ปีนั้น สิ่งที่ผมนำมาใช้กลับเป็นสิ่งที่ผมได้รับด้วยความบังเอิญ หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นความกรุณาของอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งอยู่ที่หอชาย  และยังจำได้ไม่ลืมจนถึงทุกวันนี้ เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งสมัยอยู่ชั้นปี หนึ่งที่ ม. บูรพา ผมซึ่งพักอาศัยอยู่ที่หอชาย 10 (ปัจจุบันถูกรื้อไปทำ Art Museum) ได้เดินไปหาแฝดรหัสที่ชื่อยุ้ย (รหัส 21)  เมื่อไปถึงหอชาย 5  ผมสังเกตเห็น อาจารย์ท่านหนึ่งบุคลิกจริงจัง เสียงดัง แต่งตัวดีกำลังพูดจาปราศรัยกับเด็กที่อยู่ในหอ 5 ซึ่งนิสิตในกลุ่มนั้นจะมียุ้ย พล เพื่อนร่วมคณะที่ผมจะไปหาอยู่ด้วย  ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรกับอาจารย์ท่านนั้นนัก  จึงเดินเข้าไปทักทายยุ้ย พล และพอเห็นว่ายุ้ยน่าจะคุยกับอาจารย์ท่านนั้นอีกนาน ก็เลยขอตัวไปซื้อกับข้าวที่โรงอาหาร และไม่ได้คุยธุระอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเจอหน้ายุ้ย สิ่งแรกที่ยุ้ยบอกกับผมก็คือ ไอ้เทียน เมื่อวานมึงไม่ได้ไหว้ อาจารย์สายัณห์ มึงรู้ไหม อาจารย์ฝากมาบอกมึงว่า บุคลิกมึงให้โทษ”  ผมฟังยุ้ยพูดจบก็ยังรู้สึกมึนงง เอ บุคลิกผมให้โทษอย่างไร ผมไม่เข้าใจ เพราะลองสำรวจตัวเองแล้วก็มั่นใจระดับหนึ่งว่าเราเป็นเด็กอ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ แล้วเราไม่รู้จักกับอาจารย์มาก่อน เราก็เลยไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร มึงไม่ต้องคิดมาก คราวหน้าเจออาจารย์สายัณห์ มึงสวัสดีอาจารย์ ไหว้ อาจารย์ไปเลย คนอื่น ๆ ก็โดนบุคลิกให้โทษเหมือนมึงกันมาแล้วทั้งนั้น กูก็ยังเคยโดนเลยยุ้ยทิ้งคำพูดให้ผมคิดและเดินจากไป  อีกหลายวันต่อมา ผมมีโอกาสไปที่หอชาย และก็บังเอิญเหลือเกินที่ผมได้พบ อาจารย์ สายัณห์พอดี คราวนี้สิ่งที่ผมทำก็คือ เดินเข้าไปไหว้ อาจารย์สายัณห์ พร้อมทั้งกล่าวว่า สวัสดีครับอาจารย์”  อาจารย์สายัณห์ยิ้มให้ พร้อมทั้งเอามือมาลูบหลัง กล่าวว่า ดี ๆ เป็นเด็ก ต้องรู้จักผู้ใหญ่ รู้จักไหว้ บุคลิกจะได้ดีน่ารัก ไม่ใช่บุคลิกให้โทษ  


ผมเข้าใจสิ่งที่อาจารย์สายัณห์บอกเมื่อได้เข้ามาทำงานแล้ว เพราะการเป็นน้องใหม่ในที่ทำงาน ซึ่งอายุน้อยกว่าทุกคน ทำให้ต้องไหว้ กล่าวสวัสดีกับทุกคนที่ได้รู้จักโดยไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจ เพราะได้รับการแนะนำตั้งแต่เรียนมาแล้ว  สิ่งเหล่านี้เองที่ผมมานึกย้อนหลังไปยังสมัยเรียนครั้งใด ก็ให้นึกขอบคุณอาจารย์สายัณห์ที่ได้ให้คำแนะนำดี ๆ ในวันนั้น เพราะถึงวันนี้การได้รู้จักกับคนในองค์กรที่ได้หยิบยื่นน้ำใจไมตรี เพราะเราไหว้สวัสดีผู้ใหญ่ทุกคนให้ความเคารพจึงทำให้เป็นเหมือนใบเบิกทางให้ทำงานราบรื่น มีความรู้สึกกับเพื่อร่วมงานเหมือนญาติพี่น้องกันตลอด 21 ปีที่ผ่านมา 

12 มิถุนายน 2558
ต้นจำปูนหลังบ้าน

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

Every 11 Years of Life's Miles Stone

                ในวันเกิดปีที่ 44  ปีที่เลขตัวหน้าและตัวหลังเหมือนกันเป็นครั้งที่  4  พอมีเวลาก็เลยนั่งนึกถึงปีต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
                ปีที่ 11 พ.ศ.  2525 เป็นปีที่มีการแข่งขันฟุตบอลโลกที่สเปนและเป็นครั้งแรกที่รู้จักทีม อินทรีย์เหล็ก เยอรมันตะวันตกซึ่งถึงจะแพ้ทีมอิตาลีในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกไป 1-3  แต่ก็ติดตามเชียร์มาตั้งแต่นั้นเพราะความใจสู้ ความมีระเบียบวินัย โดยเกมในรอบรองชนะเลิศที่ชนะฝรั่งเศสไปจากการยิงจุดโทษ หลังจากตามตีเสมอในช่วงต่อเวลาพิเศษที่ตามอยู่ถึง  1-3  กลับมาเสมอ  3-3  และยิงลูกที่จุดโทษชนะไป โดยปีนั้นในช่วงฟุตบอลโลกได้เริ่มเรียนในชั้น ป. 5 โรงเรียนบ้านชากลูกหญ้า  และปีนั้นเริ่มติดตามเชียร์ทีม Liverpool  ที่มีนักเตะขวัญใจกองหน้าเบอร์ 9 ที่มีชื่อว่า Ian Rush  อีกด้วย
                  ปีที่  22  ปีที่จบชั้นปีที่ 3 ในการเรียนระดับมหาวิทยาลัย ปีนี้เป็นปีที่เริ่มกลัวว่า เราเรียนจบแล้วจะไปประกอบอาชีพอะไร และมีคำถามในหัวว่าเราเรียนหนังสือไปทำไมติดตามมาตลอด  ในช่วงเวลาสงกรานต์ปีนั้น พี่เหน่งพาน้อง ๆ ไปเที่ยวทะเลที่หาดแม่รำพึง และเกิดตำนาน ประทีปทัวร์ที่น่าประทับใจ โดยเส้นทางของประทีปทัวร์ไม่ใช่การท่องเที่ยวต่างจังหวัด แต่เป็นการนั่งรถจาก ก้นอ่าว ปลวกเกตุ สาย  36  เข้าสายบ้านฉาง สุขุมวิท  -  มาถึงบ้านชากลูกหญ้า ด้วยอาการเมาสุดขีดของพี่เหน่ง ละเป็นการไปเที่ยวกับพี่ชายคนนี้ครั้งเดียวจนกระทั่งเขาเสียไปในอีก 10 ปีต่อมา
                   ปีที่ 33  ความทุกข์ยาก ลำบากลำบนในการทำงานและการเรียนโทเข้ามาหาพร้อมกัน ปีนี้ทำงานที่บริษัท BTF เป็นปีที่สองซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตการทำงาน เพราะความซับซ้อนและเร่งรีบของธุรกิจทำให้เวลาที่ปฏิบัติล่วงไปจากเวลาปกติแต่ก็ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเพราะบริษัทนี้ให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของธุรกิจและเป็นเหมือนโรงเรียนที่สอนให้เราเติบโตขึ้นและเริ่มตกผลึกทางความคิด ในขณะเดียวกันก็เรียนในระดับปริญญาโทในปี 4 ซึ่งต้องเร่งทำ Independent Study(IS) ให้เรียบร้อยก่อนที่จะหมดอายุการศึกษาระดับปริญญาโทในปีถัดไป สุดท้ายปีนี้ก็ไม่สามารถทำให้จบได้จนต้องเลื่อนไปอีก 1 ปี
             ปีที่ 44  หลังจากผ่านวันเกิด จิตใจก็สงบอย่างประหลาด สิ่งที่เคยทำมาในอดีตหลาย ๆ สิ่งทำให้รู้สึกว่าเราทำผิดพราดและยังมีข้อบกพร่องอีกมาที่จะต้องแก้ไข ทั้งวินัย ความรับผิดชอบความมั่นคงทางอารมณ์ กรอบระเบียบความคิดและที่สำคัญการเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องพาคนข้างตัวไปยังจุดหมายปลายทาง
                อีก 11 ปีก็จะถึงวันเกิดปีที่ 55 ถึงวันนั้นสิ่งที่เราหวังไว้อย่างยิ่งก็คือการสามารถเกษียณอายุการ ทำงานและออกมาอยู่บ้านทำสวน ปฏิบัติธรรมะสะสมบุญเพื่อเดินทางต่อไปในเส้นทางสายพุทธบุตรจนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน  

5 มีนาคม 2558
ต้นจำปูนหลังบ้าน

 

วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

คุณหมอครับผมขอโทษ

ผมรีบพาแม่ไปที่คลินิกหมอตาท่านหนึ่งในตัวเมืองระยองตั้งแต่เช้า จะบอกว่าตัวเมืองก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะผมต้องขับรถออกจากตัวเมืองมานิดนึง  หากขับรถมาจากทางโรงพยาบาลระยองตัวคลินิกดังกล่าวตั้งอยู่ด้านซ้ายก่อนจะถึงสี่แยกเกาะกลอย  เมื่อมาถึงคลินิกซึ่งลักษณะเหมือนคลินิกตามต่างจังหวัดทั่ว ๆ ไปคือ มีเคาท์เตอร์รับลงทะเบียน  มีเก้าอี้ให้ผู้มารับบริการ  และด้านหลังจะเป็นห้องทำงานของคุณหมอ ผมก็รีบพาคุณแม่ไปลงชื่อเข้าคิวรับบริการ ด้วยความที่มาตั้งแต่เช้าเลยได้คิวลำดับต้น ๆ   สำหรับสาเหตุที่ผมพาแม่มาหาหมอ เพราะคุณแม่ไปโดนสารบางอย่างเข้าตาตั้งแต่วันวาน  และได้มาคลินิกนี้แล้ว แต่ด้วยเพราะปวดจนทนไม่ไหว และหมอนัดให้มาวันนี้ แม่เลยบอกให้ผมพาแม่มาแต่เช้าด้วยกลัวว่าจะเสียเวลาในการเข้าคิวรอ เพราะวันหยุดแบบนี้คนคงแน่นคลินิกเหมือนที่เคยเห็นจนชินตาตามลีนิกต่างจังหวัด

หลังจากลงชื่อเข้าคิวแล้ว ผมก็นั่งรอหมอกับแม่ เวลาผ่านไป ผ่านไป คนก็เริ่มทยอยเข้ามากันเรื่อย ๆ จนแทบจะล้นออกไปนอกคลินิก คนไข้รายแล้วรายเล่าถูกเรียกเข้าไปรับบริการ แต่ก็ยังไม่ถึงคิวแม่ผมเสียที หลังจากผ่านไป 2 ชม. ผมก็ตัดสินใจเดินเข้าไปถาม จนท. ผู้หญิงประจำคลินิกว่าทำไมแม่ผมถึงไม่ได้รับบริการเสียที  ขอโทษนะคะ ตอนนี้คนแน่นมากเลยค่ะ รอสักครู่นะคะ”  “แต่ผมรอมา ชม. แล้วนะ น้ำเสียงปนกับสีหน้าเจ้าอารมณ์ที่ภรรยามักจะกล่าวเตือนอยู่เสมอว่าน่ากลัวของผม แสดงออกไปให้ จนท.เห็นว่าเขาควรจะดูแลคิวให้เป็นไปตามลำดับ ไม่ใช่ถูกแซงคิวมาหลายคิวแล้ว พูดจบผมก็เดินมาบอกแม่ว่ารออีกไม่นาน เดี๋ยวหมอก็คงเรียกเข้าไปตรวจ แม่ผมเอามือกุมดวงตาที่เจ็บจนแทบจะทนไม่ไหว แต่ก็ไม่ได้บอกอะไร ทำได้เพียงตอบรับ เพราะคงเห็นหน้าลูกชายที่ไม่น่ามองคงเข้าใจอารมณ์ผมเป็นอย่างดี

หลังจากผ่านไปอีก 1 ชม.  แม่ผมก็ถูกเรียกเข้าไปตรวจโดยที่ผมไม่ได้เข้าไปด้วย เพราะทาง จนท.ให้นั่งรอ  จากนั้นไม่นานนัก จนท. ก็เดินมาตามผม โดยบอกว่าคุณหมอต้องการพบ ผมแปลกใจผสมกับกังวลว่าอาการอักเสบที่ดวงตาของแม่จะแย่กว่าที่คิด จนหมอต้องสอบถามหรือให้ข้อมูลผมเพิ่ม เมื่อพบหน้าคุณหมอ คุณหมอมีท่าทางโกรธและเริ่มกล่าวกับผมว่า นี่คุณ ทำไมคุณพาคุณแม่มาเวลานี้ ผมก็ให้เวลานัดไว้ชัดเจนตามใบนัดแล้วนี่ว่าเป็นเวลาบ่ายสาม  นี่คุณมาเข้าคิวตั้งแต่เช้า ยังไม่ถึงเวลานัดเลย คุณรู้ไหม อาการของแม่คุณน่ะ ต้องให้ยาจนครบ 24  ชม. แล้วถึงจะเปิดตาได้ ซึ่งหมอก็บอกแล้วว่าให้มาตรงเวลา ถ้าเกิดเปิดตามาตอนนี้ซึ่งยังไม่ครบ 24  ชม. มันจะส่งผลเสียต่อตาคนไข้ได้ ทำไมคุณไม่ดู”  คุณหมอเงียบไปสักพักแล้วกล่าวต่อไปว่า คุณรู้ไหม ผมมีคนไข้จำนวนมากที่ต้องดูแล ผมอุตส่าห์จัดคิว เพื่อจะได้ให้ทุกคนได้รับการรักษา แต่คุณก็ไม่เคยใส่ใจเลย จะให้ผมทำอย่างไร ผมนิ่งเงียบไปสักพัก พลางกล่าวประโยคหนึ่งออกมา คุณหมอครับ ผมขอโทษครับ ผมไม่ทราบจริง  ๆ เป็นความผิดของผมเองที่ไม่ดูเวลานัดให้ดี ผมขอโทษนะครับ คุณหมอมีท่าทีผ่อนปรนพลางบอกว่า ไม่เป็นไร เดี่ยวผมจะปิดตาให้คนไข้ก่อน และรอมาดูอาการอีกครั้งหนึ่งวันพรุ่งนี้ คุณหมอพูดจบผมก็เหมือนกับคนใจลอย เดินออกมานอกห้องตรวจ อารมณ์หงุดหงิดที่รอนานหายไป กลับกลายเป็นความรู้สึกผิดที่ไม่รอบคอบเข้ามาแทนที่   และนั่งรอแม่ด้านหน้าด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป 

ผมขับรถพาแม่กลับบ้าน โดยที่ไม่ได้กล่าวอะไรกับแม่อีก ได้แต่อธิบายให้แม่ฟังถึงการรักษา ในใจก็คิดไปถึงความทุ่มเทและเสียสละของคุณหมอ นานแล้วที่ผมไม่ได้เจอหมอที่เป็นหมอทั้งกายและใจแบบนี้   ผมขอโทษในความเขลาของผมอีกครั้งนะครับคุณหมอ ขอให้ประเทศไทยมีหมอแบบนี้มาก ๆ ด้วยเถิดนะ


28 มกราคม 2558
ต้นจำปูนหลังบ้าน