สมัยที่ผมยังเป็นเด็กน้อย
คุณพ่อกับคุณแม่ผมมีที่นาผืนหนึ่งประมาณ 5
ไร่ ที่นาผืนดังกล่าว
คุณย่าได้ให้กรรมสิทธิ์คุณพ่อผมสำหรับทำนาเพื่อผลิตข้าวมาเลี้ยงกันภายในครอบครัวพ่อทุกปี ครอบครัวของพ่อประกอบไปด้วยพ่อกับแม่
และพี่น้องอีก 4 คน ทุกครั้งที่ใกล้ถึงช่วงเวลาทำนา
จะเป็นช่วงเวลาที่ผมไม่ชอบมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่ว่าผมเป็นเด็กขี้เกียจ
แต่เป็นเพราะว่ากว่าจะผ่านไปแต่ละขั้นตอนนั้นมันช่างยากเย็นแสนเข็ญในความรู้สึกของเด็กอายุ
10 ขวบอย่างผมมาก ทั้งการถางนา การเตรียมดิน ซ่อมคันนา การไถนาโดยใช้ควายตัวเดียวประจำบ้านที่ชื่อว่า
“ล่อม” การคราดนาโดยใช้อีถอง การเตรียมกล้าซึ่งจะเลือกผืนนามาเป็นแปลงที่เพาะกล้า
ก่อนจะย้ายไปที่นาดำ การดำนา
การเกี่ยวข้าวและนำไปรวมกันเป็นฟ่อน ขั้นตอนดังกล่าวข้างต้นผมแทบจะไม่มีส่วนร่วมนัก
เพราะยังเด็กเกินกว่าจะไปทำได้
แต่พอเกี่ยวข้าวเสร็จและต้องขนฟ่อนข้าวมาจากนานี่แหละ ที่ทำเอาผมผะอืดผะอมทุกครั้ง
เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนแพ้ใบข้าว โดนทีไรต้องมีอาการลมพิษถามหาทุกที
และน้ำหนักฟ่อนข้าวที่แบก ซึ่งรวมกับเมล็ดข้าวซึ่งกดลงบนไหล่ทุก ๆ ย่างก้าว
ที่ขนจากนา ก็ยิ่งทำให้ผมรู้ซึ้งถึงความลำบากยากเย็น และจำขึ้นใจมาถึงทุกวันนี้ กว่าขั้นตอนขนข้าวมาที่บ้านจะหมด
ก็กินเวลาเป็นอาทิตย์
จากนั้นจึงนำฟ่อนข้าวที่ขนมา มาคัดแยกเมล็ดข้าวออกจากต้นข้าว
โดยการตีลงบนพื้น เมื่อเหลือแต่ฟางข้าวแล้วนั่นแหละ ก็เป็นอันเสร็จพิธี
และขนย้ายเมล็ดข้าวที่ได้ทั้งหมดเข้าสู่ยุ้งฉางต่อไป
ผมจำไม่ได้แล้วว่าพ่อกับแม่เลิกทำนาไปช่วงเวลาใด
เพราะวัยที่โตขึ้น โลกที่กว้างขึ้น อีกทั้งมีสิ่งที่ผมอยากรู้จักอีกมาก
การศึกษาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผลักดันให้ผมมาใช้ชีวิตในกรุงเทพ ฯ ตัวคนเดียว ทิ้งท้องนาที่เคยทำไว้เบื้องหลัง
ผมกลับไปดูนาที่ผมเคยทำเมื่อสมัยเด็ก ๆ อีกหลายครั้ง
และทุกครั้งจะมีคำถามที่กวนใจผมอยู่ตลอดเวลาว่า นี่คือนาที่ผมเคยทำมันมาจริง ๆ
น่ะหรือ ทำไมมันเล็กจัง แล้วความยากลำบากตอนเด็ก ๆ ที่มองไปเห็นข้าวที่มัดเป็นฟ่อนกองรอให้ผมขนสุดลูกหูลูกตามันเคยวางไว้ตรงไหนกันบ้างนะ
นาผืนนี้ผมกับน้องสาวเคยช่วยกันคัดค้านไม่ให้พ่อขายแลกกับเงินไม่กี่ล้าน
เพราะนึกไม่ออกเลยว่า หากที่นานี้หลุดลอยไป
ผมกับน้องสาวจะมีปัญญาหาเงินที่ไหนมาซื้อที่ ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ และอีกอย่างทุกวันนี้
พ่อก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินอะไร ทำไมจะต้องขาย
แต่พอเห็นพ่อนั่งโกรธจนกระดิกเท้าบนโต๊ะยาวแล้ว ผมก็ได้แต่รู้สึกผิดที่ว่า
เราจะไปขัดขวางความสุขของพ่อทำไม
ความสุขของคนคนหนึ่งที่เกิดมาและอยากจะมีเงินล้านไว้ให้ลูกหลานใช้ ผมคุยกับน้องสาวด้วยความซีเรียสและเห็นพ้องต้องกันว่าจะทำเป็นไม่สนใจในเรื่องที่พ่อจะขายที่นาผืนนั้น
เพราะนาเป็นของพ่อ ไม่ใช่ของเราทั้งคู่ แล้วเราจะไปขัดขวางไว้ทำไม แต่สุดท้ายผมกับน้องสาวก็โล่งอก
เพราะคนที่มาติดต่อซื้อที่นา ก็แค่มาหลอกว่าจะซื้อ แต่ไม่ได้มีเงินมาซื้อจริง ๆ
ชีวิตคนเมืองหลวงของผม
ใช่ว่าจะหลีกหนีจากภาพชาวนาพ้น ภาพข่าวที่ชาวนาหลายพันคนปิดถนน
เพื่อประท้วงขอเงินที่ขายข้าวไปให้กับโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
มันทำให้ผมนึกถึงสมัยเด็ก ๆ
ข่าวชาวนาในต่างจังหวัดที่ถูกพ่อค้าคนกลางกดขี่ราคาข้าว ค่าปุ๋ยแพง ฝนแล้ง นาแล้ง
นาล่ม จนแต่ละปีที่ผ่านไป ชาวนาทำนาแล้วได้แต่หนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
แทบจะไม่มีสามารถลืมตาอ้าปากได้ เรื่องเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาแต่ครั้งไหนไม่รู้
ถึงจะผ่านไปอีกกี่สิบปี ก็คงจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นคู่กับชาวนาอยู่ร่ำไป ผมไม่รู้เหมือนกันว่า
เพราะอะไร ทำไม พวกนักการเมืองท้องถิ่นที่คอยจะวางแผนหากินกับชาวนา
โดยทำกันเป็นขบวนการตั้งแต่การขายพันธุ์ข้าว
ขายปุ๋ย ขายสารพัดอย่าง เพื่อให้ชาวนาเป็นลูกหนี้ที่ไม่อาจจะหนีไปพึ่งใครได้
วันที่คิดว่าเหมือนจะมีพระมาโปรด เพราะได้ราคาข้าวดี ก็กลับกลายเป็นถูกปีศาจร้ายยิ่งกว่า
เข้ามาทำลายชีวิตชาวนาให้ดับดิ้น ไม่เหลือหนทางไว้ทำมาหากินอีกต่อไป
บางคนต้องขายนาออกไป บางคนต้องฆ่าตัวตาย สิ่งต่าง ๆ
มันเกิดขึ้นมิใช่เพราะความโลภหรอกหรือ ความโลภที่ต้องการเงินมาจากการขายข้าว โดยที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงว่า
มันเป็นคำลวงที่ต้องการจะโกงกินเงินของประเทศ
ของคนตระกูลหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามาเกิดแล้วทำร้ายแผ่นดินเกิดให้ย่อยยับไปกับมือหรืออย่างไรกัน
ผมไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงตรงไหน
จะมีคนเสียชีวิต และสูญเสียที่นาของตนไปอีกมากน้อยแค่ไหน สิ่งเหล่านี้
หากเป็นบทเรียน มันก็ควรถูกเรียนจากการกระจายข้อมูลข่าวสาร มิใช่บทเรียนที่มาพร้อมกับชีวิตและคราบน้ำตาของชาวนาไทย
แต่หากเจ็บครั้งนี้แล้วยังไม่จำ หรือยังหลงละเมอเพ้อพกว่าจะมีเงินมาซื้อข้าวด้วยราคาสูง
ๆ และต้องการนโยบายแบบนี้ไปอีก โดยไม่สนใจว่าใครจะโกงอะไร ผมก็คงจะยึดคำพระท่านว่า
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม โดยเฉพาะกรรมหนักของนักการเมืองตระกูลดัง
ที่คงมีนรกชั้นต่ำสุดเป็นทางไป หลังจากสิ้นชีวิตแน่นอน
11
กุมภาพันธ์ 2557
ต้นจำปูนหลังบ้าน