ขณะที่ผมกำลังดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้านประมาณ
5 ทุ่ม เสียงจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นแจ้งว่ามีข้อความเข้ามาใหม่ ผมหยิบโทรศัพท์มาดูก็ได้รับข่าวจากยุ้ย เอกเคมีที่ส่งข้อความมาว่า
“P’Tong die already 22.40”
ผมขยับตัวลุกไปหาภรรยาที่นอนอยู่ในห้องนอนและกอดตัวเธอไว้แน่นพลางบอกว่า “เพื่อนเค้าที่ไม่สบายมาช่วงต้นเดือนเมษายนเสียชีวิตแล้วนะ” เธอพยักหน้ารับรู้และกล่าวเบา ๆ ว่า “เค้าเสียใจด้วยนะคุณเทียน
เพื่อนคุณคงไปสบายแล้วล่ะ”
ผมพยักหน้ารับและไม่ได้กล่าวอะไรอีก แต่ในใจคิดถึงชีวิตสมัยเรียนบางแสน
คิดถึงต้องผู้จากไป
ภาพของต้องยังแจ่มชัดในความคิดของผมอยู่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร
สมัยเราอยู่ปี 1 ตอนมีกิจกรรมงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ที่บางแสน
ต้องจะเป็นคนคอยเตรียมแบบข้อสอบให้เด็ก ๆ ม.ปลายที่จะมาร่วมงานตอบปัญหา
ผมเห็นเข้าก็อุทานออกมาว่า “ต้อง เก่งจัง พิมพ์ข้อสอบได้ด้วย”
ต้องตอบกลับมาทันทีทันใดว่า “เทียน
ผมน่ะพวกใช้แรงงาน โน่นคนเก่งน่ะเค้าทำข้อสอบและพิมพ์แบบมาให้” ต้องตอบพลางพยักเพยิดหน้าไปทางเก่ง ที่ง่วนอยู่กับเครื่อง Computer
Apple
สมัยอยู่หอ
10 ด้วยกันที่บางแสน
ต้องจะถูกเพื่อน ๆ ในหอเรียกว่า พี่ต้อง ผมเคยสงสัยมานานจนวันหนึ่ง ต้องมีโอกาสบอกผมว่า
“เทียน ผมซิ่วมาจากรามคำแหงน่ะ มาสอบ Entrance เข้าที่บางแสนได้ น้องๆ
เบญจมราชรังสฤษฎิ์ เลยเรียกผมว่าพี่ พวกพี่อ๋องน่ะ เพื่อนผมสมัยเรียนเบญจม ฯ
ทั้งนั้นแหละ” ผมพยักหน้ารับรู้และไม่ได้ถามอะไรอีก
ต้องเป็นคนเงียบ ๆ อาศัยอยู่หอ 10 โดยห้องต้องจะติดกันกับห้องผมและมีตู้เสื้อผ้าคั่นกลาง
ผมกับสมโภชน์จะมีโอกาสต้อนรับต้องเสมอในขณะกินอาหารเย็นแต่ละวัน ต้องจะเข้ามานั่งดูผมกับสมโภชน์กินข้าวกัน
และนั่งเมาท์เพื่อน ๆ ร่วมรุ่น โดยมีกอล์ฟเป็นแขกขาประจำวงกินข้าว แต่ตัวต้องเองจะไม่เคยร่วมวงทานข้าวกับผมเลย
ครั้งเดียวที่เห็นต้องมาร่วมกินข้าวด้วยกันคือช่วงที่เราไปจับปูลมจากหาดบางแสนและช่วยกันทอดกินในห้อง
ครั้งนั้นแหละที่ผมเห็นต้องมาร่วมวงกินปูลมชุบแป้งทอดโกกิอย่างสนุกสนาน สำหรับมื้อเย็นของต้องนั้น
ต้องจะซื้อข้าวกล่องจากร้านประจำมานั่งกินเงียบ ๆ คนเดียวที่ห้องดู TV ของหอ
จากนั้นก็เดินเอาช้อนไปล้างที่ก๊อกน้ำหัวมุมหน้าหอ 10
และเดินหลบหายไปในห้องพักหลังจากเสร็จทุกอย่างแล้ว ด้วยความที่ต้องเป็นคนเงียบ ๆ
ทำให้ผมเกรง ๆ ที่จะคุยกับต้องเหมือนกันและพอเอกรัตน์,สุกิจให้ความเคารพต้องที่เป็นรุ่นพี่
เลยทำให้ผมเกรงใจต้องไปใหญ่
ในงานแต่งงานผมเมื่อเดือน
กรกฎาคม 2554 ต้องปรากฏตัวในงานแต่งงานของผมอย่างเซอร์ไพร์ซ์ ผมยินดีอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นต้องอยู่ในงาน
ทั้งอ้อม หน่องชาย เหน่ง สุกิจ หมู เก่ง เพื่อน ๆ
ที่มาร่วมงานทำให้ผมรู้ว่าผมยังมีเพื่อนดี ๆ ที่พร้อมจะร่วมยินดีในวันพิเศษเสมอ
ๆ ผมสอบถามถึงความเป็นไปในชีวิตของต้อง
ต้องพูดด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ ว่าจะแต่งงานกับก้อยในปีถัดไปช่วงปลายปี
ผมยิ้มและให้สัญญากับต้องว่า ผมจะไปร่วมงานแต่งงานของต้องอย่างแน่นอน
ขอให้ต้องบอกผมเท่านั้นเอง
บางทีชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ สิ่งทั้งหลายล้วนตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน ต้นเดือนเมษายน
2556
ผมก็ได้รับข่าวจากยุ้ยที่โพสต์ในหน้าเฟซบุ๊คถึงอาการป่วยของต้อง ผมติดตามข่าวของต้องจากเพื่อนที่ผลัดกันเข้ามาอัพเดทข่าวอาการป่วยของต้อง
ให้กำลังใจทั้งต้องและก้อยด้วยความห่วงใย ผมสอบถามข่าวจากยุ้ยเป็นระยะ ๆ จนถึงวันที่ต้องจากไปคืนที่ 25 เมษายน สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมทำได้คือขออโหสิกรรมกับเพื่อนต้อง
และขอให้ผลบุญที่ต้องได้ทำมาตลอดส่งต้องให้ไปเกิดในที่ที่ดี ๆ มีความสุข มีความสงบในดินแดนสุขาวดีตลอดไป
30 เมษายน 2556
ต้นจำปูนหลังบ้าน