คืนวันในบางแสนผ่านไปอย่างช้า
ๆ ช่วงเวลาที่นานที่สุดน่าจะเป็นช่วงการรับน้องโดยรุ่นพี่
Valentine Science ผมไม่ค่อยชอบการรับน้องเท่าไรนักเพราะรู้สึกเหมือนถูกแกล้งจากพวกรุ่นพี่
แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุดถ้ามองถึงข้อดีของการรับน้องมันก็มี เพราะอย่างน้อยการรับน้องทำให้พวกเรา
Quarter Science รู้จักกันมากขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ปีที่พวกเรา เข้าเรียนที่บางแสนนั้นตรงกับเทศกาลฟุตบอลโลกที่อิตาลี่
ดังนั้น นอกจากกิจกกรมรับน้องแล้ว ผมต้องตามเชียร์เยอรมันตะวันตก ให้ไปถึงแชมป์โลกให้ได้
ถ้าสรุปกิจกรรมประจำวันของเราก็จะเริ่มจาก เช้าตื่นออกไปวิ่งหอ ต่อด้วยเรียนเช้าบ่าย
เย็นรับน้องโดยรุ่นพี่ กลางคืนดูฟุตบอลโลก
เป็นอย่างนี้ตลอดเดือนมิถุนายน
อาศัยว่ายังหนุ่มอยู่เลยผ่านไปได้ด้วยดี
พอเราเริ่มรู้จักกันและผ่านช่วงรับน้องไปแล้ว
พวกเราก็เริ่มจับกลุ่มสำรวจมหาวิทยาลัยกัน(ความจริงมองหาสาว ๆ นั่นแหละ)
เริ่มจากหาจักรยานมาปั่นกันภายในมหาวิทยาลัย
สถานที่ประจำที่หนึ่งที่ทุกคนไม่ลืมแน่ ๆ คือ บริเวณด้านประตูใกล้ ๆ โรงอาหาร
ที่พออกมาหน่อยจะเป็นทุ่งคล้าย ๆ ทุ่งนา มีต้นดอกธูปฤาษี ขึ้นเต็มไปหมด
เวลากลางวันบรรยากาศที่เห็นก็เหมือนชนบททั่วไป แต่เวลากลางคืน
ถ้าขี่จักรยานผ่านผ่านจะมีฝูงหิ่งห้อย บินมาเกาะตามต้นก้านธูปฤาษี
ส่งแสงประกายระยิบระยับ เวลานั้นพวกเราไม่ได้นึกถึงมันเท่าไรนัก เพราะหลาย ๆ
คนคุ้นเคยกับการเห็นหิ่งห้อยตามบ้านของตนเอง ผมก็หนึ่งในนั้น ซึ่งบริเวณนั้น
มักจะมีหนังกลางแปลงมาปิดวิก ฉายเก็บเงินบ่อย ๆ ซึ่งลูกค้าก็คือ พวก ๆ
เราทั้งหลายในมหาวิทยาลัยนั่นแหละ
“มณเฑียร วันนี้ไปดูหนังกันนะ เค้าว่ามีหนังดี ๆ มาฉายที่ข้างมหา’ลัย ” สมโภชน์ส่งเสียงดังมาตามปกติ ผมแทบจะอดหัวเราะขำไม่ได้
ทำไมสมโภชน์พูดซะดังเลย ผมพยายามเงียบ ๆ อยู่นะเนี่ย “เออ สมโภชน์ คุณมึงจะส่งเสียงดังไปทำไม
เดี๋ยวคนอื่น ๆ รู้หมด ผมน่ะไปอยู่แล้ว” ผม ตอบกลับไป ที่กำชับไปเนี่ยไม่ใช่อะไร
มันมีหนังดี ๆ สำหรับผู้ชายมาฉายโดยเฉพาะ พอถึงเวลาจะออกจากหอ มีเสียงหนึ่งตามหลังมา
“เฮ้ย สมโภชน์ เทียน ผมไปด้วย” ต้อง เด็กแปดริ้วผู้เงียบ ๆ ร้องตามออกมา อ้อ ไอ้เราก็คิดว่าต้อง
ไม่สนใจที่แท้รอจังหวะเสียบนี่เอง เรา 3 คนไปถึงวิกหนังกลางแปลงประมาณ 2 ทุ่ม และก็ตามคาด ผมเจอเด็กมหาวิทยาลัยหลายคน
หนึ่งในนั้นก็ยุ้ยแฝดรหัสผู้น่ารักของผม มันมากับกลุ่มหอชาย 5 ผมเหลือบไปเห็นธีรพล ตามันมีประกายความหวัง ธีรพลมันฝาแฝดยุ้ย
มีธีรพลที่ไหนต้องมียุ้ยที่นั่น แต่ เอ มันรู้ได้ยังไงว่าวันนี้มีหนังดีมาฉาย เมื่อผมกับเพื่อน ๆ จ่ายเงินค่าตั๋วหนัง 15 บาทแล้ว
เราก็เข้าไปนั่งเอกเขนกบนเก้าอี้นั่งแบบชายหาด ดูหนังที่ตั้งใจกันไว้ หนังสนุกมาก
ดูแล้วอยากเข้าห้องน้ำให้สบายตัว พอหนังจบเราก็แยกย้ายกันกลับที่พัก ระหว่างทางก็ผ่านทุ่งคล้าย
ๆ ทุ่งนา มีต้นธูปฤาษีขึ้นเต็มไปหมด หิ่งห้อยบินกันระยิบระยับ อากาศสบายๆ
ลมพัดเฉื่อย ๆ ผมว่าหิ่งห้อยมันดูสวยกว่าที่เค้าแห่กันไปดูที่แม่กลองซะอีกนะ
รุ่งเช้า ผมเจอหน้ายุ้ย ซึ่งยุ้ยมันก็วิจารณ์หนังที่ดูเมื่อคืนไปตามเรื่อง
“กูว่า มันไม่ใช่จุดโฟกัสว่ะ ดูแล้วไม่ได้อารมณ์เท่าที่ควร มันน่าจะเห็นจริง ๆ นะ ” “ แหมยุ้ย จะเอาอะไรนักหนา 15 บาทเอง มาให้ดูถึงที่
แค่นี้ก็ดีแล้ว” สมโภชน์พูดเสียงดังอีกแล้ว สมโภชน์นี่ผมว่าเขาไม่เหมาะมาเป็นนักเคมีหรอก
อย่างสมโภชน์น่าจะไปเป็นพ่อค้ามากกว่า ในหัวมีแต่ กำไร-ขาดทุนตลอดเวลา
ธีรพลก็เสริมมาว่า “ผมว่านะ ไปดูที่นนทบุรีดีกว่านี้อีก”
ธีรพล แฟนพันธุ์แท้ผู้นั่งรถไปกลับ ดอนเมือง-เมืองนนท์
4 ชั่วโมงเพื่อดูหนัง 1 ชั่วโมงครึ่งพูดขึ้นมา ผมได้แต่ฟัง ไม่ออกความคิดเห็น แต่ก็ถามกลับไปว่า “ แล้วคราวหน้าถ้ามาให้ดูอีก จะไปดูกันหรือเปล่า” “ไปสิ อย่าลืมชวนผมด้วยนะ” ต้องซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ
ตอบออกมาอย่างมั่นใจ ผม,สมโภชน์,ยุ้ย,ธีรพล
เมื่อได้ยินต่างก็มองหน้ากันแล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่ได้นัดหมาย
25 กรกฎาคม 2554
ต้นจำปูนหลังบ้าน