วันอาทิตย์ที่ 6 ก.พ. ผ่านมา น้องสาวผมโทรมาหาช่วงสาย
ๆ ด้วยความที่เพิ่งเข้านอนตอน 6 โมงเช้าเพราะติตตามบอลในลีกยุโรปตั้งแต่เวลาหนึ่งทุ่ม 45 นาที คืนวันเสาร์ จนคู่สุดท้ายที่บาร์เซโลน่าไล่ถล่ม
แอตเลติโก้ มาดริดไป 3-0 ซึ่งจบเช้าวันอาทิตย์ เลยหลับไม่รู้เรื่องจนไม่ได้รับโทรศัพท์
ตื่นมา 10 โมงเช้าเห็น Miss Call เบอร์น้องสาวเข้ามา
4 ครั้งเลยโทรกลับไป น้องสาวบอกข่าวว่า หลานสาวคนเดียวของผม
(ก็ลูกสาวเค้านั่นแหละ) สามารถสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนอนุบาลระยองได้
น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็บรรยายถึงขั้นตอนการเตรียมตัว
ส่งเสริมลูกสาวคนเดียว ให้มีความพร้อมสำหรับการสอบในครั้งนี้ ทั้งการเลือกหาซื้อหนังสือแบบทดสอบด้านเชาว์ปัญญาต่าง
ๆ ซึ่งไปเสาะหาไกลถึง กทม. ระหว่างที่น้องสาวผมเข้ารับการรักษาตัวที่ โรงพยาบาล
จุฬาฯ ระหว่างที่น้องสาวเล่าไปก็คงน้ำตาไหลไปตามประสาแม่ผู้รักลูกนั่นแหละ และมีอาการปลื้มในน้ำเสียงผสมเป็นระยะ
ระยะ ฟังแล้วผมก็ได้แต่อมยิ้มกับตัวเอง แล้วก็รู้สึกดีใจไปกับสองแม่ลูก นี่ขนาดผมเป็นแค่ลุงนะ
ผมยังอดรู้สึกดีใจไปกับน้องสาวไม่ได้เลย ถ้าผมเป็นพ่อน้องปูนเค้าเองล่ะผมจะดีใจขนาดไหน
หลังจากการสนทนาจบลง ผมก็นั่งนึกถึงเรื่องนี้อยู่คนเดียว เลยมีคำถามเกิดขึ้นในใจว่า
เอ ขนาดหลานผมประสบความสำเร็จขั้นต้น ผมก็ดีใจมากแล้ว แล้วถ้าผมประสบความสำเร็จบางเรื่องในวันที่ผ่าน ๆ มาล่ะ พ่อแม่ผมเค้าจะดีใจแค่ไหนนะ
8 กุมภาพันธ์ 2554
ต้นจำปูนหลังบ้าน